ออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้ทำนาเองแต่พ่อตา แม่ยายผม เป็นคนสุรินทร์ ปลูกข้าวหอมสุรินทร์ครับ
ทำนามา ตั้งแต่รุ่นทวดโน่น
เค้าจะปลูกข้าวหอมมะลิกันเพราะพื้นที่มันปลูกได้ดี
ข้าวหอมมะลิมีเปลือก จากหน้านา โรงสีรับซื้อ กก.ละ 12 - 14 บาท
ข้าวเมื่อขัดแล้วจะได้ เป็น ข้าวสาร / เปลือก(แกลบ) ประมาณ 60 - 40 ครับ
เปลือกข้าวจะมีคนมารับซื้อไปอีกจากโรงสี ไม่ได้ทิ้งนะครับ
ข้าว 1 ตัน ขัดสีแล้วจะได้ข้าวสาร 600 กก.ได้
ต้นทุนรับซื้อ ตันละ 12000 - 14000 บาท
แต่เมื่อนำไปขัดสี แยกประเภทแล้ว ขายต่อในบริษัทข้าวหรือขายเอง ข้าวหอมจะได้ราคาที่ กก.ละ 27 - 30 บาท
มาถึงบ้านเรือนจะอยู่ที่ กก.ละ 33 - 40 บาท
ทาง โรงสีจะได้ กำไรต่อตันอยู่ที่ประมาณ 3200 บาท ขึ้นไป
ซึ่งเวลาฤดูเก็บเกี่ยวจะรับซื้อกันเป็นพัน เป็นหมื่นตัน นี่เป็นเฉพาะโรงสีในตำบลนั้นๆ ถ้าในอำเภอจะใหญ่หน่อย
ไทยเราส่งออกข้าวปีนึงประมาณ 5 ล้านตัน
ข้าวหอมมะลิชั้น 1 ส่งออก ตันละ 43000 บาท (ต้นทุนรับซื้อแล้วอยู่ ตันละ 13000 บาท)
ซึ่งรายได้จากการส่งออกนี้ คนได้กำไร ก็คือ พ่อค้าบริษัทขายข้าว กับ โรงสีที่อยู่ในเครือเดียวกัน ชาวนาไม่ได้เกี่ยวกับการส่งออกข้าวแต่อย่างไรสักบาทเลย
ส่วนชาวนา ขายข้าวได้ ตันละ 13000 แต่ต้องหักค่าใช้จ่ายเช่น ค่าเกี่ยวข้าว ค่าดำนา ค่าเครื่องสูบน้ำเข้านา ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ฯลฯ
เวลาเค้าจะเกี่ยวข้าว เค้าจะจ้างรถเกี่ยวข้าว โดยค่าจ้างก็คือ ข้าวเปลือกที่เกี่ยวนั่นแหละ แล้วแต่ตกลงกันว่าจะให้ค่าจ้างเท่าไหร่ กี่กระสอบ/ไร่ ก็ว่ากันไป
หลังจากขายข้าวให้โรงสีแล้วเหลือเข้าตัวจริงๆ ตันนึงไม่เกิน 2000 บาท
บ้านนึ่ง ถ้ามีนาเป็นของตนเอง ไม่ต้องเช่า ก็อาจจะได้ถึง 10 ตัน ก็เท่ากับได้กำไร 2 หมื่นบาท
ถ้าเป็นข้าวนาปี ก็ได้แค่นั้น ต่อ ปี
แต่ถ้าที่ไหนปลูกนาปรังได้ ก็รายได้ดีหน่อย เพราะขายได้สองครั้ง/ปี
แต่ยังไงๆ ก็ไม่พอกินพอใช้อยู่ดี
หลังจากว่างการทำนา ก็จะมาหางานทำให้ กทม. หนุ่มสาวก็ทำงานโรงงาน คนกลางคนก็ทำงานก่อสร้างหรือรับจ้างทั่วไป ส่วนคนแก่ก็ทำอาชีพพื้นเพ เช่น เลี้ยงไหม ทอผ้าไหม ทำเสื่อกก ฯลฯ เด็กเล็กก็ไปเรียนหนังสือ พ่อแม่ไปทำงาน กทม.
ช่วงว่างทำนา บ้านชนบท จะเงียบเหงามาก แทบไม่มีคนอยู่
พอถึงฤดูทำนาก็กลับบ้านไปทำนากัน
เป็นแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว
เคยถาม พ่อตา แม่ยาย ว่าทำไปทำไม ทำแล้วก็ขาดทุน เป็นหนี้ เหนื่อย ?
เค้าบอกว่า การทำนา มันคือชีวิต ไม่ใช่อาชีพของเค้า
เหมือนไม่ต่างกับเราต้องกินข้าวหรือต้องอาบน้ำ
ถึงทำแล้วไม่มีรายได้ ก็ต้องทำ
การจะแก้ปัญหาให้ชาวนามีเงิน ไม่เป็นหนี้ ก็คือ
ต้องมีกลุ่มสหกรณ์ประจำหมู่บ้าน หรือ ตำบล หรือ มีหน่วยงานรัฐเข้ามาจัดการให้
ให้หมู่บ้าน มีเครื่องสีข้าวเอง แพคถุึงเอง จัดจำหน่ายเอง หรือ จำหน่ายให้กับหน่วยงานรัฐที่รับซื้อในราคายุติธรรม มีราคากลางที่ ชาวนาไม่ขาดทุน
ไม่ต้องมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อ
กลุ่มชาวนา มีอำนาจต่อรองราคาได้ ทั้งราคาขาย ค่าปุ๋ย ค่ายา ฯลฯ
ถ้าแบบนี้ ผมคิดว่า คนไทยจะทำนามากขึ้น ชาวนารายได้มากขึ้น
แต่ราคาขายข้าวไม่ได้แพงขึ้น หนำซ้ำยังจะถูกลงอีกต่างหาก เพราะเราซื้อจากชาวนาโดยตรง
ซึ่ง ถ้าจะให้ดี พวกห้างโมเดิร์นเทรด ก็ให้รับซื้อข้าวจากสหกรณ์ไปขายโดยตรงจะดีมาก เพราะห้างพวกนี้ มีอยู่ทุกจังหวัดอยู่แล้วมั้ง
กระทั่งให้ 7 รับไปขายด้วยก็จะดีมาก
แต่เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครทำ และ ไม่คิดจะทำ
อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆว่า เพราะอะไร ?
ความจริงบางส่วนจากชาวนาปลูกข้าว รายได้ รายรับ โรงสี กำไร ฯลฯ
ทำนามา ตั้งแต่รุ่นทวดโน่น
เค้าจะปลูกข้าวหอมมะลิกันเพราะพื้นที่มันปลูกได้ดี
ข้าวหอมมะลิมีเปลือก จากหน้านา โรงสีรับซื้อ กก.ละ 12 - 14 บาท
ข้าวเมื่อขัดแล้วจะได้ เป็น ข้าวสาร / เปลือก(แกลบ) ประมาณ 60 - 40 ครับ
เปลือกข้าวจะมีคนมารับซื้อไปอีกจากโรงสี ไม่ได้ทิ้งนะครับ
ข้าว 1 ตัน ขัดสีแล้วจะได้ข้าวสาร 600 กก.ได้
ต้นทุนรับซื้อ ตันละ 12000 - 14000 บาท
แต่เมื่อนำไปขัดสี แยกประเภทแล้ว ขายต่อในบริษัทข้าวหรือขายเอง ข้าวหอมจะได้ราคาที่ กก.ละ 27 - 30 บาท
มาถึงบ้านเรือนจะอยู่ที่ กก.ละ 33 - 40 บาท
ทาง โรงสีจะได้ กำไรต่อตันอยู่ที่ประมาณ 3200 บาท ขึ้นไป
ซึ่งเวลาฤดูเก็บเกี่ยวจะรับซื้อกันเป็นพัน เป็นหมื่นตัน นี่เป็นเฉพาะโรงสีในตำบลนั้นๆ ถ้าในอำเภอจะใหญ่หน่อย
ไทยเราส่งออกข้าวปีนึงประมาณ 5 ล้านตัน
ข้าวหอมมะลิชั้น 1 ส่งออก ตันละ 43000 บาท (ต้นทุนรับซื้อแล้วอยู่ ตันละ 13000 บาท)
ซึ่งรายได้จากการส่งออกนี้ คนได้กำไร ก็คือ พ่อค้าบริษัทขายข้าว กับ โรงสีที่อยู่ในเครือเดียวกัน ชาวนาไม่ได้เกี่ยวกับการส่งออกข้าวแต่อย่างไรสักบาทเลย
ส่วนชาวนา ขายข้าวได้ ตันละ 13000 แต่ต้องหักค่าใช้จ่ายเช่น ค่าเกี่ยวข้าว ค่าดำนา ค่าเครื่องสูบน้ำเข้านา ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ฯลฯ
เวลาเค้าจะเกี่ยวข้าว เค้าจะจ้างรถเกี่ยวข้าว โดยค่าจ้างก็คือ ข้าวเปลือกที่เกี่ยวนั่นแหละ แล้วแต่ตกลงกันว่าจะให้ค่าจ้างเท่าไหร่ กี่กระสอบ/ไร่ ก็ว่ากันไป
หลังจากขายข้าวให้โรงสีแล้วเหลือเข้าตัวจริงๆ ตันนึงไม่เกิน 2000 บาท
บ้านนึ่ง ถ้ามีนาเป็นของตนเอง ไม่ต้องเช่า ก็อาจจะได้ถึง 10 ตัน ก็เท่ากับได้กำไร 2 หมื่นบาท
ถ้าเป็นข้าวนาปี ก็ได้แค่นั้น ต่อ ปี
แต่ถ้าที่ไหนปลูกนาปรังได้ ก็รายได้ดีหน่อย เพราะขายได้สองครั้ง/ปี
แต่ยังไงๆ ก็ไม่พอกินพอใช้อยู่ดี
หลังจากว่างการทำนา ก็จะมาหางานทำให้ กทม. หนุ่มสาวก็ทำงานโรงงาน คนกลางคนก็ทำงานก่อสร้างหรือรับจ้างทั่วไป ส่วนคนแก่ก็ทำอาชีพพื้นเพ เช่น เลี้ยงไหม ทอผ้าไหม ทำเสื่อกก ฯลฯ เด็กเล็กก็ไปเรียนหนังสือ พ่อแม่ไปทำงาน กทม.
ช่วงว่างทำนา บ้านชนบท จะเงียบเหงามาก แทบไม่มีคนอยู่
พอถึงฤดูทำนาก็กลับบ้านไปทำนากัน
เป็นแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว
เคยถาม พ่อตา แม่ยาย ว่าทำไปทำไม ทำแล้วก็ขาดทุน เป็นหนี้ เหนื่อย ?
เค้าบอกว่า การทำนา มันคือชีวิต ไม่ใช่อาชีพของเค้า
เหมือนไม่ต่างกับเราต้องกินข้าวหรือต้องอาบน้ำ
ถึงทำแล้วไม่มีรายได้ ก็ต้องทำ
การจะแก้ปัญหาให้ชาวนามีเงิน ไม่เป็นหนี้ ก็คือ
ต้องมีกลุ่มสหกรณ์ประจำหมู่บ้าน หรือ ตำบล หรือ มีหน่วยงานรัฐเข้ามาจัดการให้
ให้หมู่บ้าน มีเครื่องสีข้าวเอง แพคถุึงเอง จัดจำหน่ายเอง หรือ จำหน่ายให้กับหน่วยงานรัฐที่รับซื้อในราคายุติธรรม มีราคากลางที่ ชาวนาไม่ขาดทุน
ไม่ต้องมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อ
กลุ่มชาวนา มีอำนาจต่อรองราคาได้ ทั้งราคาขาย ค่าปุ๋ย ค่ายา ฯลฯ
ถ้าแบบนี้ ผมคิดว่า คนไทยจะทำนามากขึ้น ชาวนารายได้มากขึ้น
แต่ราคาขายข้าวไม่ได้แพงขึ้น หนำซ้ำยังจะถูกลงอีกต่างหาก เพราะเราซื้อจากชาวนาโดยตรง
ซึ่ง ถ้าจะให้ดี พวกห้างโมเดิร์นเทรด ก็ให้รับซื้อข้าวจากสหกรณ์ไปขายโดยตรงจะดีมาก เพราะห้างพวกนี้ มีอยู่ทุกจังหวัดอยู่แล้วมั้ง
กระทั่งให้ 7 รับไปขายด้วยก็จะดีมาก
แต่เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครทำ และ ไม่คิดจะทำ
อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆว่า เพราะอะไร ?