สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้ไหม แต่จะลองใช้เนื้อหาจากที่เรียนมา + ความรู้ที่ศึกษาเอง + ประสบการณ์ ลองช่วยแนะนำดู
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1. เวลารักษาโรคทางกายจะมีสองแบบ หนึ่งคือรักษาที่อาการ กับ สองคือรักษาที่สาเหตุ เราคิดว่า โรคทางจิตก็คล้ายๆกัน ส่วนจะใช้แบบไหนขึ้นอยู่กับความเหมาะสม จากที่อ่าน "หาหมอ-กินยามาตลอด ถ้าหยุดยาจะมีอาการเศร้า" แสดงว่าลูกคุณกำลังรักษาที่อาการอยู่ "แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองเศร้าเรื่องอะไร" แสดงว่า สาเหตุยังไม่ได้รับการวินิจฉัยออกมา ถ้าทานยาไปเรื่อยๆ หยุดแล้วก็จะเป็นอีก เพราะฉะนั้นควรหาสาเหตุ แล้วปรับความคิดความรู้สึกน่าจะดีกว่า อันนี้ต้องปรึกษาจิตแพทย์ จะกับคนเดิม หรือ ลองปรึกษาคนใหม่ก็ได้
2. บางคนทราบสาเหตุของการซึมเศร้า แก้เองได้ ก็ดีไป แก้เองไม่ได้ ก็ต้องพึ่งจิตแพทย์ ธรรมะ หรือ บุคคลอื่น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ในกรณีนี้ไม่ทราบสาเหตุ ก็ควรมีการปรึกษาจิตแพทย์ดู วิธีหาสาเหตุ อาจมีการพูดคุยระหว่างแพทย์และคนไข้ หรือ มีการบำบัดอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การทำทรานซ์ hypnosis ฯลฯ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ + ความยินยอมของคนไข้เองด้วย อย่างที่เราอ่านศึกษาหนังสือที่เขียนโดยจิตแพทย์ของอเทริกาดู เหมือนกับว่า การสะกดจิต คือการทำให้สิ่งที่มันฝังลึกอยู่ใต้จิตสำนึกมันออกมา โดยที่เวลาปกติเราจะไม่ได้คิดถึงมัน แต่มันมีผลประทบต่อจิตใจของเรา พอเราค้นพบมันแล้ว เราก็จะแก้ปมตรงนั้นได้ และ หายจากอาการเศร้าตรงนั้น หรือ มีอาการดีขึ้น
3. ยกตัวอย่าง ของเราแก้เอง สองครั้งใหญ่ๆในชีวิต หนึ่งคือเรื่องแม่ แม้เราจะรู้ว่าแม่รักเรา แต่เราสัมผัสไม่ได้ ด้วยการกระทำหลายๆอย่างของเค้าที่ตอนเด็กๆเราไม่เข้าใจและมันฝังใจตั้งแต่เด็กว่า แม่ไม่รักเรา แม่รักพี่มากกว่า ไม่ว่าจะทำอะไร ดีแค่ไหน มันก็ไม่ดีพอสำหรับแม่ ทำให้เราเป็นคนขี้อิจฉา ขาดความมั่นใจ รู้สึกไม่เป็นที่รัก ขาดความอบอุ่น ขาดความรัก ต้องมองหาความรักนอกครอบครัวตลอด แต่พอเราโตขึ้น เราระบายเรื่องความรู้สึกนี้ให้พี่เราฟัง พี่เราโทรไปบอกแม่ แม่โทรมาหาเรา มาอธิบายการกระทำของเค้าทุกอย่างและร้องไห้พร้อมขอโทษเรา หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ปมในใจของเราคลี่คลายลง เรายกโทษให้แม่ เราเข้าใจเค้า และ เราทิ้งอดีตที่ฝังใจเราไปเลย แล้วเราก็กลายเป็นคนที่ไม่ขาดความอบอุ่นอีกแล้ว รักแม่มาก มีความมั่นใจ มีความสุขเวลาอยู่กับแม่แบบไม่เคยเป็นมาก่อน สบายใจมากๆ เรื่องที่สองคือเรื่องปัญหาเรื่องเรียน ตอนนั้นเรา "เครียด วิตกกังวลแทบทุกเรื่อง เฉื่อยช้า นอนเยอะมาก" เหมือนที่ลูกคุณเป็น เราใช้เวลาประมาณสองสามเดือนแก้เรื่องความซึมเศร้า เรารู้ปัญหาของเรา แต่เราไม่สู้ปัญหา ไม่ยอมรับความจริง เลยซึมเศร้าเพราะ ไม่มีทางออกสวยๆให้กับปัญหาของเรา เหมือนคนพายเรืออยู่ในอ่าง แต่สิ่งที่ช่วยให้เราหายคือ พ่อบอกให้เราเผชิญหน้ากับความจริง แม้ว่ามันจะแย่แต่ว่าชีวิตมีทางออกเสมอ ปัญหาคือ ถ้าลูกคุณไม่ทราบต้นเหตุ แล้วจะเผชิญปัญหาได้อย่างไร แนะนำว่า ควรหาสาเหตุที่แท้จริงให้ได้ก่อน วิธีคือตามข้อ 2
3. จากที่อ่านดู "ติดแม่มาก จะทำอะไรก็ต้องให้แม่ไปด้วย ไม่มั่นใจตัวเองเลย ถ้ากลัวว่าจะทำได้ไม่ดีก็จะไม่ทำเลย" อาจจะเป็นคนที่ กลัวการตัดสินใจ กลัวที่จะอยู่คนเดียว ขาดความมั่นใจ กลัวความผิดหวัง ต้องย้อนกลับไปดูว่า ตอนเด็กเคยมีเหตุการณ์อะไรทำให้เค้าเป็นแบบนี้รึเปล่า เช่น พอทำอะไรผิดที ก็โดนดุด่าแรงๆหรือตีแรงๆ พอตัดสินใจผิดพ่อแม่ดูผิดหวังกับเค้ามาก ฯลฯ เลยไม่อยากทำอะไรเองแล้วเพราะกลับจะโดนว่า เลยขาดความมั่นใจไปเลย ความจริงจะเรียนมหาลัยคณะไหนที่ได้เหมือนคนทั่วไป คือ ให้เรียนในสิ่งที่เค้าชอบและสนใจเป็นหลัก อย่างน้อยถึงจะเฉื่อยชาแต่ความชอบจะช่วยทำให้เค้าอยากไปเรียนเอง แต่การที่เค้าซึมเศร้าจะทำให้เค้ามีชีวิตที่ไม่มีความสุข ยังไงก็ควรรักษาต่อไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1. เวลารักษาโรคทางกายจะมีสองแบบ หนึ่งคือรักษาที่อาการ กับ สองคือรักษาที่สาเหตุ เราคิดว่า โรคทางจิตก็คล้ายๆกัน ส่วนจะใช้แบบไหนขึ้นอยู่กับความเหมาะสม จากที่อ่าน "หาหมอ-กินยามาตลอด ถ้าหยุดยาจะมีอาการเศร้า" แสดงว่าลูกคุณกำลังรักษาที่อาการอยู่ "แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองเศร้าเรื่องอะไร" แสดงว่า สาเหตุยังไม่ได้รับการวินิจฉัยออกมา ถ้าทานยาไปเรื่อยๆ หยุดแล้วก็จะเป็นอีก เพราะฉะนั้นควรหาสาเหตุ แล้วปรับความคิดความรู้สึกน่าจะดีกว่า อันนี้ต้องปรึกษาจิตแพทย์ จะกับคนเดิม หรือ ลองปรึกษาคนใหม่ก็ได้
2. บางคนทราบสาเหตุของการซึมเศร้า แก้เองได้ ก็ดีไป แก้เองไม่ได้ ก็ต้องพึ่งจิตแพทย์ ธรรมะ หรือ บุคคลอื่น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ในกรณีนี้ไม่ทราบสาเหตุ ก็ควรมีการปรึกษาจิตแพทย์ดู วิธีหาสาเหตุ อาจมีการพูดคุยระหว่างแพทย์และคนไข้ หรือ มีการบำบัดอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การทำทรานซ์ hypnosis ฯลฯ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ + ความยินยอมของคนไข้เองด้วย อย่างที่เราอ่านศึกษาหนังสือที่เขียนโดยจิตแพทย์ของอเทริกาดู เหมือนกับว่า การสะกดจิต คือการทำให้สิ่งที่มันฝังลึกอยู่ใต้จิตสำนึกมันออกมา โดยที่เวลาปกติเราจะไม่ได้คิดถึงมัน แต่มันมีผลประทบต่อจิตใจของเรา พอเราค้นพบมันแล้ว เราก็จะแก้ปมตรงนั้นได้ และ หายจากอาการเศร้าตรงนั้น หรือ มีอาการดีขึ้น
3. ยกตัวอย่าง ของเราแก้เอง สองครั้งใหญ่ๆในชีวิต หนึ่งคือเรื่องแม่ แม้เราจะรู้ว่าแม่รักเรา แต่เราสัมผัสไม่ได้ ด้วยการกระทำหลายๆอย่างของเค้าที่ตอนเด็กๆเราไม่เข้าใจและมันฝังใจตั้งแต่เด็กว่า แม่ไม่รักเรา แม่รักพี่มากกว่า ไม่ว่าจะทำอะไร ดีแค่ไหน มันก็ไม่ดีพอสำหรับแม่ ทำให้เราเป็นคนขี้อิจฉา ขาดความมั่นใจ รู้สึกไม่เป็นที่รัก ขาดความอบอุ่น ขาดความรัก ต้องมองหาความรักนอกครอบครัวตลอด แต่พอเราโตขึ้น เราระบายเรื่องความรู้สึกนี้ให้พี่เราฟัง พี่เราโทรไปบอกแม่ แม่โทรมาหาเรา มาอธิบายการกระทำของเค้าทุกอย่างและร้องไห้พร้อมขอโทษเรา หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ปมในใจของเราคลี่คลายลง เรายกโทษให้แม่ เราเข้าใจเค้า และ เราทิ้งอดีตที่ฝังใจเราไปเลย แล้วเราก็กลายเป็นคนที่ไม่ขาดความอบอุ่นอีกแล้ว รักแม่มาก มีความมั่นใจ มีความสุขเวลาอยู่กับแม่แบบไม่เคยเป็นมาก่อน สบายใจมากๆ เรื่องที่สองคือเรื่องปัญหาเรื่องเรียน ตอนนั้นเรา "เครียด วิตกกังวลแทบทุกเรื่อง เฉื่อยช้า นอนเยอะมาก" เหมือนที่ลูกคุณเป็น เราใช้เวลาประมาณสองสามเดือนแก้เรื่องความซึมเศร้า เรารู้ปัญหาของเรา แต่เราไม่สู้ปัญหา ไม่ยอมรับความจริง เลยซึมเศร้าเพราะ ไม่มีทางออกสวยๆให้กับปัญหาของเรา เหมือนคนพายเรืออยู่ในอ่าง แต่สิ่งที่ช่วยให้เราหายคือ พ่อบอกให้เราเผชิญหน้ากับความจริง แม้ว่ามันจะแย่แต่ว่าชีวิตมีทางออกเสมอ ปัญหาคือ ถ้าลูกคุณไม่ทราบต้นเหตุ แล้วจะเผชิญปัญหาได้อย่างไร แนะนำว่า ควรหาสาเหตุที่แท้จริงให้ได้ก่อน วิธีคือตามข้อ 2
3. จากที่อ่านดู "ติดแม่มาก จะทำอะไรก็ต้องให้แม่ไปด้วย ไม่มั่นใจตัวเองเลย ถ้ากลัวว่าจะทำได้ไม่ดีก็จะไม่ทำเลย" อาจจะเป็นคนที่ กลัวการตัดสินใจ กลัวที่จะอยู่คนเดียว ขาดความมั่นใจ กลัวความผิดหวัง ต้องย้อนกลับไปดูว่า ตอนเด็กเคยมีเหตุการณ์อะไรทำให้เค้าเป็นแบบนี้รึเปล่า เช่น พอทำอะไรผิดที ก็โดนดุด่าแรงๆหรือตีแรงๆ พอตัดสินใจผิดพ่อแม่ดูผิดหวังกับเค้ามาก ฯลฯ เลยไม่อยากทำอะไรเองแล้วเพราะกลับจะโดนว่า เลยขาดความมั่นใจไปเลย ความจริงจะเรียนมหาลัยคณะไหนที่ได้เหมือนคนทั่วไป คือ ให้เรียนในสิ่งที่เค้าชอบและสนใจเป็นหลัก อย่างน้อยถึงจะเฉื่อยชาแต่ความชอบจะช่วยทำให้เค้าอยากไปเรียนเอง แต่การที่เค้าซึมเศร้าจะทำให้เค้ามีชีวิตที่ไม่มีความสุข ยังไงก็ควรรักษาต่อไป
mama_2ตี๋ ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 789025 ถูกใจ, --สาวลูกสอง-- ซึ้ง, ข้าวเหนียวขาวใบเตย ถูกใจ, Re'seau ถูกใจ, ไม่ใช่ตุ๊กตาหมี ถูกใจ, Estudiantes ถูกใจ
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
คนเป็นโรคซึมเศร้า ทำงานอะไรได้บ้างคะ?
ตอนนี้ลูกชายเรียน ม.6 เป็นโรคซึมเศร้ามาตั้งแต่ ป.6 อาการคือร้องไห้แล้วหยุดเองไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองเศร้าเรื่องอะไร รู้แต่ว่าเศร้ามาก วิกตกกังวลมาก หาหมอ-กินยามาตลอด ถ้าหยุดยาจะมีอาการเศร้าไม่มีเหตุผล เครียด วิตกกังวลแทบทุกเรื่อง เฉื่อยช้า นอนเยอะมาก แต่ก็เรียนได้เกรด 3.02 ค่ะ
ปีหน้าก็จะต้องเีรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยแล้ว คิดว่าจะลองให้เรียนค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะรอดมั้ย เพราะเขาไม่ชอบอยู่ในสภาพที่ถูกกดดัน ถูกเร่ง พยายามฝึกให้เขาอดทน พยายาม แต่ก็ไม่ดีขึ้น ติดแม่มาก จะทำอะไรก็ต้องให้แม่ไปด้วย ไม่มั่นใจตัวเองเลย ถ้ากลัวว่าจะทำได้ไม่ดีก็จะไม่ทำเลยค่ะ
เด็กลักษณะนี้เรียนจบแล้วจะทำงานเหมือนคนปกติทั่วไปได้มั้ยคะ? หรือต้องคอยพยุง คอยประคองกันตลอดไป อยากให้เขามั่นใจตัวเองมากขึ้น สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะปล่อยเลยดีมั้ย หรือค่อยๆ ฝึกไป ที่สำคัญคือพ่อก็ไม่เข้าใจค่ะ คิดว่าลูกไม่เป็นอะไรแต่แม่คิดไปเอง และพยายามบังคับให้ลูกทำนู่นทำนี่ โดยไม่ยอมให้แม่ช่วยค่ะ
ใครมีประสบการณ์คล้ายๆ กันบ้างมั้ยคะ? อยากรู้ว่าควรทำยังไง? ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ