เขาว่าล้างพิษตับเป็นเรื่องหลอกลวง (ตอนจบ) : จับโกหกนักวิทยาศาสตร์ไทย

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


เดิมผมเองคิดว่าจะจบเรื่องหัวข้อนี้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เพราะเหตุว่าสาระสำคัญในเรื่องนี้ที่สุดก็คือการหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดผู้ที่เข้าหลักสูตรจำนวนมากจึงมีสุขภาพดีขึ้นได้อย่างไรด้วยผลการตรวจด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ประการที่หนึ่ง และเราควรจะมีการพัฒนาหรือมีข้อจำกัดอะไรที่ควรระวังเป็นประการที่สอง
       
           โดยเฉพาะการ "เริ่มต้น" สำรวจการตรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์ของผู้ที่เข้าหลักสูตรล้างพิษทั้งก่อนและหลังจำนวน 108 คนระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2556 โดย รองศาสตราจารย์นายแพทย์ อนัน ศรีพนัสกุล ซึ่งสรุปได้ว่ามีคนที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ คนที่มีเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil สูงผิดปกติ เกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ โดยส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดมีอาการดีขึ้นหลังล้างพิษตับ และคนที่มีนิ่วในถุงน้ำดีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่ง นิ่วในถุงน้ำดีหายไปเมื่อล้างพิษตับ และส่วนที่เหลืออีกจำนวนมากมีนิ่วที่เล็กลงหรือมีจำนวนน้อยลง และมีส่วนน้อยเท่านั้นที่มีสภาพนิ่วในถุงน้ำดีเหมือนเดิม
       
           เมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฏข้างต้นจึงต้องให้แพทย์อธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้มีคนเหล่านี้และรวมถึงคนอีกจำนวนมากมีอาการเจ็บป่วยน้อยลงหรือหายจากอาการเจ็บป่วย ก็ได้อ้างอิงคำอธิบายจากแพทย์แผนปัจจุบัน 3 คน ดังนี้คือ รองศาสตราจารย์นายแพทย์ สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์จากภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, นายแพทย์ คณิณ ไตรพิพิธสิริวัฒน์ ผู้อำนวยการ Holistic Medical Center, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรองศาสตราจารย์นายแพทย์อนัน ศรีพนัสกุล อาจารย์แพทย์และมีประสบการณ์สูงจากการผ่าตัดตับและถุงน้ำดีจาก ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งถือว่าเป็นแพทย์ที่มีจิตใจเปิดกว้างกับแพทย์ทางเลือก ยากที่จะหาได้ในยุคนี้
       
           แพทย์แผนปัจจุบัน 3 คน ต่างยืนยันตรงกันว่าการที่ใช้น้ำมันมะกอกในหลักสูตรล้างพิษตับนั้น คือการล่อ"น้ำดี"ออกมาเป็นจำนวนมากและสามารถนำพาสิ่งที่ตกค้างอยู่ในตับและถุงน้ำดีออกมาด้วยการขับถ่ายได้ นอกจากนี้ การขับ"น้ำดี" ได้ก็ยังมีประโยชน์อีกด้านเพราะ "น้ำดี"มีองค์ประกอบสำคัญคือไขมันและคอเลสเตอรอลชั้นเลว Low Density Lipoprotein (LDL) ด้วยหลักการเพียงแค่นี้ก็เป็นคำอธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้คนที่เข้าหลักสูตรมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้แล้ว
       
           แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีนักวิทยาศาตร์บางคน พยายามที่จะแสวงหาหรือจับผิดว่าการล้างพิษตับนั้นเป็นการหลอกลวง โดยใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์แบบครึ่งเดียวเอามาโจมตีการล้างพิษตับ เมื่อมีคำอธิบายหรือโต้แย้งกลับจนไม่สามารถตอบกลับได้ ก็จะเปลี่ยนไปใช้เหตุผลใหม่ พอโต้แย้งกลับในเหตุผลใหม่ได้อีก ก็จะเปลี่ยนเหตุผลใหม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น
       
           ทั้งหมดนี้ก็เพราะคนที่อวดอ้างตนว่าป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีลักษณะแบบนี้มี "อคติ" เป็นตัวตั้ง จึงได้ "ตั้งธง"เอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า "หลอกลวง" แล้วจึงค่อยหาเหตุผลในภายหลังเพื่อนำไปสู่ "ธงที่ได้ตั้งเอาไว้" หรือไม่ก็เปลี่ยนเหตุผลไปเรื่อยๆเมื่อถูกโต้แย้งในเหตุผลเดิมได้ ดังนั้นไม่ว่าจะมีเหตุผลมาโต้แย้งกลับอย่างไร คนเหล่านี้ที่อ้างว่าตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็จะหาเหตุผลใหม่ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีสิ้นสุดอยู่ดี
       
           ที่จริงการโต้แย้งถกเถียงในทางวิชาการถือเป็นเรื่องปกติทั้งในประเทศและในต่างประเทศ เพราะเท่ากับผู้อ่านได้รับประโยชน์อย่างยิ่งในการชี้แจงแสดงเหตุผลจากทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าเลยขอบเขตเป็นการใช้ "อคติ" จนถึงขั้นให้ "ข้อมูลเท็จ"ในการโต้แย้งกันในทางสาธารณะนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการ "หาเรื่อง" ซึ่งไม่มีราคาพอที่จะเสียเวลาไปโต้แย้งด้วย
       
           ลองคิดดูเอาเองว่า คนๆเดียวกันที่อ้างว่าตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์เริ่มต้นตั้งหัวข้อว่า การล้างตับด้วยน้ำมันมะกอกเป็นเรื่องหลอกลวง หรือนิ่วไม่สามารถออกมาได้ด้วยวิธีการนี้...
       
           แต่พอมีคนโต้แย้งว่าการตั้งหัวข้อนี้ไม่เป็นความจริง เพราะมีคนจำนวนมากมีผลทางการแพทย์ตรวจสอบว่าดีขึ้น หรือนิ่วในถุงน้ำดีหายไปได้จริงโดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด คนที่อ้างว่าตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวกันก็กลับมาเฉไฉ "ลดขอบเขต" เนื้อหาการโต้แย้งในการตั้งหัวข้อจากการล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกเป็นเรื่องหลอกลวง เหลือเพียง "ก้อนสีเขียว" ที่ออกมานั้น ไม่ใช่ "นิ่ว" แต่เกิดจากสิ่งที่เราดื่มเข้าไป และเกิดปฏิกิริยา "สบู่ก้อน" ซึ่งเกิดมาจาก "น้ำดี" ที่ทำปฏิกิริยากับ "น้ำมันมะกอก" โดยอ้างอิงว่าเป็นปฏิกิริยา "สบู่ก้อน" ที่ได้จาก "โซเดียมไฮดรอกไซด์" (NaOH) ใน "น้ำดี" ทำปฏิกิริยากับ "น้ำมันมะกอก"
       
            พอมีคนโต้แย้งว่าน้ำดีมีค่าความเป็นด่างอ่อนๆเพียงแค่ ค่า pH ประมาณ 7.5 - 8.8 เท่านั้น ไม่สามารถจะเทียบกับ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ที่มีความเป็นด่างเข้มข้นสูงถึง pH 13.0 -14.0 น้ำดีจึงไม่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยา "สบู่ก้อน" ได้ และในทางการแพทย์พบว่าถ้าเกิดภาวะที่เป็นสบู่ก้อนได้จริงจะเกิดการขับถ่ายอย่างรวดเร็วทันทีซึ่งไม่เกิดขึ้นกับการดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อล้างพิษตับ เชื่อหรือไม่ว่าคนที่อ้างตนเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวกันต้อง "เปลี่ยนเหตุผลใหม่"ว่า การเกิดสบู่ก้อนนั้นเกิดจาก "โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์" (KOH) ซึ่งเป็นด่างเข้มข้น ใน "น้ำมะนาว" ทำปฏิกิริยากับ "น้ำมันมะกอก" ที่เราดื่มเข้าไป
       
           นี่คือการ "ลักไก่" ข้อมูลโดยอ้างว่าเพราะ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) ในมะนาวเข้มข้นมาก ผมจึงโต้แย้งว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเกิดสบู่ก้อนได้จาก "โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์" (KOH) จากน้ำมะนาว เพราะสิ่งที่การล้างพิษตับเกิดขึ้นนั้นเราดื่มน้ำมันมะกอก 1 ส่วน (ไม่ต่ำกว่า 150 ซีซี) น้ำมะนาว 1 ส่วน (ไม่ต่ำกว่า 150 ซีซี) ซึ่งในน้ำมะนาวปริมาณเท่านี้จะมีโพแทสเซียมเพียงแค่ 0.153 กรัมเท่านั้น จึงไม่สามารถทำให้เกิดสบู่ก้อนได้ เพราะแม้แต่น้ำมะนาวอย่างเดียวในโภชนาการศาสตร์ได้จัดให้น้ำมะนาวที่ย่อยสลายแล้วออกฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆมีค่า pH ไม่เกิน 9.0 จึงย่อมไม่สามารถทำให้เกิดสบู่ก้อนได้อีกเช่นกัน
       
           ซึ่งความเป็นจริงแล้วในการทำสบู่ก้อนได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับค่า Saponification number หรือค่า Saponification Value คือจำนวนมิลลิกรัมของด่าง ที่ใช้ในทำปฏิกริยากับไขมันหรือน้ำมันจำนวน 1 กรัมแล้วเกิดเป็นสบู่อย่างสมบูรณ์ จำนวนด่างเข้มข้นที่ใช้ ขึ้นอยู่กับจำนวนและชนิดไขมัน เช่น ถ้าอยากทำสบู่ก้อนจากน้ำมันมะกอก 150 กรัม ต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ pH 13 จำนวน 20.1 กรัมขึ้นไป หรือใช้ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ที่เป็นด่างเข้มข้น pH 13.5 จำนวน 27.6 กรัมขึ้นไป ซึ่งด่างเข้มข้นสูงขนาดนี้ จะเกิดขึ้นในในร่างกายเราไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเกิดจากการดื่มหรือน้ำดีของเราก็ตาม
       
           ถึงแม้จะมีคนท้วงติงว่าสิ่งที่ผมได้ทดลองไปในตอนที่ 2 นั้น ขาดการทำให้ไขมันในน้ำมันมะกอกแตกตัวด้วยการใส่เอนไซม์ไลเปสเป็นกรดโอเลอิกเสียก่อน ซึ่งผมก็ขอน้อมรับเอาไว้พิจารณา ผมจึงได้ตัดสินใจปรับปรุงทำซ้ำอีกรอบ ด้วยการใส่น้ำมันมะกอก 150 ซีซี ผสมมะนาว 150 ซีซี (ตามสัดส่วนที่หลักสูตรนี้ดื่มจริง) แล้วใส่ยา คอมบีซีมย์ 2 เม็ด (ตามจำนวนที่ยานี้สามารถรับประทานได้ต่อมื้อ) ซึ่งจะมีเอนไซม์ไลเปสรวมอยู่ด้วย แล้วจากนั้นจึงผสมโซเดียมไฮดรอกไซด์ที่เจือจางในน้ำแล้วจนมีค่า pH 9.0 (ซึ่งสูงกว่าภาวะด่างเข้มข้นสุดของน้ำดีเล็กน้อย) ผลก็จะปรากฏว่าไม่สามารถเกิดสบู่ก้อนได้อยู่ดี (ตามภาพที่ 1)

ภาพที่ 1 ส่วนผสมจริงที่ดื่มเข้าไปในการล้างพิษตับ น้ำมันมะกอก 150 ซีซี + น้ำมะนาว 150 ซีซี แล้วใส่ยาคอมบีซีย์ 2 เม็ด (แทนเอนไซม์ไลเปส) + โซเดียมไฮดรอกไซด์เจือจางจน pH ได้ 9.0 (ใกล้เคียงน้ำดี) ไม่สามารถเกิดก้อนสบู่ได้แต่ประการใด
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
" ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่วิจารณญาณ หรือจะหาสบู่ต่อไปก็แล้วแต่บุญกรรมของแต่ละคนจริงๆ"

แสดงว่าคนที่ไม่เชื่อมีกรรม? คนที่เชื่อมีบุญ?


"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญหาที่เผชิญอยู่เบื้องหน้าของทุกคน คือปัญหาเรื่องทุกข์และความดับทุกข์ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายถูกความทุกข์เสียบอยู่ทั้งทางกายและทางใจ อุปมาเหมือนผู้ถูกยิงด้วยลูกศร ซึ่งกำซาบด้วยยาพิษแล้ว ญาติมิตรเห็นเข้าเกิดความกรุณา จึงพยายามช่วยถอนลูกศรนั้น แต่บุรุษผู้โง่เขลาบอกว่าต้องไปสืบให้ได้เสียก่อนว่าใครเป็นคนยิง และยิงมาจากทิศไหน ลูกศรทำด้วยไม้อะไร แล้วจึงจะค่อยๆมาถอนลูกศรออก ภิกษุทั้งหลายบุรุษผู้นั้นจะต้องตายเสียก่อนเป็นแน่แท้"

จะตีความว่าถ้าจะล้างพิษตับแต่มัวแต่ไปหาข้อมูลนู่น นั่น นี่ จะได้ตายก่อนล้างพิษ?

ไร้สาระน่ะ จะยกอะไรมาก็หาเหตุผลดีๆไม่ได้หรือ?

มีใครตายเพราะไม่ล้างพิษตับบ้าง?

แพทย์ชันสูตรพบว่าตับมีสารพิษมากเกินไปเลยเสียชีวิต


หน้าที่ของตับ

1.ตับเป็นอวัยวะที่สร้างสารต่างๆที่สำคัญ เช่นไข่ขาวหนือ albumin ช่วยอุ้มน้ำให้อยู่ในหลอดเลือด
หากไข่ขาวในเลือดต่ำจะทำให้เกิดอาการบวมเท้า ท้องมาน

2.ตับเป็นอวัยวะที่ผลิตน้ำดี และเกลือน้ำดีเพื่อช่วยย่อยสลายไขมัน
โดยน้ำดีจะถูกขับออกทางเดินอาหารทำให้อุจาระสีเหลือง หากทางเดินน้ำดีอุดตันอุจจาระจะมีสีขาว

3.ตับเป็นอวัยวะที่สะสมพลังงานเช่น glucose และวิตามิน

4.ตับเป็นโรงงานผลิตพลังงานให้ร่างกาย โดยสลายสารอาหารให้ร่างกาย เมื่อตับป่วยจึงรู้สึกเพลียมาก

5.ตับมีหน้าที่กำจัดของเสีย ของเสียที่ร่างกายเราได้มาจากอาหารหรือสารที่เรารับเข้าไป เช่นยา แอลกอฮอลล์ กาแฟ หรือสารที่เป็นพิษ และอีกส่วนหนึ่งมาจากการย่อยหรือสลายสารอาหาร เมื่อสารพิษผ่านตับ ตับจะทำหน้าที่ทำลายสารพิษนั้น แต่หากเราได้รับสารพิษมากก็อาจจะทำให้ตับเสียหายได้

6.ตับเป็นที่อยู่ของเม็ดเลือดเพื่อดักจับเชื้อโรค


จากข้อ5 ต้องรับสารพิษขนาดใหนตับถึงจะเสียหาย? หรือต้องกินผักที่มียาฆ่าแมลงเยอะสัก2กิโล ตับถึงจะมีพิษเยอะจนต้องล้างพิษตับ?

จากการเสาะหาความรู้จากในและนอกประเทศ ยังหาไม่เจอว่า
กระบวนการดูดซึมในลำใส้และกระเพาะอาหาร
ไม่มีขั้นตอนใหนเลยที่บอกว่า ของในกระเพาะอาหารและลำใส้ส่งไปที่ตับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เจอแต่ตับให้น้ำดีส่งไปที่ลำใส้เล็กตอนต้น

แล้วสารทั้งหมดมันจะย้อนเข้าไปทางถุงน้ำดีแล้วเข้าไปที่ตับเหรอ?

ใหนๆ จขกท ก็ยกมาละ

งั้นผมยกมาบ้างแล้วกัน

หลักกาลามสูตร

มา อนุสฺสวเนน - อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
มา ปรมฺปราย - อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
มา อิติกิราย - อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
มา ตกฺกเหตุ - อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
มา นยเหตุ - อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
มา ภพฺพรูปตา - อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
มา สมโณ โน ครูติ - อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

ทั้งหมดนี้คือ อย่าเพิ่งเชื่อถ้ายังไม่ได้พิสูจน์หรือค้นหาความจริงและดูความสมเหตุสมผล (ถ้าใครจะแปลแบบกำปั้นทุบดินก็แล้วแต่)

อย่าพยามพิมพ์อะไร เพื่อบอกให้คนต้องเชื่อตัวเอง แล้วบอกว่าอีกฝ่ายโกหก

เพราะผมพิจารณาแล้วว่าอีกฝ่าย ไม่ได้เชิญชวนให้เชื่อตัวเขาเอง
แต่ทดลองและเอาข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมาแสดง และให้คนอื่านสามารถค้นหาข้อมูลนั้นได้ด้วยตัวเอง

แต่กับฝ่ายที่บอกล้างพิษตับ ได้พยามบอกแต่ว่าของตัวเองทำแล้วดีทำแล้วได้ผลให้ทำเลยดีแน่นอน
ไม่สามารถให้คนที่รับรู้ไปหาข้อมูลอื่นเพิ่มเติมได้ เพราะมีแต่ข้อมูลที่เขียนขึ้นมาเองส่วนใหญ่
เรื่องประตูเวลาอวัยวะถ้าจำไม่ผิดก็เป็นเรื่องไม่จริงด้วยเช่นกัน

ใครกันแน่ที่โน้มน้าวคนอื่น


ถ้าอยากจะจับโกหก ทำไมไม่นัดกัน ทดลองพร้อมกัน มีสักขีพยานเยอะๆ
จะได้รู้กันไปเลยว่าไอ้ฝ่ายใหนมันหลอกลวงกันแน่
เชิญผู้เชี่ยวชาญกายวิภาคฯจากหลายๆสถาบันมารับรองและให้ข้อมูลด้วย
ว่าตั้งแต่เข้าปากยันออกตูดขั้นตอนใหนที่ไปล้างพิษตับ

ตอนนี้ผมเชื่อวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้จริง เห็นตามจริง ไม่ได้งมงายวิทยาศาสตร์
ถ้าทางฝั่งล้างพิษ สามารถพิสูจน์ได้จริงและเป็นประโยชน์จริง มีองค์การแพทย์และทั่วโลกว่ามันเป็นจริง
ผมก็พร้อมที่จะเชื่อว่าการล้างพิษตับใช้ได้ผลจริง


แปะอีกรอบละกัน


เพราะคลิปนี้คือกายวิภาคฯเรื่องกระบวนการย่อยอาหาร ซึ่งข้อมูลทั่วโลกเหมือนกับคลิปนี้


หรือจะบอกว่า สารอาหารยังสวนไปทางน้ำดีไปล้างตับอีก และคลิปนี้ผิด?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่