คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
ก็แล้วแต่นิยามของแต่ละคนล่ะครับ เอาเป็นว่าลักษณะการใช้เงินแต่ละประเภทนะครับ
1.ฝากธนาคาร บัญชีออมทรัพย์ ฝากประจำระยะสั้น ใช้กับเงินที่ห้ามเสียเงินต้น และไม่รู้ว่าจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินนั้นเมื่อไหร่ ผลตอบแทนต่ำ
2.ฝากประจำระยะยาว (ไม่ค่อยมีคนนิยมครับ) สลากออมสิน พันธบัตรรัฐบาล ใช้กับเงินที่ห้ามเสียเงินต้น ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนั้นใน 1-2 ปี ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูงกว่า ข้อแรกนิดนึง
3.กองทุนต่างๆ อันนี้โอกาสเสียเงินต้นค่อนข้างต่ำ (แต่ก็อาจเป็นได้ถ้าคราวซวยมาเยือนครับ) ผลตอบแทนดีกว่าข้อ 2 แต่ถ้าจำเป็นต้องเอาเงินออกมาใช้ก็พอได้แต่ไม่มีใครนิยมครับ
4.ซื้อทอง โอกาสเสียเงินต้นน้อย ผลตอบแทนไม่เยอะมาก ถ้าไม่ใช่เซียนจริงๆเข้าซื้อไม่ถูกจังหวะจริงๆ ทำกำไรได้ไม่เยอะครับ สภาพคล่องของเงินสูง สามารถเอาทองไปขายได้ง่าย
5.ซื้ออสังหาริมทรัพย์ เสียเงินต้นไปเลย ผลตอบแทนขึ้นกับการเก็งทำเลแต่ละที่ ถ้ามั่นใจในฝีมือวิธีนี้ให้ผลตอบแทนสูงพอได้ แต่สภาพคล่องต่ำ ถ้าจำเป็นต้องรีบใช้เงิน หว่าจะหาคนซื้อได้บางทีต้องใช้เวลาครับ
6.ซื้อหุ้นระยะยาวแบบ VI ไม่ใช่เล่นหุ้น อันนี้ก็เสียเงินต้นไปเลย แลกกับเงินปันผลที่มักจะดีกว่าดอกเบี้ยธนาคารพอได้ครับ ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินสามารถขายหุ้นได้ (แต่ได้เท่าไหร่ไม่รู้ อาจได้เกิน หรือได้ไม่ครบครับ)
7.เล่นหุ้นเก็งกำไร อันนี้สั้นๆ High Risk High Return ครับ
8.ทำธุรกิจเอง อันนี้ผมว่า High Risk มากกว่าเล่นหุ้นอีกครับ เล่นหุ้นเลวร้ายสุดก็เป็นศูนย์ อันนี้มีโอกาสติดลบครับ แต่ถ้าจับธุรกิจดีๆ ก็ผลตอบแทนดีกว่าทุกข้อครับ
ปล.สำหรับผมเงินเก็บส่วนใหญ่อยู่กับสลากออมสิน และ MEbyTMB ครับ แต่ก็แบ่งส่วนนึงมาเล่นหุ้น (ประมาณ 10% ของรายได้ต่อเดือน) ซึ่งถ้าเงินก้อนนี้กลายเป็นศูนย์ ก็ยังไม่เดือดร้อนครับ (จริงๆก็ไม่ถึงกับศูนย์หรอก แค่หายไป 20-30% เอง เหอๆ)
ปล.2 วิธีแบบประหลาดๆเช่น ค้าของเถื่อน เจ้ามือหวย เปิดโต๊ะบอล ไฮโล ฯลฯ อันนี้ผมไม่ทราบครับ
1.ฝากธนาคาร บัญชีออมทรัพย์ ฝากประจำระยะสั้น ใช้กับเงินที่ห้ามเสียเงินต้น และไม่รู้ว่าจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินนั้นเมื่อไหร่ ผลตอบแทนต่ำ
2.ฝากประจำระยะยาว (ไม่ค่อยมีคนนิยมครับ) สลากออมสิน พันธบัตรรัฐบาล ใช้กับเงินที่ห้ามเสียเงินต้น ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนั้นใน 1-2 ปี ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูงกว่า ข้อแรกนิดนึง
3.กองทุนต่างๆ อันนี้โอกาสเสียเงินต้นค่อนข้างต่ำ (แต่ก็อาจเป็นได้ถ้าคราวซวยมาเยือนครับ) ผลตอบแทนดีกว่าข้อ 2 แต่ถ้าจำเป็นต้องเอาเงินออกมาใช้ก็พอได้แต่ไม่มีใครนิยมครับ
4.ซื้อทอง โอกาสเสียเงินต้นน้อย ผลตอบแทนไม่เยอะมาก ถ้าไม่ใช่เซียนจริงๆเข้าซื้อไม่ถูกจังหวะจริงๆ ทำกำไรได้ไม่เยอะครับ สภาพคล่องของเงินสูง สามารถเอาทองไปขายได้ง่าย
5.ซื้ออสังหาริมทรัพย์ เสียเงินต้นไปเลย ผลตอบแทนขึ้นกับการเก็งทำเลแต่ละที่ ถ้ามั่นใจในฝีมือวิธีนี้ให้ผลตอบแทนสูงพอได้ แต่สภาพคล่องต่ำ ถ้าจำเป็นต้องรีบใช้เงิน หว่าจะหาคนซื้อได้บางทีต้องใช้เวลาครับ
6.ซื้อหุ้นระยะยาวแบบ VI ไม่ใช่เล่นหุ้น อันนี้ก็เสียเงินต้นไปเลย แลกกับเงินปันผลที่มักจะดีกว่าดอกเบี้ยธนาคารพอได้ครับ ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินสามารถขายหุ้นได้ (แต่ได้เท่าไหร่ไม่รู้ อาจได้เกิน หรือได้ไม่ครบครับ)
7.เล่นหุ้นเก็งกำไร อันนี้สั้นๆ High Risk High Return ครับ
8.ทำธุรกิจเอง อันนี้ผมว่า High Risk มากกว่าเล่นหุ้นอีกครับ เล่นหุ้นเลวร้ายสุดก็เป็นศูนย์ อันนี้มีโอกาสติดลบครับ แต่ถ้าจับธุรกิจดีๆ ก็ผลตอบแทนดีกว่าทุกข้อครับ
ปล.สำหรับผมเงินเก็บส่วนใหญ่อยู่กับสลากออมสิน และ MEbyTMB ครับ แต่ก็แบ่งส่วนนึงมาเล่นหุ้น (ประมาณ 10% ของรายได้ต่อเดือน) ซึ่งถ้าเงินก้อนนี้กลายเป็นศูนย์ ก็ยังไม่เดือดร้อนครับ (จริงๆก็ไม่ถึงกับศูนย์หรอก แค่หายไป 20-30% เอง เหอๆ)
ปล.2 วิธีแบบประหลาดๆเช่น ค้าของเถื่อน เจ้ามือหวย เปิดโต๊ะบอล ไฮโล ฯลฯ อันนี้ผมไม่ทราบครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
#3 เขาเตือนดี ๆ แล้ว จขกท ยังเถียง เงินแบบนี้เรียกเงินเย็นไม่ได้ เพราะมันคือ
เงินร้อน (ร้อนมากด้วย) เงินที่มีกำหนดต้องใช้แน่นอนตายตัวแบบนี้ มันคือเงิน-
ร้อนดี ๆ นี่เอง เพียงแต่ยังไม่ถูกใช้ต่างหาก
เงินเย็น คือ เงินที่ถ้าเราทำหายไปจนหมดก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราต้องลำบากอะไร
เช่น มีเงินฝากอยู่ในธนาคารมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว ลืมเพิ่งมานึกได้เอาตอนปี 56
เป็นต้น
เงินร้อนแบบนี้ มีเวลาแค่ปีเดียว อยากได้ผลตอบแทนสูงสุด น่ะมันทำได้ แต่คุณ
รับความเสี่ยงขนาดนั้นได้หรือเปล่า ดั่งคำพูดที่ว่า
high risk high return
อยากได้ผลตอบแทนสูง ๆ ในระยะเวลาอันสั้น (ปีเดียวนี้สั้นมากนะครับ) คุณก็-
ต้องรับความเสี่ยงที่มากตามในอัตราทวีคูณเพิ่มเข้าไปด้วย
ถ้า "สมมติ" ว่าลงทุนหุ้นไปแล้ว เกิดติดดอยขึ้นมา เช่น เอาเงินไปลงในหุ้นปั่น
แน่นอนว่าผลตอบแทนมันงดงามแน่นอน แต่ถ้าผิดพลาดขึ้นมาล่ะ ต้องเอาเงิน
ไปจมอยู่กับหุ้นโดยที่ขายไม่ได้อยู่เป็นปี ๆ จนเกินกำหนดที่จะต้องใช้เงิน แบบ
นี้รับได้หรือเปล่า?
ผมอ่านมาตั้งแต่ความเห็นแรก ทุกคนเขาแนะนำด้วยความจริงใจนะครับ เงิน
ร้อนมากขนาดนี้เอาไปฝากธนาคารเถอะ
คนที่นี่เขาอยู่กันมานาน พอจะเห็นแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ห้องสินธรมันเกี่ยวพัน
เรื่องเงินเรื่องทอง เขาไม่แนะนำสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกครับ
การเอาเงินที่มีกำหนดการใช้แน่นอนแบบนี้มาลงทุน ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการ
ลงทุนด้วยการกู้ยืมเขามานั่นแหละ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นแทบไม่มีความแตกต่าง
กันเลย ซึ่งการกู้เงินมาลงทุน ถ้าไม่เจ๋งจริง ก็เจ๊งมานักต่อนักแล้ว
ฝากธนาคารเถอะครับ ด้วยความหวังดี
เงินร้อน (ร้อนมากด้วย) เงินที่มีกำหนดต้องใช้แน่นอนตายตัวแบบนี้ มันคือเงิน-
ร้อนดี ๆ นี่เอง เพียงแต่ยังไม่ถูกใช้ต่างหาก
เงินเย็น คือ เงินที่ถ้าเราทำหายไปจนหมดก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราต้องลำบากอะไร
เช่น มีเงินฝากอยู่ในธนาคารมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว ลืมเพิ่งมานึกได้เอาตอนปี 56
เป็นต้น
เงินร้อนแบบนี้ มีเวลาแค่ปีเดียว อยากได้ผลตอบแทนสูงสุด น่ะมันทำได้ แต่คุณ
รับความเสี่ยงขนาดนั้นได้หรือเปล่า ดั่งคำพูดที่ว่า
high risk high return
อยากได้ผลตอบแทนสูง ๆ ในระยะเวลาอันสั้น (ปีเดียวนี้สั้นมากนะครับ) คุณก็-
ต้องรับความเสี่ยงที่มากตามในอัตราทวีคูณเพิ่มเข้าไปด้วย
ถ้า "สมมติ" ว่าลงทุนหุ้นไปแล้ว เกิดติดดอยขึ้นมา เช่น เอาเงินไปลงในหุ้นปั่น
แน่นอนว่าผลตอบแทนมันงดงามแน่นอน แต่ถ้าผิดพลาดขึ้นมาล่ะ ต้องเอาเงิน
ไปจมอยู่กับหุ้นโดยที่ขายไม่ได้อยู่เป็นปี ๆ จนเกินกำหนดที่จะต้องใช้เงิน แบบ
นี้รับได้หรือเปล่า?
ผมอ่านมาตั้งแต่ความเห็นแรก ทุกคนเขาแนะนำด้วยความจริงใจนะครับ เงิน
ร้อนมากขนาดนี้เอาไปฝากธนาคารเถอะ
คนที่นี่เขาอยู่กันมานาน พอจะเห็นแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ห้องสินธรมันเกี่ยวพัน
เรื่องเงินเรื่องทอง เขาไม่แนะนำสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกครับ
การเอาเงินที่มีกำหนดการใช้แน่นอนแบบนี้มาลงทุน ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการ
ลงทุนด้วยการกู้ยืมเขามานั่นแหละ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นแทบไม่มีความแตกต่าง
กันเลย ซึ่งการกู้เงินมาลงทุน ถ้าไม่เจ๋งจริง ก็เจ๊งมานักต่อนักแล้ว
ฝากธนาคารเถอะครับ ด้วยความหวังดี
ความคิดเห็นที่ 18
ประเด็นมันอยู่ตรงนี้นี่แหละ คุณ จขกท ไม่ยอมฟังคนอื่น และเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
เมื่อมีคนมาชี้แจง ก็บอกว่าเป็นมุมมองส่วนตัว คนที่นี่เขาอยู่กันมานาน ออกมาเตือนก็
เพราะด้วยความหวังดี เขาอยู่กันมานานจนมองอะไรต่อมิอะไรออกกันจนหมดแล้วเขา
จึงแนะนำกันอย่างนี้ ก็ยังไม่ฟัง
ในเมื่อคุณมาขอความคิดเห็นจากคนอื่น ก็ควรจูนความคิดให้เป็นระบบเดียวกันคนส่วน
มากที่เขาใช้อยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าจะเอามุมมองส่วนตัวมาพูดกัน แล้วบอกว่าไม่ได้เถียง ซึ่ง
มันไม่ใช่
มันเหมือนโลกนี้เขาใช้มาตราเมตริก ในการชั่งตวงวัด แต่คุณ จขกท บอกว่าที่บ้านใช้ -
มาตราอโยธยา เวลานับตามก้านธูป น้ำหนักตวงเทียบเมล็ดข้าวสารส่วนความยาวก็เอา
ข้อนิ้วเป็นมาตรวัด
แบบนี้มันก็คงจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง
คุณ จขกท บอกเองว่าต้องการลงทุน ผมถามกลับว่าเข้าใจคำว่า "การลงทุน" มากน้อย
แค่ไหน?
ยกตัวอย่างคนที่ "ลงทุนในหุ้น" เขาถือหุ้นกันกี่ปี เขามีกระบวนการเฟ้นหาหุ้นที่จะถืออย่าง
ไร คุณ จขกท ทราบหรือไม่?
ข้อจำกัดทั้งเรื่องเงินทุนและผลิตผลอันเกิดจากการลงทุนอย่างที่คุณ จขกท นิยามเอาไว้
มันเป็นไปไม่ได้
ด้วยระยะเวลาอันสั้นเท่านี้ จะเอาผลตอบแทนสูง คุณคงจะไม่ได้ผลตอบแทนนี้จากการ
"ลงทุน" แต่อาจจะหาได้จาก "การเก็งกำไร" ซึ่งสภาวะเงินร้อนของคุณ จขกท มันยิ่งทำให้
เหมือนราดน้ำมันเข้ากองไฟ เตรียมตัวเข้าสู่หนทางหายนะ
คุณจะนิยามเงินก้อนนี้ว่าอย่างไร มันก็แล้วแต่คุณ แต่ในเมื่อคุณมาขอความคิดเห็นจาก
ระบบ ซึ่งมันไม่ได้นิยามเหมือนที่คุณใช้ คุณต้องจูน
เพราะความเข้าใจผิด คิดเข้าข้างตัวเอง เป็นหนทางหนึ่ง สู่ความหายนะไม่ว่าจะเป็นการลง-
ทุนหรือเก็งกำไรก็ตาม เช่น ลงทุนแล้วพื้นฐานเปลี่ยน ไม่ยอมขายจนขาดทุน หรือเก็งกำไร
แล้วไม่ยอมคัทหลอกตัวเองว่ามันจะเด้ง จนเสียหาย
ผมจะพูดแค่นี้ ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าคุณ จขกท จะยอมฟังหรือไม่ ในเมื่อเตือนแล้ว ขอให้โชคดี
เมื่อมีคนมาชี้แจง ก็บอกว่าเป็นมุมมองส่วนตัว คนที่นี่เขาอยู่กันมานาน ออกมาเตือนก็
เพราะด้วยความหวังดี เขาอยู่กันมานานจนมองอะไรต่อมิอะไรออกกันจนหมดแล้วเขา
จึงแนะนำกันอย่างนี้ ก็ยังไม่ฟัง
ในเมื่อคุณมาขอความคิดเห็นจากคนอื่น ก็ควรจูนความคิดให้เป็นระบบเดียวกันคนส่วน
มากที่เขาใช้อยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าจะเอามุมมองส่วนตัวมาพูดกัน แล้วบอกว่าไม่ได้เถียง ซึ่ง
มันไม่ใช่
มันเหมือนโลกนี้เขาใช้มาตราเมตริก ในการชั่งตวงวัด แต่คุณ จขกท บอกว่าที่บ้านใช้ -
มาตราอโยธยา เวลานับตามก้านธูป น้ำหนักตวงเทียบเมล็ดข้าวสารส่วนความยาวก็เอา
ข้อนิ้วเป็นมาตรวัด
แบบนี้มันก็คงจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง
คุณ จขกท บอกเองว่าต้องการลงทุน ผมถามกลับว่าเข้าใจคำว่า "การลงทุน" มากน้อย
แค่ไหน?
ยกตัวอย่างคนที่ "ลงทุนในหุ้น" เขาถือหุ้นกันกี่ปี เขามีกระบวนการเฟ้นหาหุ้นที่จะถืออย่าง
ไร คุณ จขกท ทราบหรือไม่?
ข้อจำกัดทั้งเรื่องเงินทุนและผลิตผลอันเกิดจากการลงทุนอย่างที่คุณ จขกท นิยามเอาไว้
มันเป็นไปไม่ได้
ด้วยระยะเวลาอันสั้นเท่านี้ จะเอาผลตอบแทนสูง คุณคงจะไม่ได้ผลตอบแทนนี้จากการ
"ลงทุน" แต่อาจจะหาได้จาก "การเก็งกำไร" ซึ่งสภาวะเงินร้อนของคุณ จขกท มันยิ่งทำให้
เหมือนราดน้ำมันเข้ากองไฟ เตรียมตัวเข้าสู่หนทางหายนะ
คุณจะนิยามเงินก้อนนี้ว่าอย่างไร มันก็แล้วแต่คุณ แต่ในเมื่อคุณมาขอความคิดเห็นจาก
ระบบ ซึ่งมันไม่ได้นิยามเหมือนที่คุณใช้ คุณต้องจูน
เพราะความเข้าใจผิด คิดเข้าข้างตัวเอง เป็นหนทางหนึ่ง สู่ความหายนะไม่ว่าจะเป็นการลง-
ทุนหรือเก็งกำไรก็ตาม เช่น ลงทุนแล้วพื้นฐานเปลี่ยน ไม่ยอมขายจนขาดทุน หรือเก็งกำไร
แล้วไม่ยอมคัทหลอกตัวเองว่ามันจะเด้ง จนเสียหาย
ผมจะพูดแค่นี้ ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าคุณ จขกท จะยอมฟังหรือไม่ ในเมื่อเตือนแล้ว ขอให้โชคดี
แสดงความคิดเห็น
เงินเย็น 1 ปี 700,000 บาท ลงทุนอะไรดีคะ
รบกวนขอแนวทางหน่อยค่ะ
via Pantip Talk