อิงเสี้ยวชีวิต ‘จอมพลผ้าขาวม้าแดง-อมรา’ กับวิมานสีชมพูแห่งคุณชายพุฒิภัทร ?



เปิดตำนานเสี้ยวชีวิตจอมพลผ้าขาวม้าแดง-อมรา อัศวนนท์ กับวลีเด็ดโดนเซ็นเซอร์ ‘วิมานสีชมพู’ เหมือนหรือแตกต่างกับ ‘คุณชายพุฒิภัทร’ แห่งสุภาพบุรุษจุฑาเทพที่กำลังโด่งดังเป็นกระแสตอนนี้...มีคำตอบ

เชื่อว่ากระแสความดังของละครชุด ‘สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายพุฒิภัทร’ ที่ออกอากาศทางวิกพระราม 4 คงอยู่ในใจคอละครไปแล้ว โดยเฉพาะความน่ารักของคู่พระนางอย่างจิรายุ ตั้งศรีสุข และราณี แคมเปญ ที่รับบทคุณชายพุฒิภัทร-กรองแก้ว นางสาวศรีสยาม ช่างมีเคมีการแสดงลงตัวเหลือเกิน

แต่อีกบทบาทที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงกันในสื่ออินเทอร์เน็ตคงต้องยกให้บท ‘ท่านพินิจ’ กับวลี ‘วิมานสีชมพู’ ซึ่งรับบทโดยมนตรี เจนอักษร นั้น ได้ถูกเปรียบเปรยกันว่าคล้ายคลึงกับเหตุการณ์จริงในอดีตของจอมพลผ้าขาวม้าแดง (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี) กับอมรา อัศวนนท์ อดีตรองนางสาวไทย ปี 2496 และนักแสดงมากความสามารถ

ซี่งนสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 11 ก.ย. 2554 ได้ตีพิมพ์บทเรียนชีวิตที่เปรียบดังละคร ‘คุณชายพุฒิภัทร’ของคุณอมรา อัศวนนท์ ไว้อย่างสนใจ ดังนี้...

อมรา อัศวนนท์ หรือ อมรา บุรานนท์ (เกิด 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2479) เป็นธิดา คนโตในจำนวน 3 คนของ หลวงประเจิด อักษรลักษณ์ กับ มาดามยอร์เฮท ชาวฝรั่งเศส จบมัธยม 6 จากโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เธอได้ถูกส่งเข้าประกวดนางสาวไทยเมื่อ พ.ศ. 2496 ขณะอายุ 16 ปี

จากผลการประกวดนางสาวไทย อมรา ได้รับตำแหน่งเป็นรองนางสาวไทยอันดับ 3 หรือ 4 (ไม่ได้เป็นรองอันดับ1 เหมือน ที่ได้รับการบันทึกประวัติ) และ รองอันดับ 1 นั้นคือ น.ส.นวลสวาท ลังการ์พินธ์ สาวสวยจากเชียงใหม่ โดย น.ส. อนงค์ อัชชวัฒนา ได้รับเลือกให้เป็นนางสาวไทย การประกวด ครั้งนั้นจัดขึ้นที่สวนลุมพินี และคืนที่มีการประกวด มีเพลงประกอบงานคือเพลง "นางฟ้าจำแลง" ที่แต่งโดย ครูเอื้อ สุนทรสนาน และกลายเป็นเพลงประจำการประกวดนางสาวไทยนับแต่นั้นมา

หญิงไทยคนเเรกบนเวทีนางงามจักรวาล

อมรา กล่าวว่า เธอได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เดินทางไปประกวดนางงามจักรวาลปี 1954 ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นหญิงไทยคนแรกที่เข้าร่วมประกวด และที่ได้เป็นตัวแทน เพราะเก่งในเรื่องภาษา ประกอบกับการประกวดสมัยนั้น ต้องใช้เงินตัวเอง คนอื่นรวมทั้งตัวนางสาวไทย ไม่มีกำลังเงินพอ แต่เธอมีคุณพ่อส่งเข้าประกวด และผลการประกวดก็ได้เข้ารอบ 15 คนสุดท้าย

จากนั้นเธอได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องแรก เมื่อ พ.ศ. 2497 เรื่อง Beautiful Girl of the World ร่วมกับโทนี่ เคอร์ติส พระเอกที่เธอชื่นชอบ ไม่ได้มีบทอะไร เพียงแค่การเดินเข้าฉากหนังโดยการชักชวนของบริษัทผู้จัดการประกวดนางงามจักรวาล จากนั้นได้แสดงภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกเรื่อง ‘ปริศนา’ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จากนั้น ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง ‘รักริษยา’ กำกับการแสดงโดย ‘ครูมารุต’ ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองจากเรื่องนี้ ผลงานเรื่องอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ‘เล็บครุฑ’ ในบทปรีดาฮนัม กับ ลือชัย นฤนาท (2500 ฉายซ้ำ 2504), ‘อินทรีแดง’เป็น วาสนา เทียนประดับ คนแรกคู่กับ มิตร ชัยบัญชา (2501), ‘เห่าดง’ (2501) เป็นนางเอกคนแรก คู่กับ ไชยา สุริยัน, ‘ทุ่งรวงทอง’ คู่กับ สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ (2502), ‘สี่คิงส์’ คู่กับ ไชยา สุริยัน (2502), ‘สุดปรารถนา’ คู่กับ พล พิทยายุทธ (2504), ‘เชลยศักดิ์’ คู่กับ ประสาท คณะดิลก(2502) และคู่กับ อดุลย์ ดุลยรัตน์ ในปี 2504 ในเรื่อง ‘ลั่นทมสะอื้น’ ซึ่งอดุลย์เป็นพระเอกที่เธอชื่นชมที่สุด

ก่อนที่จะหันมาเป็นผู้จัดละครโทรทัศน์ ทางช่อง 4 บางขุนพรหม และช่อง 7 เป็นหัวหน้าคณะอมรมานต์ มีนางเอกละครหลายคนมีชื่อเสียง เช่น ปริม ประภาพร-กิ่งดาว ดารณี และศศิธร เพชรรุ่ง กระทั่งปีพ.ศ.2509 ก็ได้สมรสกับ พล.ต.ท.อังกูร บุรานนท์  มีบุตร 2 คน คือ 'อภิชญา' และ 'อโนมา' บุรานนท์

'รักริษยา' ละครนำพาคว้าตุ๊กตาทองพระราชทาน

อดีตรองนางสาวไทย กล่าวต่อว่า สมัยก่อน ตอนที่เธอเเพิ่งเดินทางกลับจากการประกวดนางงามจักรวาล ที่แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เคยฝันไว้ว่าอยากจะเป็นหมอเด็ก อยากจะเรียนทางด้านหมอ แต่สุดท้ายไม่เป็นไปอย่างที่คิด พอถึงเมืองไทยไม่เท่าไรคุณหลวงสุจิพันธ์ อภิธยา เจ้าของโรงหนัง ‘เฉลิมชาติ’ ได้ติดต่อ ให้เธอเล่นภาพยนตร์เรื่อง ปริศนา เป็นเรื่องแรก เป็นหนังพากย์เสียง แสดงแค่บทบาท ท่าทางสีหน้า ไม่ได้ออกเสียง และตามด้วย หนังเรื่อง ‘รักริษยา’ จนทำให้ได้รับรางวัล ตุ๊กตาทอง จากเรื่องนี้ ซึ่งขอบอกว่าชอบบทบาทการแสดงในหนังเรื่อง รักริษยา นี้มาก เพราะนอกจากจะเป็นหนังเรื่องแรกที่ได้ ออกเสียงพูด และได้รับรางวัลแล้ว ยังได้แสดงความท้าทายในบทบาททางด้านการแสดงได้อย่างเต็มที

"รางวัลตุ๊กตาทอง พี่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ มาก ๆ เพราะในหลวงพระราชทาน สมัยนั้นทีวียังไม่มีการแจกรางวัล ความรู้สึกตอนนั้น ด้วยความที่เรายังเป็นเด็ก เราตื่นเต้นกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามา การแสดงเราก็ไม่เคยเรียน พอมาได้รางวัลเราก็แอบสงสัยไปถามกรรมการว่าทำไมเราถึงได้ เขาก็บอกมาว่า เพราะเขาเห็นนัยน์ตา ตอนเป็นบ้าของเราแล้วทำให้รู้สึกได้ว่าเราบ้าจริง ๆ เลยได้รับรางวัลนี้ เเละด้วยความที่พี่เป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส จนทำให้พี่ได้รับ ฉายาว่า เอลิซาเบธ เทเลอร์ เมืองไทย เพราะรูปร่างหน้าตา ตอน อายุ 18-19 หน้าตา ดันไปมีลักษณะคล้ายกับเอลิซาเบธ เทเลอร์ เราก็แอบภูมิใจ"

"ห้ามเเต่งงานกับคนวงการมายา" คำประกาศิตจากพ่อ

อมรา ยังเล่าว่า การทำงานในสมัยนั้นไม่เคยรู้สึกว่าเหนื่อยเลย เพราะปกติเป็นคนชอบสนุกกับ สิ่งที่ทำ เข้าขั้นบ้าเลยก็ว่าได้ ตอนนั้นดารา รุ่นเดียวกันก็มีไม่ค่อยเยอะ อาทิ วิไลวรรณ วัฒนพานิช, รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง ที่พอจะนึกออก ซึ่งจำได้ว่าเล่นหนัง เดือนหนึ่ง 4 เรื่อง เดี๋ยวเล่นเป็นเจ้าหญิง เดี๋ยวเล่นเป็นขอทาน ขนาดตอนที่ป่วยเป็น ดีซ่าน ตาเหลือง หมอบอกให้หยุด สุดท้ายก็ยังหยุดไม่ได้เลย นอกจากนี้ สมัยนั้นการเเสดงของตนถือเป็นคู่เขยคู่ขวัญ กับ อดุลย์ ดุลยรัตน์ เยอะมากที่สุด ค่าตัวตอนนั้นตกอยู่ที่ 3-4 หมื่นบาท ต่อเรื่องหรือมากกว่านั้น อยู่ที่นายทุนหรือผู้กำกับจะให้ สมัยก่อนมีแต่สัญญาใจ ไม่มีสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรเหมือนปัจจุบัน เล่นเรื่องนี้ เรื่องหน้าค่อยจ่าย เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน อยู่กับพ่อ แม่ สบาย ๆ โดนโกงค่าตัวไปเป็นล้าน ๆ แต่ก็ไม่เคยไปทวงถาม เพราะเราชอบเล่นหนังก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินสักเท่าไหร่

"ในช่วงที่เราเป็นนักแสดง คุณพ่อก็ขอให้พี่อัมสาบาน ว่าถ้าต่อไปในวันข้างหน้าจะต้องไม่แต่งงานกับคนในวงการอย่างเด็ดขาด ด้วยความสงสัยเราก็ถามกลับไปว่าทำไม ท่านก็บอก เราว่าดารามีการศึกษา และวิถีชีวิตคนละชั้น สมัยก่อนเขาจะมองว่าดาราเป็นพวกเต้นกิน รำกิน ดาราไม่ได้เรียนสูงอะไร ถ้าจะแต่งงานกับพระเอก หรือ ผู้กำกับวันหนึ่งเราก็อาจจะต้องเสียใจ เพราะเขาจะต้องเจอ สาว ๆ อายุน้อยกว่าเรา พี่อัมก็ตกลงและทำตามที่ท่านขอ แม้จะมาจีบบ้างก็เหอะแต่พี่ก็ไม่เคยสนใจ และที่พ่อห้ามอีกเรื่องคือห้ามมีบทจูบกัน ต้องใช้บังภาพเอา เคยมี คุณสุพรรณ พราหมณ์พันธ์ เอาเงินมาวางกอง 2 หมื่น ให้จูบ ยังไม่เอา"

สุดท้ายได้มาพบรักและรู้จัก กับ คุณอังกูร บุรานันท์ ตอนอายุ 23 ในงานเลี้ยง ตอนนั้น คุณอังกูร มียศแค่ร้อยตำรวจเอก เงินเดือน 200 กว่าบาท คบกันจนจะแต่งงาน คุณอังกูร ก็มีเหตุจะต้องเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส

เมื่อขาอ่อนต้องใจจอมพลผ้าขาวม้าแดง

นักเเสดงอาวุโส ยังกล่าวอีกว่า คุณพ่อได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่ ที่ชื่อว่า จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีสมญาว่า ‘จอมพลผ้าขาวม้าแดง’ (เป็นคำเรียกเมื่อสมัยก่อนว่าขาวม้าแดง) ว่าชอบเธอมาก ถึงขนาดเชิญคุณพ่อไปพบเพื่อจะขอแต่งงานกับเธอ โดยจะให้ที่ดินแถวสุขุมวิท และเงินอีกจำนวนนับสิบล้าน ตอนนั้น จอมพล สฤษดิ์ ซึ่งเราก็รู้ว่าท่านมีภรรยาอยู่แล้วหลายคน ด้วยความที่เรายังเป็นสาวก็นึกอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่อยากเป็นเมียน้อยใคร คุณพ่อก็เรียกเราไปถาม ว่าอยากจะกินเกลือกับคุณอังกูร หรือ อยากจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง

เเต่เมื่อเธอบอกไปว่าชีวิตนี้ไม่ได้รักท่าน คนเราจะแต่งงานไปใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกันก็อยากจะให้มีความรักอยู่บ้าง พ่อก็ถามว่า ทำเพื่อพ่อได้ไหม แต่เราไม่ยอม ทะเลาะกับคุณพ่อจนทำให้ท่านตบหน้า ทำให้ช่วงเวลานั้นจะเดินทางไปเมืองนอกเพื่อหลีกหนีก็ไม่ได้

"จอมพลสฤษดิ์สัญญาว่าจะให้ทุกอย่างเว้นเดือนกับดาว พี่บอกว่าไม่รักท่าน เพราะท่านหน้าเหมือนหมู แต่ถ้าจะให้อยู่ด้วยกันต้องขอเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่มีคนอื่นแบบนี้ ช่วงท้ายที่ท่านป่วยหนักเป็นโชคดีของพี่ ดังนั้นจึงใช้จังหวะช่วงนี้แอบไปจดทะเบียนกัน และแต่งงานกันหลังจากท่านตายแล้ว"

สุดท้ายสิ่งที่เราอยากให้พูดถึง ความในใจ และสิ่งที่เธอรักอยากจะทำในบั้นปลาย นางเอกดังของยุค 60 กล่าวว่า เธอปรารถนา จะทำในเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้กับในหลวง

"จากที่เห็นอะไร ๆ ที่ผ่านมา พี่ก็อยากจะบอกว่า รักในหลวง และสงสารในหลวงเป็นที่สุด ประเทศไทยยังคงต้องมีสถาบัน พระมหากษัตริย์ ในหลวงคือพ่อหลวงของพวกเราเพราะท่านทำประโยชน์ไว้ให้เยอะมาก ชีวิตพี่ต่อไป ในวันข้างหน้า ไม่ว่า จะ 3-5 ปี ก็อยากจะอยู่อย่างมีความสุข อะไรที่สามารถจะตอบแทนพระองค์ได้ เราจะถวายงาน สนองเบื้องพระยุคลบาทอย่างเต็มความสามารถ พี่ยังจำได้เสมอ พระราชินีพระองค์ท่านเคยรับสั่ง ตอนที่พี่เคยถวายงานที่สวนลุมพินี ว่า อมราเธอเล่นละครเก่งนะ เป็นสิ่งที่พี่ปลาบปลื้มมากที่สุดในชีวิต"

แล้ววลี ‘วิมานสีชมพู’ ที่ปรากฏในละครเรื่องนี้ และถูกดูดเสียงจากทางช่อง 3 หลายครั้งนั้นมีที่มาอย่างไร ความจริงแล้วเป็นคำเรียกสำหรับจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์  ที่มีคู่สมรสกับคุณหญิงวิจิตรา ชลทรัพย์ และครองเรือนกันจนสามีถึงแก่อสัญกรรม แต่หลายคนจะรับรู้ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้มีอนุภรรยามากมาย โดยกล่าวกันว่ามีมากถึง 100 คนนำมาปรนเปรอความสุขในบ้านพักส่วนตัว หรือที่เรียกว่า ‘วิมานสีชมพู’ นั่นเอง ซึ่งท่านมักจะนิยมนุ่งผ้าขาวม้าแดงเมื่ออยู่กับผู้หญิงเหล่านี้ จนเป็นที่มาของ ‘จอมพลผ้าขาวม้าเเดง’ อีกคราหนึ่ง

เห็นทีเสี้ยวชีวิตของอดีตนางงาม ‘อมรา อัศวนนท์’ ที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องเหตุการณ์กับอดีตนักการเมืองระดับชาตินั้นจะคล้ายคลึงกับบทละคร ‘สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายพุฒิภัทร’หรือไม่...แต่อย่างน้อยที่หลายคนเคยกล่าวไว้ว่า ‘นวนิยายมักสร้างจากชีวิตจริง’ คงจะพิสูจน์ได้ก็ครั้งนี้ มิฉะนั้นคงไม่มีวลีว่า “ดูละครแล้วย้อนดูตัว”.

ที่มา :
http://www.isranews.org/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%99/item/21280-%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E2%80%98%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87-%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E2%80%99-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%92%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A3.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่