แม้จะออกหมายจับผู้ต้องหา 4 คน ในข้อหาร่วมกันฆ่า เอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังและเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ จากปมสาเหตุชิงทรัพย์เงินสด 5 ล้านบาท แต่คดีนี้ก็ยังมีข้อคาใจในหลายประเด็น เพื่อให้ต่อภาพเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตำรวจในชุดสืบสวนคลี่คลายคดีนายหนึ่ง ได้เปิดเผยคำสารภาพของ สันติภาพ หรือบอล เพ็งด้วง คนขับรถเอกยุทธ ให้เห็นถึงพฤติกรรมแห่งคดี
สันติภาพ เปิดปากสารภาพว่า หลังจากขับรถโฟล์คไปส่ง เอกยุทธ ที่ร้านอาหารกระแต แล้วก็ขับรถไปแวะกินข้าว จากนั้นก็รับ สุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือเบิ้ม ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทชาว จ.พัทลุง ด้วยกัน ซึ่งพักอยู่ย่านสะพานควาย มาซ่อนอยู่บริเวณคอนโซลหน้ารถ กระทั่ง เอกยุทธ เสร็จธุระจากร้านอาหารกระแต สันติภาพ ก็ถอยรถมารับ
เมื่อ เอกยุทธ เข้ามาในรถแล้ว เบิ้ม ซึ่งซ่อนตัวอยู่ก็โผล่ออกมาทำร้าย และใช้กุญแจมือที่เตรียมมาล็อกข้อมือของ เอกยุทธ เอาไว้ จากนั้นชิงปืนพกที่ เอกยุทธ พกติดตัวไว้มาจี้บังคับ ส่วน สันติภาพ ก็ขับรถกลับไปบ้านเอกยุทธ ที่ย่านทาวน์อินทาวน์
เมื่อถึงบ้านเอกยุทธ ผู้ต้องหาทั้งสองได้รื้อค้นทรัพย์สินมีค่าในบ้าน จากนั้นก็รื้อฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดในบ้าน จากนั้น สันติภาพ ก็ขับรถพา เอกยุทธ ไปกักขังไว้ที่บ้านของพี่สาวย่านลาดกระบัง เพื่อเค้นเอาทรัพย์สิน
กระทั่งวันรุ่งขึ้น ผู้ต้องหาทั้งสองนำตัว เอกยุทธ ไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ บังคับให้เซ็นเช็ค 3 ฉบับ เบิกเงินสด 5 ล้านบาท โดยเช็คทั้ง 3 ฉบับ ลงวันที่ 7 มิ.ย. 2556 จำนวน 1.5 ล้านบาท 1.7 ล้านบาท และ 1.8 ล้านบาท มีฉบับหนึ่งเป็นของธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาทองหล่อ (อาคารวสุ) จำนวน 1.7 ล้านบาท ซึ่งเขียน พ.ศ.ผิด เป็น พ.ศ. 2553
ประเด็นนี้ชุดสืบสวนเชื่อว่า เอกยุทธ น่าจะแกล้งทำเป็นเขียนผิด เพื่อหวังส่งสัญญาณให้ทางธนาคารสงสัยว่าตัวเองมีอันตราย ซึ่งได้ผลเมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารโทรศัพท์มาให้ เอกยุทธ ยืนยันเพื่ออนุมัติเงิน แต่เบิ้มใช้ปืนจี้ไว้จึงต้องยินยอม
“เขาบอกว่าเหตุที่เลือกสถานที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นที่นับเงิน เพราะอยู่ใกล้บ้านพี่สาวย่านลาดกระบัง อีกทั้งเป็นที่สาธารณะ ไม่ตกเป็นที่สงสัยที่จะไปรับเงิน นอกจากนี้ยังมีทางเข้าออกหลายทางการจราจรไม่ติดขัด เหมาะแก่การหลบหนี” แหล่งข่าวในชุดสืบสวนเปิดเผยคำสารภาพของสันติภาพ
หลังจากได้เงิน 5 ล้านบาทมาแล้ว ผู้ต้องหาทั้งสองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับเอกยุทธ ส่วนเบิ้มบอกว่าต้องฆ่าทิ้ง เมื่อขับรถออกจากสนามบินและจะย้อนกลับมาที่บ้านพี่สาวอีกครั้ง ระหว่างทาง เอกยุทธ ฉวยจังหวะวิ่งออกมาจากรถตู้ ผู้ต้องหาทั้งสองจอดรถและวิ่งไล่ตาม ก่อนจะลากตัวขึ้นรถอีกครั้ง รุมซ้อมและบีบคอ
จังหวะนั้น สุทธิพงศ์ ถอดเชือกรองเท้าออกมารัดคอ เอกยุทธ จนเสียชีวิต จากนั้นทั้งสองปรึกษากันว่าจะนำศพไปทิ้งที่ จ.พัทลุง ระหว่างนั้น สันติภาพ โทรหาเพื่อนอีกคนหนึ่งให้ขับรถเก๋งนำหน้า หากมีด่านตรวจก็ให้โทรศัพท์แจ้งเพื่อหลบเลี่ยง กระทั่งถึงจุดทิ้งศพที่เขาจิงโจ้ จ.พัทลุง สันติภาพโทรศัพท์ให้ เชาวลิต วุ่นชุม เพื่อนอีกคนหนึ่งมาช่วยนำ
“เพื่อนที่เป็นคนขับรถนำนั้น ตำรวจกำลังติดตามอยู่ แต่ยังไม่มีการออกหมายจับ คาดว่าน่าจะชัดเจนเร็วๆ นี้ ว่าจริงตามที่ผู้ต้องหาสารภาพหรือไม่ ส่วนเหตุที่ต้องนำศพไปทิ้งไกลถึง จ.พัทลุง นั้น เขาบอกว่าไม่รู้จะทิ้งศพที่ไหน ขณะที่พัทลุงนั้นเป็นบ้านเกิด เขารู้จักพื้นที่ดี” แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งหมดคือคำให้การที่ สันติภาพ ให้กับตำรวจ
ชี้ชัดผลตรวจลายนิ้วมือเป็น "เอกยุทธ"
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2556 พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผบ.ตร. กล่าวว่า จากการตรวจสอบเปรียบเทียบลายนิ้วมือของนายเอกยุทธกับศพเพื่อยืนยันตัวบุคคล สรุปผลออกมาแล้วว่า ตรงกับลายนิ้วมือของนายเอกยุทธทั้ง 10 นิ้วประกอบกับหลักฐานที่ตรวจพบในรถตู้คือกระดุม และแหวนที่สวมใส่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน ส่วนผลตรวจดีเอ็นเอของศพก็ตรงกับดีเอ็นเอของญาติ
"การตรวจลายนิ้วมือจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นนายเอกยุทธหรือไม่ ซึ่งนิ้วมือด้านขวาและซ้ายของนายเอกยุทธนั้นสามารถพิมพ์ลายได้ มีเพียงนิ้วด้านซ้ายมีผิวหนังชั้นนอกหลุดออกไปบ้าง แต่ผิวหนังชั้นในยังพอเก็บได้อยู่ ซึ่งความจริงการตรวจเพียงนิ้วเดียวก็สามารถยืนยันเอกลักษณ์ตัวบุคคลได้แล้ว เพราะตำรวจมีประวัติเดิมอยู่
เปิดคำสารภาพผู้ต้องหาฆ่า "เอกยุทธ อัญชันบุตร" เผยพาตัวกักขังรีดทรัพย์ก่อนใช้เชือกรัดคอจนตาย
สันติภาพ เปิดปากสารภาพว่า หลังจากขับรถโฟล์คไปส่ง เอกยุทธ ที่ร้านอาหารกระแต แล้วก็ขับรถไปแวะกินข้าว จากนั้นก็รับ สุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือเบิ้ม ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทชาว จ.พัทลุง ด้วยกัน ซึ่งพักอยู่ย่านสะพานควาย มาซ่อนอยู่บริเวณคอนโซลหน้ารถ กระทั่ง เอกยุทธ เสร็จธุระจากร้านอาหารกระแต สันติภาพ ก็ถอยรถมารับ
เมื่อ เอกยุทธ เข้ามาในรถแล้ว เบิ้ม ซึ่งซ่อนตัวอยู่ก็โผล่ออกมาทำร้าย และใช้กุญแจมือที่เตรียมมาล็อกข้อมือของ เอกยุทธ เอาไว้ จากนั้นชิงปืนพกที่ เอกยุทธ พกติดตัวไว้มาจี้บังคับ ส่วน สันติภาพ ก็ขับรถกลับไปบ้านเอกยุทธ ที่ย่านทาวน์อินทาวน์
เมื่อถึงบ้านเอกยุทธ ผู้ต้องหาทั้งสองได้รื้อค้นทรัพย์สินมีค่าในบ้าน จากนั้นก็รื้อฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดในบ้าน จากนั้น สันติภาพ ก็ขับรถพา เอกยุทธ ไปกักขังไว้ที่บ้านของพี่สาวย่านลาดกระบัง เพื่อเค้นเอาทรัพย์สิน
กระทั่งวันรุ่งขึ้น ผู้ต้องหาทั้งสองนำตัว เอกยุทธ ไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ บังคับให้เซ็นเช็ค 3 ฉบับ เบิกเงินสด 5 ล้านบาท โดยเช็คทั้ง 3 ฉบับ ลงวันที่ 7 มิ.ย. 2556 จำนวน 1.5 ล้านบาท 1.7 ล้านบาท และ 1.8 ล้านบาท มีฉบับหนึ่งเป็นของธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาทองหล่อ (อาคารวสุ) จำนวน 1.7 ล้านบาท ซึ่งเขียน พ.ศ.ผิด เป็น พ.ศ. 2553
ประเด็นนี้ชุดสืบสวนเชื่อว่า เอกยุทธ น่าจะแกล้งทำเป็นเขียนผิด เพื่อหวังส่งสัญญาณให้ทางธนาคารสงสัยว่าตัวเองมีอันตราย ซึ่งได้ผลเมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารโทรศัพท์มาให้ เอกยุทธ ยืนยันเพื่ออนุมัติเงิน แต่เบิ้มใช้ปืนจี้ไว้จึงต้องยินยอม
“เขาบอกว่าเหตุที่เลือกสถานที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นที่นับเงิน เพราะอยู่ใกล้บ้านพี่สาวย่านลาดกระบัง อีกทั้งเป็นที่สาธารณะ ไม่ตกเป็นที่สงสัยที่จะไปรับเงิน นอกจากนี้ยังมีทางเข้าออกหลายทางการจราจรไม่ติดขัด เหมาะแก่การหลบหนี” แหล่งข่าวในชุดสืบสวนเปิดเผยคำสารภาพของสันติภาพ
หลังจากได้เงิน 5 ล้านบาทมาแล้ว ผู้ต้องหาทั้งสองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับเอกยุทธ ส่วนเบิ้มบอกว่าต้องฆ่าทิ้ง เมื่อขับรถออกจากสนามบินและจะย้อนกลับมาที่บ้านพี่สาวอีกครั้ง ระหว่างทาง เอกยุทธ ฉวยจังหวะวิ่งออกมาจากรถตู้ ผู้ต้องหาทั้งสองจอดรถและวิ่งไล่ตาม ก่อนจะลากตัวขึ้นรถอีกครั้ง รุมซ้อมและบีบคอ
จังหวะนั้น สุทธิพงศ์ ถอดเชือกรองเท้าออกมารัดคอ เอกยุทธ จนเสียชีวิต จากนั้นทั้งสองปรึกษากันว่าจะนำศพไปทิ้งที่ จ.พัทลุง ระหว่างนั้น สันติภาพ โทรหาเพื่อนอีกคนหนึ่งให้ขับรถเก๋งนำหน้า หากมีด่านตรวจก็ให้โทรศัพท์แจ้งเพื่อหลบเลี่ยง กระทั่งถึงจุดทิ้งศพที่เขาจิงโจ้ จ.พัทลุง สันติภาพโทรศัพท์ให้ เชาวลิต วุ่นชุม เพื่อนอีกคนหนึ่งมาช่วยนำ
“เพื่อนที่เป็นคนขับรถนำนั้น ตำรวจกำลังติดตามอยู่ แต่ยังไม่มีการออกหมายจับ คาดว่าน่าจะชัดเจนเร็วๆ นี้ ว่าจริงตามที่ผู้ต้องหาสารภาพหรือไม่ ส่วนเหตุที่ต้องนำศพไปทิ้งไกลถึง จ.พัทลุง นั้น เขาบอกว่าไม่รู้จะทิ้งศพที่ไหน ขณะที่พัทลุงนั้นเป็นบ้านเกิด เขารู้จักพื้นที่ดี” แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งหมดคือคำให้การที่ สันติภาพ ให้กับตำรวจ
ชี้ชัดผลตรวจลายนิ้วมือเป็น "เอกยุทธ"
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2556 พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผบ.ตร. กล่าวว่า จากการตรวจสอบเปรียบเทียบลายนิ้วมือของนายเอกยุทธกับศพเพื่อยืนยันตัวบุคคล สรุปผลออกมาแล้วว่า ตรงกับลายนิ้วมือของนายเอกยุทธทั้ง 10 นิ้วประกอบกับหลักฐานที่ตรวจพบในรถตู้คือกระดุม และแหวนที่สวมใส่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน ส่วนผลตรวจดีเอ็นเอของศพก็ตรงกับดีเอ็นเอของญาติ
"การตรวจลายนิ้วมือจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นนายเอกยุทธหรือไม่ ซึ่งนิ้วมือด้านขวาและซ้ายของนายเอกยุทธนั้นสามารถพิมพ์ลายได้ มีเพียงนิ้วด้านซ้ายมีผิวหนังชั้นนอกหลุดออกไปบ้าง แต่ผิวหนังชั้นในยังพอเก็บได้อยู่ ซึ่งความจริงการตรวจเพียงนิ้วเดียวก็สามารถยืนยันเอกลักษณ์ตัวบุคคลได้แล้ว เพราะตำรวจมีประวัติเดิมอยู่