จากข่าว "นักศึกษาอุเทนถวายเตรียมเดินขบวนไปจุฬาฯ เพื่อทวงถามเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน" คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง

....................................................................................................................................................................

นศ.อุเทนฯ นัดเดินขบวนทวงถามปมที่ดินกับจุฬาฯ ในวันนี้

นักศึกษาอุเทนถวาย ประมาณ 1,000 คน เตรียมเดินขบวนไปจุฬาฯ เพื่อทวงถามเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ในวันนี้ ตั้งแต่ 12.00-16.00 น. พร้อมขู่ว่า หากยังได้คำตอบเดิมอาจยกระดับการชุมนุมเป็นการปิดถนนพญาไททั้งเส้น

          เมื่อเวลา 13.30 น. ของวานนี้ (13 มิถุนายน 2556) ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย คณะพิทักษ์สิทธิ์เพื่อการศึกษาอุเทนถวาย (คพศ.) ประกอบด้วยศิษย์เก่า และนักศึกษาปัจจุบัน ได้แถลงข่าวทวงกรรมสิทธิ์ที่ดินพระราชทาน โดยสรุปว่า มทร. ก่อตั้งตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.6 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2465 ที่ผ่านมา และไม่เคยทำผิดเจตจำนงด้านการศึกษา ดังนั้นจะไม่ยอมให้กระทำการใด ๆ กับที่ดินผืนนี้โดยขัดพระราชประสงค์ ร.6

          โดย คพศ. ได้ชี้แจงกรณีที่ นายทวีชัย เหลี่ยมศิริวัฒนา ผอ.วิทยาเขตอุเทนถวาย เซ็นหนังสือตกลงส่งมอบพื้นที่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2547 ว่า การลงนามในครั้งนั้นไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคณาจารย์ ศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมานายทวีชัยได้ทำบันทึกข้อตกลงไม่ยอมรับหนังสือฉบับดังกล่าวแล้ว

          ส่วนกรณีคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กยพ.) มีหนังสือชี้ขาดให้สิทธิ์ที่ดินเป็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น อุเทนถวายมีความชอบธรรมที่จะอยู่ตรงนี้ต่อไป เพราะเป็นโรงเรียนที่ได้รับพระราชทานให้ก่อตั้งจาก ร.6 เช่นเดียวกัน และทั้งสองสถาบันมีความเชื่อมโยงกัน

          ขณะ ที่ นายณพลพัทธ์ จิรเจริญสมบัติ ศิษย์เก่ารุ่น 67 กล่าวว่า ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ เวลา 13.00 น. คพศ. ประมาณ 1,000 คน จะเดินขบวนจากอุเทนถวายไปยังบริเวณหน้าอาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อหาทางออกร่วมกันหลังครบกำหนด 90 วัน โดยการชุมนุมเดินขบวนจะทำอย่างสงบ ไม่มีความรุนแรง หากคำตอบที่ทางจุฬาลงกรณ์ให้ยังคงเป็นคำตอบเดิม ทาง คพศ. จะยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้นมากขึ้น เช่น ปิดถนนพญาไททั้งเส้น หรือยื่นหนังสือให้คณะรัฐมนตรีแก้กฎหมาย

ขอบคุณที่มาข่าวจาก : http://education.kapook.com/view64546.html