ถ้าไม่คิดเรื่องสีแดง สีเหลือง เค้าเป็นนักลงทุนที่เก่ง และยังให้แง่คิดดีๆให้กะนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ด้วย
คัดลอกมาบางส่วนจาก Facebook ของคุณเอกยุทธ อัญชันบุตร
สาเหตุหลักของนักลงทุนทั่วไปที่ติดดอยคือ..1.ตัดสินใจซื้อ-ขายช้าและตามข่าว..2.ส่วนใหญ่กว่าจะซื้อจะรอจนราคาขึ้นเยอะและเกิดความมั่นใจถึงเข้าซื้อ..3.ไม่กล้าซื้อตอนหุ้นตกหนักๆ..3.เมื่อตัดสินใจซื้อหรือขายจะวางเป็น. Bid-offer..4.ซื้อ-ขายหุ้นตามข่าวรายวัน..หากท่านใดเป็นแบบนี้และอยากลงทุนเป็นอาชีพก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมครับ..
อีกประการหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรทำคือ..เมื่อซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ตัดสินใจเข้าซื้อเพราะข่าวลือและมีเจ้ามือสร้างราคาและติดอยู่ในราคาสูง..ต้องไม่ซื้อถัวเฉลี่ยเมื่อราคาตกลงมาไม่กี่ช่อง เพราะส่วนใหญ่เมื่อเจ้ามือหรือกองทุนขายหมด จะไม่กลับมาซื้อใหม่จนกว่าราคาจะลงลึกอย่างน้อย 30-50 % หากเราคิดว่าราคาถูกเมื่อลดลงแต่ก็ยังแพงสำหรับคนที่มีต้นทุนถูกครับ..เอาเงินไปเลือกหุ้นดีๆซื้อเพิ่มยังมีโอกาสกำไรมากกว่าทำตัวเป็น"เสือหวน"
สิ่งที่นักลงทุนต้องคิดให้หนักก่อนจะเชื่อหรือตัดสินใจในข่าวสารที่บรรดานักลงทุนใหญ่ๆหรือพวกที่เรียกตัวเองว่า VI มักออกมาสัมภาษณ์คือ..พวกนี้มักจะเปิดเผยจำนวนหุ้นบ้าง ชื่อหุ้นบ้างที่ตัวเองมีอยู่และบอกว่าสะสมมาตั้งแต่ราคาต่ำๆและตอนนี้มีกำไรมากมาย..และราคายังน่าจะขึ้นไปอีกเยอะ..สิ่งหนึ่งที่ผมข้องใจคือ..ทำไมพวกเค้าไม่แนะนำให้ผู้อื่นลงทุนในช่วงที่ตัวเองจะซื้อ..แต่มาบอกทำไมว่ารวยและกำไร ? และหลังจากปล่อยข่าวได้ระยะหนึ่ง ส่วนใหญ่ราคาหุ้นตัวนั้นจะดิ่งลงเหว..คิดให้ดีครับว่าใครที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น..
หากรักที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะด้วยทุนน้อยหรือมาก..สิ่งสำคัญที่จะต้องทบทวนและเรียนรู้คือ..การประเมินที่ผิดพลาดน้อยที่สุด..เราจะเห็นข่าวทั้งร้ายและดีต่างๆจากต่างประเทศบ้าง ภายในบ้างและส่งผลกระทบต่อราคาเป็นช่วงๆ..หากเราบันทึกและทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา เราก็จะผิดพลาดน้อยเมื่อมีข่าวอย่างนั้นเกิดขึ้นอีก..และที่สำคัญ..อย่าไปดูหุ้นมากมายในกระดาน..ศึกษาการเคลื่อนไหวของบฯและราคาไม่เกิน 10 บฯ และเลือกลงทุนจริงๆไม่เกิน 5 บฯ..เราก็จะประเมินและติดตามได้ง่ายและประสบความสำเร็จในที่สุดครับ..นี่ไม่ใช่เคล็ดลับอะไร..เพียงแค่ฝึกฝนและรักษาระเบียบในการลงทุนเท่านั้นครับ..
นักลงทุนทั่วไปคงชินกับการเห็นราคาเคลื่อนไหวของหุ้นและหาเหตุผลมารองรับกับการซื้อ-ขายกัน..แต่ไม่ได้ฉุกคิดว่า ทำไมถึงซื้อหรือขายหุ้น..หากลองจดเหตุผลในการซื้อ-ขายหุ้นไว้แล้วนำมาทบทวน..ส่วนใหญ่ก็จะพบว่าเป็นการตัดสินใจตามข่าวหรือตามราคาที่เคลื่อนไหวมากกว่าปัจจัยอื่นหรือพื้นฐานที่แท้จริง จึงมีโอกาสกำไรน้อยกว่าผู้ที่เตรียมการและทำการบ้านหรือตัดสินใจได้เร็วกว่าในการลงทุน..
อีกหลักการที่นักลงทุนควรรู้คือ..อย่ารีบขายเมื่อหุ้นที่ซื้อมาและเรากล้าถือเมื่อลงเยอะ ไม่กล้าตัดขาดทุน แต่เมื่อดีดกลับขึ้นมาใกล้ทุนหรือเท่าทุนและอาจกำไรนิดหน่อย..ส่วนใหญ่แมงเม่าจะขาย..ต้องกล้าถือและอย่าขายครับ หากเป็นหุ้นพื้นฐานดีเก็บไว้ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
สองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น..นักลงทุนต้องจดและจำไว้เพื่อเป็นบทเรียนและหาสาเหตุของการตกอย่างรุนแรงและเมื่อถึงจุดหนึ่งจะดีดกลับแรง..เพราะจะเป็นบทเรียนที่สำคัญล่าสุดสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้ จะได้ตั้งสติและตัดสินใจถูกต้อง..หลังง่ายๆของการเข้าซื้อคือ..ให้หาค่าเฉลี่ยของการขึ้นครั้งสุดท้ายมากระทั่งจุดสูงสุดเมื่อเริ่มตก..แล้วหารครึ่งก็จะได้ต้นทุนของกองทุนต่างๆที่เข้ามา..ตัวอย่างคือ..ปลายปีที่แล้วหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,400 และขึ้นมาอย่างต่อเนื่องสองเดือนกว่าถึง 1,600 ก็หมายความว่าขึ้นมาสองร้อยกว่าจุด หารครึ่งก็คือ1,480-1,510 นั่นคือจุดที่ผมแนะนำซื้อไงครับ เพราะจุดนี้กองทุนและรายใหญ่ไม่กำไรเยอะ
ส่วนใหญ่นักลงทุนทั่วไปจะไม่ค่อยสนใจหุ้นหลักๆตัวใหญ่ๆ..จะบอกว่าแพง..แต่หากย้อนกลับไปดูผลตอบแทนที่ได้เมื่อ Set ขึ้นมาเยอะ จะเห็นว่ามีกำไรเป็นกอบเป็นกำเมื่อเทียบกับหุ้นสามตัวสิบหรืออาเสี่ย อาเจ๊ทั้งหลาย..ลองดูซิครับว่าหกเดือนที่ผ่านมา ยกตัวอย่างBBL KBANK BGH LH BTS BJC ขึ้นมามากขนาดไหน ? ในขณะที่พวกมีแต่ข่าวจะทำโน่น ทำนี่ เพิ่มทุน ที่มีนักเชียร์ตามหน้าจอและเว๊ปไซต์ทั้งหลายบอกว่าดีเลิศ..ราคายังอยู่ในนรกและบางตัวหลอกให้นักลงทุนขึ้นลิฟต์แล้วไปปล่อยไว้บนดอย..ลองเปลี่ยนวิธีลงทุนและเลือกหุ้นครับ..ใหญ่ เล็ก ไม่ใช่ตัวตัดสิน ราคาขึ้นลงคิดเป็น % แล้วไม่ต่างกันครับ..
หากนักลงทุนยังซื้อขายรายวัน..ซื้อเมื่อตลาดขึ้นและขายตอนตลาดลงแรง..ก็จะไม่มีทางที่จะชนะตลาดได้ครับ..การลงทุนต้องรู้จักประเมิน รอเวลา เข้าซื้อเมื่อตลาดอ่อนตัวและมีข่่าวลือ ข่าวร้ายมากระทบและต้องทำการบ้านก่อนตัดสินใจซื้อ..จดบันทึกเหตุผลที่ซื้อว่าเพราะอะไรถึงซื้อและเพราะอะไรถึงขาย..แล้วมาทบทวนดูเวลาว่างหรือขายไปแล้วว่า ทำไมเราถึงซื้อ-ขายเช่นนั้น แล้วท่่านจะปรับวิธีการลงทุนได้ครับ..เพราะหากซื้อ-ขาย เพราะข่าวรายวัน ไม่ใช่การลงทุนครับ เป็นการพนันและเก็งกำไร..โอกาสเสียมากกว่าครับ..
หุ้นขึ้นมามากกว่า 10 % ในภาพรวม..แต่บางตัวใหญ่ๆก็วิ่งขึ้นมาเกือบเท่าตัว..แต่เจอนักลงทุนบ่นกันว่าขาดทุนเละ..ถามว่าลงทุนหุ้นอะไร? แต่ละตัวที่เค้าบอกมาก็หุ้นพวกปันผลชาติหน้าและสาวกโจรทั้งนั้น..หากไม่เปลี่ยนวิธีการลงทุน ก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จในการลงทุน.เลิกถาม เลิกหาหุ้นเล่นรายวัน เลือกซื้อหุ้นที่่เราเข้าใจและมีพื้นฐานดีครับแล้วท่านจะชนะตลาดได้
ข้อคิดดีๆ ของ คุณเอกยุทธ อัญชันบุตร
คัดลอกมาบางส่วนจาก Facebook ของคุณเอกยุทธ อัญชันบุตร
สาเหตุหลักของนักลงทุนทั่วไปที่ติดดอยคือ..1.ตัดสินใจซื้อ-ขายช้าและตามข่าว..2.ส่วนใหญ่กว่าจะซื้อจะรอจนราคาขึ้นเยอะและเกิดความมั่นใจถึงเข้าซื้อ..3.ไม่กล้าซื้อตอนหุ้นตกหนักๆ..3.เมื่อตัดสินใจซื้อหรือขายจะวางเป็น. Bid-offer..4.ซื้อ-ขายหุ้นตามข่าวรายวัน..หากท่านใดเป็นแบบนี้และอยากลงทุนเป็นอาชีพก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมครับ..
อีกประการหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรทำคือ..เมื่อซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ตัดสินใจเข้าซื้อเพราะข่าวลือและมีเจ้ามือสร้างราคาและติดอยู่ในราคาสูง..ต้องไม่ซื้อถัวเฉลี่ยเมื่อราคาตกลงมาไม่กี่ช่อง เพราะส่วนใหญ่เมื่อเจ้ามือหรือกองทุนขายหมด จะไม่กลับมาซื้อใหม่จนกว่าราคาจะลงลึกอย่างน้อย 30-50 % หากเราคิดว่าราคาถูกเมื่อลดลงแต่ก็ยังแพงสำหรับคนที่มีต้นทุนถูกครับ..เอาเงินไปเลือกหุ้นดีๆซื้อเพิ่มยังมีโอกาสกำไรมากกว่าทำตัวเป็น"เสือหวน"
สิ่งที่นักลงทุนต้องคิดให้หนักก่อนจะเชื่อหรือตัดสินใจในข่าวสารที่บรรดานักลงทุนใหญ่ๆหรือพวกที่เรียกตัวเองว่า VI มักออกมาสัมภาษณ์คือ..พวกนี้มักจะเปิดเผยจำนวนหุ้นบ้าง ชื่อหุ้นบ้างที่ตัวเองมีอยู่และบอกว่าสะสมมาตั้งแต่ราคาต่ำๆและตอนนี้มีกำไรมากมาย..และราคายังน่าจะขึ้นไปอีกเยอะ..สิ่งหนึ่งที่ผมข้องใจคือ..ทำไมพวกเค้าไม่แนะนำให้ผู้อื่นลงทุนในช่วงที่ตัวเองจะซื้อ..แต่มาบอกทำไมว่ารวยและกำไร ? และหลังจากปล่อยข่าวได้ระยะหนึ่ง ส่วนใหญ่ราคาหุ้นตัวนั้นจะดิ่งลงเหว..คิดให้ดีครับว่าใครที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น..
หากรักที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะด้วยทุนน้อยหรือมาก..สิ่งสำคัญที่จะต้องทบทวนและเรียนรู้คือ..การประเมินที่ผิดพลาดน้อยที่สุด..เราจะเห็นข่าวทั้งร้ายและดีต่างๆจากต่างประเทศบ้าง ภายในบ้างและส่งผลกระทบต่อราคาเป็นช่วงๆ..หากเราบันทึกและทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา เราก็จะผิดพลาดน้อยเมื่อมีข่าวอย่างนั้นเกิดขึ้นอีก..และที่สำคัญ..อย่าไปดูหุ้นมากมายในกระดาน..ศึกษาการเคลื่อนไหวของบฯและราคาไม่เกิน 10 บฯ และเลือกลงทุนจริงๆไม่เกิน 5 บฯ..เราก็จะประเมินและติดตามได้ง่ายและประสบความสำเร็จในที่สุดครับ..นี่ไม่ใช่เคล็ดลับอะไร..เพียงแค่ฝึกฝนและรักษาระเบียบในการลงทุนเท่านั้นครับ..
นักลงทุนทั่วไปคงชินกับการเห็นราคาเคลื่อนไหวของหุ้นและหาเหตุผลมารองรับกับการซื้อ-ขายกัน..แต่ไม่ได้ฉุกคิดว่า ทำไมถึงซื้อหรือขายหุ้น..หากลองจดเหตุผลในการซื้อ-ขายหุ้นไว้แล้วนำมาทบทวน..ส่วนใหญ่ก็จะพบว่าเป็นการตัดสินใจตามข่าวหรือตามราคาที่เคลื่อนไหวมากกว่าปัจจัยอื่นหรือพื้นฐานที่แท้จริง จึงมีโอกาสกำไรน้อยกว่าผู้ที่เตรียมการและทำการบ้านหรือตัดสินใจได้เร็วกว่าในการลงทุน..
อีกหลักการที่นักลงทุนควรรู้คือ..อย่ารีบขายเมื่อหุ้นที่ซื้อมาและเรากล้าถือเมื่อลงเยอะ ไม่กล้าตัดขาดทุน แต่เมื่อดีดกลับขึ้นมาใกล้ทุนหรือเท่าทุนและอาจกำไรนิดหน่อย..ส่วนใหญ่แมงเม่าจะขาย..ต้องกล้าถือและอย่าขายครับ หากเป็นหุ้นพื้นฐานดีเก็บไว้ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
สองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น..นักลงทุนต้องจดและจำไว้เพื่อเป็นบทเรียนและหาสาเหตุของการตกอย่างรุนแรงและเมื่อถึงจุดหนึ่งจะดีดกลับแรง..เพราะจะเป็นบทเรียนที่สำคัญล่าสุดสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้ จะได้ตั้งสติและตัดสินใจถูกต้อง..หลังง่ายๆของการเข้าซื้อคือ..ให้หาค่าเฉลี่ยของการขึ้นครั้งสุดท้ายมากระทั่งจุดสูงสุดเมื่อเริ่มตก..แล้วหารครึ่งก็จะได้ต้นทุนของกองทุนต่างๆที่เข้ามา..ตัวอย่างคือ..ปลายปีที่แล้วหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,400 และขึ้นมาอย่างต่อเนื่องสองเดือนกว่าถึง 1,600 ก็หมายความว่าขึ้นมาสองร้อยกว่าจุด หารครึ่งก็คือ1,480-1,510 นั่นคือจุดที่ผมแนะนำซื้อไงครับ เพราะจุดนี้กองทุนและรายใหญ่ไม่กำไรเยอะ
ส่วนใหญ่นักลงทุนทั่วไปจะไม่ค่อยสนใจหุ้นหลักๆตัวใหญ่ๆ..จะบอกว่าแพง..แต่หากย้อนกลับไปดูผลตอบแทนที่ได้เมื่อ Set ขึ้นมาเยอะ จะเห็นว่ามีกำไรเป็นกอบเป็นกำเมื่อเทียบกับหุ้นสามตัวสิบหรืออาเสี่ย อาเจ๊ทั้งหลาย..ลองดูซิครับว่าหกเดือนที่ผ่านมา ยกตัวอย่างBBL KBANK BGH LH BTS BJC ขึ้นมามากขนาดไหน ? ในขณะที่พวกมีแต่ข่าวจะทำโน่น ทำนี่ เพิ่มทุน ที่มีนักเชียร์ตามหน้าจอและเว๊ปไซต์ทั้งหลายบอกว่าดีเลิศ..ราคายังอยู่ในนรกและบางตัวหลอกให้นักลงทุนขึ้นลิฟต์แล้วไปปล่อยไว้บนดอย..ลองเปลี่ยนวิธีลงทุนและเลือกหุ้นครับ..ใหญ่ เล็ก ไม่ใช่ตัวตัดสิน ราคาขึ้นลงคิดเป็น % แล้วไม่ต่างกันครับ..
หากนักลงทุนยังซื้อขายรายวัน..ซื้อเมื่อตลาดขึ้นและขายตอนตลาดลงแรง..ก็จะไม่มีทางที่จะชนะตลาดได้ครับ..การลงทุนต้องรู้จักประเมิน รอเวลา เข้าซื้อเมื่อตลาดอ่อนตัวและมีข่่าวลือ ข่าวร้ายมากระทบและต้องทำการบ้านก่อนตัดสินใจซื้อ..จดบันทึกเหตุผลที่ซื้อว่าเพราะอะไรถึงซื้อและเพราะอะไรถึงขาย..แล้วมาทบทวนดูเวลาว่างหรือขายไปแล้วว่า ทำไมเราถึงซื้อ-ขายเช่นนั้น แล้วท่่านจะปรับวิธีการลงทุนได้ครับ..เพราะหากซื้อ-ขาย เพราะข่าวรายวัน ไม่ใช่การลงทุนครับ เป็นการพนันและเก็งกำไร..โอกาสเสียมากกว่าครับ..
หุ้นขึ้นมามากกว่า 10 % ในภาพรวม..แต่บางตัวใหญ่ๆก็วิ่งขึ้นมาเกือบเท่าตัว..แต่เจอนักลงทุนบ่นกันว่าขาดทุนเละ..ถามว่าลงทุนหุ้นอะไร? แต่ละตัวที่เค้าบอกมาก็หุ้นพวกปันผลชาติหน้าและสาวกโจรทั้งนั้น..หากไม่เปลี่ยนวิธีการลงทุน ก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จในการลงทุน.เลิกถาม เลิกหาหุ้นเล่นรายวัน เลือกซื้อหุ้นที่่เราเข้าใจและมีพื้นฐานดีครับแล้วท่านจะชนะตลาดได้