"สนุกการปั่น" ที่ไม่ได้มีดีแค่ปั่น

บนถนนสายหนึ่ง เป็นทางเรียบ มีเนินขึ้นลงบ้างเล็กน้อย ฝนกำลังตกโปรยๆ ผมกำลังขี่รถจักรยานคู่ใจของผมไปตามทาง ใจจดใจจ่ออยู่กับเกียร์ที่ผมใช้ กำลังและรอบขาในการปั่นของผม และจังหวะในการปั่นของผมเอง  ผมกำลังเข้าสู่ช่วงทางตรงแล้ว “มันน่าจะใกล้ถึงแล้วนะ” ผมคิดในใจ

ผมจึงหันไปถามทางทีมงานที่ปั่นจักรยานข้างๆผมว่าอีกกี่นาทีจะถึงเส้นชัย เค้าบอกผมว่า

“อีก 5 นาที ก็ถึงแล้วครับ ทำได้ดีมากๆเลยครับ ตรงไปเรื่อยๆแล้วเลี้ยวซ้ายก็ถึงแล้ว” หนึ่งในทีมงานให้กำลังใจผม

“โอเคเลยครับ” ผมบอกทีมงาน

“อีกนิดเดียวเอง สู้โว้ย” ผมบอกกับตัวเองในใจ เพราะกำลังเริ่มวิตกกับกำลังขาของตัวเองว่าจะพาตัวเองไปถึงเส้นชัยหรือไม่

คำพูดของทีมงานคนนั้นทำให้ผมคลายความกังวลลง และเริ่มสนใจไปที่จังหวะการปั่นของตัวเองเป็นหลัก ผมขี่ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ

........................เวลาผ่านไป........................ผมเริ่มพึงพัมในใจว่า “ทำไม 5 นาทีมันนานจัง”

ผมเหลือบมองนาฬิกาของตัวเอง ......... สะดุ้งเล็กน้อย เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วที่ผมได้ถามทีมงานไป มันคงไม่ใช่ 5 นาทีแล้วละ ผมเริ่มหันไปมองหาทีมงานที่บอกผมว่า 5 นาที ในใจลึกๆกะโวยเต็มที่ เอาแบบขำๆ แต่ทีมงานคนนั้นนำหน้าผมไปไกลแล้ว ผมมองไปทางเบื้องหน้าของผม มันเป็นทางยาวออกไป ดูแล้วไม่มีวี่แววเลยว่าจะถึงเลย เอ! เริ่มขำไม่ออกแล้วเราเพราะกำลังขาของเรามันถดถอยไปเรื่อยๆ

แต่ปั่นมาไกลขนาดนี้แล้ว ผมให้ความสนใจกับจังหวะการปั่นของตัวเองมากกว่า และเริ่มคิดโน้นคิดนี่ถึงจุดเริ่มต้นของการมาปั่นจักรยานในครั้งนี้ ผมมาปั่นจักรยานตามคำชักชวนของเพื่อนผม เพื่อนผมตั้งกลุ่มปั่นจักยานเล็กๆขึ้นมากลุ่มหนึ่งชื่อว่า “สนุกการปั่น” พวกเราชวนๆกันมาปั่นจักรยานกันครับ ผมไม่ได้คิดอะไรมากเลยกับการมาปั่นครั้งนี้ แค่ได้มาเจอเพื่อนๆที่ไม่คอยได้เจอ มาปั่นจักรยานด้วยกันที่หาดเจ้าหลาว สถานที่ๆได้ชื่อว่ามีถนนเลียบหาดที่สวยที่สุดในภาคตะวันออก และที่สำคัญผมพาลูกผมมาเปิดหูเปิดตาด้วย เพราะ “สนุกการปั่น” เน้นกิจกรรมที่ไปได้ทั้งครอบครัว ผมก็ตัดสินใจมาเลย

พวกเราเดินทางมาถึงที่พักก่อนหนึ่งวัน เพราะ “สนุกการปั่น” หาที่พักที่สามารถมาได้ทั้งครอบครัว มีสระว่ายน้ำสำหรับลูกชายผมด้วย ผมเลยใช้เวลาว่ายน้ำเล่นกับครอบครัวของผมเองอย่างสนุกสนาน กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่จะเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อเตรียมตัวไปปั่นจักรยานตอนเช้า

เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นมาตามเสียงของน้องวิลล์ลูกชายของผมในวัยหนึ่งขวบสิบเดือน

“ป่าป๊าลุกกกกกกกก” น้องวิลล์ส่งเสียงเรียกพร้อมกับเอามือน้อยๆของน้องวิลล์ทั้งสองมือจับมือขวาของผมไว้เพื่อดึงผมให้ลุกจากเตียง

มันเป็นเวลาหกโมงเช้า น้องวิลล์ช่างเป็นเด็กที่ตื่นตรงเวลาตลอด เดี๋ยวนี้ผมไม่เคยต้องใช้นาฬิกาปลูกเลย ผมลุกขึ้นไปเปิดม่านและแสงจากภายนอกก็ส่องเข้ามาทำเอาน้องวิลล์หยีตาอยู่แป๊บนึง จากนั้นน้องวิลล์ก็ลงจากเตียง

“ไปข้างนอก” น้องวิลล์พูดเพื่อพยายามให้ผมพาออกไปวิ่งเล่นตรงระเบียงนอกห้อง

ผมมองออกไปด้านนอก ก็ตกใจเล็กน้อย เพราะฝนตกเยอะพอสมควรเช้านี้ ต่างกับเมื่อวานที่อากาศดีไม่มีฝนเลย เห็นฝนตกแบบนี้มันทำให้ผมคิดถึงงานปั่นจักรยานเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ผมเห็นในข่าวไม่ได้ งานนั้นมีนักปั่นประมาณ 400 ชีวิต ปั่นกันท่ามกลางสายฝน ดูเท่ห์มากๆ ตอนนั้นผมยังคิดอยู่เลยว่าจะปั่นจักรยานแบบนี้ได้จริงๆต้องโปรมากๆถึงจะมาปั่นอะไรแบบนี้ได้

สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมตอนนี้คือ “แล้วมือใหม่อย่างเราจะมาปั่นจักรยานท่ามกลางสายฝนแบบนี้ได้หรือนี่ จะไหวไหมเรา”

“ไปข้างนอก” น้องวิลล์พูดบอกผมอีกครั้งเพื่อให้ผมพาออกไป ผมอุ้มน้องวิลล์ขึ้นมาและเปิดประตูเพื่อพาลูกไปชมบรรยากาศที่ระเบียงท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาโดยไม่มีวี่แววที่จะหยุดเลย

ระหว่างที่ผมกำลังยืนอยู่ตรงระเบียงได้สักพักนึง น้องวิลล์ก็พูดขึ้นมาพร้อมกับชี้นิ้วไปว่า “ลุงบังปั่น”

มองลงไปจากห้องบนชั้นสองของผม ผมเห็นบังเอ๋เพื่อนผมและทีมงานสนุกการปั่นกำลังเตรียมงานกันอยู่ เพื่อเตรียมความเรียบร้อยของจักรยานที่จะใช้ปั่นของตัวเองและของทุกๆคนที่มาปั่นจักรยานในครั้งนี้ โดยไม่มีท่าทีจะยกเลิกการปั่นแต่อย่างใด

ผมรู้จักเพื่อนผมดี บังเอ๋เป็นคนที่เน้นเรื่องของความปลอดภัยเป็นหลัก เห็นได้ชัดเจนมากจากการสอนวิธีการปั่นจักรยานเบื้องต้นของอาจารย์โอ๋และทีมงานสนุกการปั่นเมื่อวานนี้ ที่จะเน้นเรื่องความปลอดภัย การใช้เกียร์ในสถานการณ์ต่างๆรวมถึงการใช้เบรคทั้งเบรคหน้าและเบรคหลัง บังเอ๋เป็นคนรอบคอบและไม่เอาชีวิตคนอื่นมาเสี่ยงถ้าไม่มั่นใจ ดังนั้นผมเชื่อมากๆว่าถึงจะปั่นท่ามกลางฝนตกผมก็ต้องปั่นได้แน่นอน แม้ในใจลึกๆก็มีแอบเสียวๆตัวเองอยู่บ้างว่า “จะไหวไหมเรา”

“ลุงอ๋อง” เสียงน้องวิลล์ก็ดังขึ้นอีกเมื่อเห็นอ๋องเพื่อนร่วมปั่นของผมกำลังยกจักรยานออกมาจากท้ายรถ

ทุกคนเตรียมตัวไปปั่นกันแล้ว ผมและครอบครัวก็ต้องเตรียมตัวเหมือนกัน พวกเราก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปรับประทานอาหารก่อน พวกเราถือคติว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ ต้องไปเพิ่มพลังก่อนถึงจะมีแรงปั่น ยิ้ม

แต่กว่าผมจะออกจากห้องได้ก็เสียเวลาสู้รบปรบมือกับหมูน้อยวิลล์อยู่ วิลล์กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการสร้างบ้านด้วยหมอนอยู่บนเตียงนอน  วิลล์สมมติตัวเองเป็นหมูน้อยสร้างบ้านอยู่และมีป่าป๊าเป็นหมาป่าจะมาเป่าลมทำลายบ้านวิลล์ กว่าจะพาวิลล์ไปอาบน้ำแต่งตัวได้ก็เสียเวลารอหมูน้อยวิลล์สร้างบ้านด้วยฟาง แล้วก็โดนหมาป่าเป่าทำลายบ้านก่อน จากนั้นก็มาสร้างบ้านด้วยไม้ แล้วก็โดนหมาป่าเป่าทำลายบ้านอีก แล้วก็มาสร้างบ้านด้วยอิฐ (จริงๆก็สร้างด้วยหมอนทั้งหมดนั่นหละ) หม่ามี๊ถึงจะพาวิลล์ไปอาบน้ำแต่งตัวได้

ในร้านอาหารก็เสียเวลานานกว่าที่คิดไว้พอสมควร เพราะลูกวิลล์ผมซนเหลือหลาย กว่าจะจับให้ทานอาหารให้หมดเรียบร้อยก็เล่นเอาเหนื่อยเลย และพอผมพาภรรยาและลูกไปถึงที่ๆทีมงานได้นัดหมายกันไว้ก่อนแล้วผมก็พลาดการติวซักซ้อมความเข้าใจก่อนปั่นจริงไปซะแล้ว แต่ยังทันการบริหารยืดเส้นยืดสายก่อนปั่น นำโดยคุณวี นักกายภาพประจำสนุกการปั่น น้องวิลล์ก็สนุกใหญ่เลย เห็นพี่ๆบริหารร่างกายกัน วิลล์ก็ขอบ้าง ไม่ว่าคุณวีจะทำท่าไหน วิลล์ทำท่าตามหมด ทำเอาทุกคนในคณะอมยิ้มไปตามๆกัน กลายเป็นสีสันเล็กๆประจำทริปไปเลย

เมื่อทุกคนพร้อมออกเดินทางผมก็หันไปทางน้องวิลล์

“วิลล์จะไปดูป่าป๊าปั่นจักรยานไหมครับ”  ผมถาม

เนื่องจากที่พักที่ทางสนุกการปั่นจัดเตรียมไว้ให้ เป็นที่พักสำหรับครอบครัวจริงๆ มีสระว่ายน้ำให้ลูกเล่นได้ อย่างเมื่อวานนี้วิลล์ก็เล่นน้ำด้วยความสนุกสนานไปแล้วรอบนึง วิลล์อาจจะอยากไปว่ายน้ำต่อก็ได้

“ไป” วิลล์ตอบออกมาด้วยเสียงที่หนักแน่นมากๆ

“วิลล์จะไปว่ายน้ำหรือจะไปปั่นจักรยานกับป่าป๊าครับ” ผมถามอีกทีเพราะไม่แน่ใจว่าวิลล์เข้าใจไหม

“วิลล์ไปปั่น” วิลล์ตอบออกมาด้วยเสียงที่หนักแน่นเหมือนเดิม ท่ามกลางรอยยิ้มของผู้คนรอบข้าง

“งั้นก็มาขึ้นรถมาเลย”  ลุงบังตอบ

วิลล์และภรรยาของผมเลยได้สิทธิ์พิเศษในการนั่งรถตู้ของสนุกการปั่นตามป่าป๊าและคณะไปด้วย

การปั่นเริ่มต้นด้วยการขี่ไปบนทางเรียบยาวๆ ฝึกการใช้เกียร์ให้ถูกต้องพร้อมกับการไต่เนินเล็กๆเพื่อทำการทดสอบการใช้เกียร์ที่ถูกต้องด้วยตัวเอง โดยที่ทีมงานสนุกการปั่นจะกระจายกันดูแลนักเรียนทุกคน มีคนนำอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทาง และปิดท้ายด้วยรถตู้ของทางสนุกการปั่นเองปิดหลังเอาไว้ เพื่อคอยช่วยเหลือนักปั่นทุกคนยามฉุกเฉินพร้อมๆกับการกันไม่ให้ รถคันอื่นๆที่วิ่งตามหลังมาเข้าถึงนักปั่นมือใหม่ของทางสนุกการปั่นได้

ช่วงแรกผมก็ยังได้อยู่ปั่นไปเรื่อยๆไม่รู้ตัว แรงยังดีอยู่ มีการทักทายน้องวิลล์อยู่เป็นระยะ เพราะผมจะได้ยินเสียงเรียก “ป่าป๊า” ของน้องวิลล์ตลอด น้องวิลล์นั่งซ้อนตักหม่ามี๊อยู่ที่เบาะหน้า โดยที่หม่ามี๊ลดกระจกรถลงเพื่อให้เสียงน้องวิลล์ลอดออกมา ทำเอาผมอดยิ้มไปปั่นไปไม่ได้
พอวิ่งไปได้สักพักใหญ่เม็ดฝนก็จางลงพร้อมๆกับการเริ่มฝึกให้นักเรียนได้ลองขี่ในสถานการณ์หลายๆแบบ ง่ายบ้างยากบ้างต่างกันไป อย่างกรณีที่ยากหน่อยก็คงเป็นช่วงที่น่าจะเกิดความเสี่ยงต่อนักปั่นได้ง่ายเช่นการปล่อยรถลงมาจากเนินสูง ทีมงานก็จะให้ลองให้ลงมาทีละคัน ย้ำ! ทีละคันครับ เพื่อความปลอดภัยของนักปั่นมือใหม่ทุกคน และเมื่อได้ลองในสถานการณ์หลายๆแบบอย่างนี้ มันก็ค่อยๆเสริมสร้างความมั่นใจไปด้วยว่า เอ เราก็ปั่นได้อยู่นะ ยิ้ม

จุดที่เป็น Highlight ของทริปนี้เลยคือ ช่วงโค้งตรงหาดคุ้งวิมาน ถนนเลียบหาดที่สวยที่สุดในภาคตะวันออกเพราะจะมีทางขึ้นแบบลาดชันมากๆอยู่ เป็นจุดที่เอาไว้ทดสอบนักปั่นมือใหม่ให้เข้าใจวิธีการใช้เกียร์ได้อย่างแท้จริง และเป็นจุด “วัดใจ” กันเลยว่านักเรียนทุกคนจะสามารถขึ้นไปถึงยอดเนินได้หรือไม่ เพราะถ้าหยุดปั่นขาแตะพื้นเมื่อไรคุณต้องไปเริ่มปั่นขึ้นมาใหม่เลย แต่ถ้าคุณเข้าใจการใช้เกียร์พอสมควรแล้วค่อยๆปั่นขึ้นไปอย่างมีหลักการ ไม่ใช้แรงที่เกินตัว มันอาจจะหนืดๆบ้าง ขี่เป๋ไปเป๋มาบ้าง (แต่ไม่ล้ม) สุดท้ายทุกคนก็สามารถขึ้นไปถึงยอดเนินของช่วงโค้งตรงหาดคุ้งวิมานได้โดยไม่ล้มเลย

ในที่สุดผมก็มาถึงยอดของจุดชมวิวได้ แอบดีใจเล็กๆอยู่ว่าวันนี้เราขึ้นได้สบายเลย มันไม่ได้อยู่ที่แรง มันอยู่ที่การเข้าเกียร์จริงๆ ข้างๆผมตอนนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกที่มาปั่นด้วยกัน

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำได้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะทำได้” พี่เค้าหันมาบอกด้วยรอยยิ้มที่เบิกบานมาก

พี่เค้าดีใจมากที่สามารถไต่เนินสูงแบบนี้ขึ้นมาได้เองโดยไม่ล้มเลย สีหน้าพี่เค้าแสดงออกด้วยความดีใจและภูมิใจมากกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำ มาทราบทีหลังว่าพี่เค้าเป็นแม่บ้าน ไม่เคยได้มาออกกำลังกายที่ไหนมาก่อน ที่มาปั่นด้วยเพราะลูกชายอยากปั่น คุณแม่เป็นห่วงลูกก็เลยมาปั่นกับลูกด้วย เห็นสีหน้าและรอยยิ้มของพี่เค้าแล้ว ผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ความรู้สึกแบบนี้คงมีเฉพาะคนที่ปั่นมาด้วยกันแบบนี้ถึงจะเข้าใจ ยิ้ม

ระหว่างที่ขี่จักรยานกันไปเรื่อยๆจะมีทีมงานของสนุกการปั่นคอยสังเกตเป็นระยะ ทีมงานจะรู้ว่านักปั่นคนไหนต้องตามประกบเป็นพิเศษ นักเรียนมีประมาณ 12 ท่านได้ ส่วนทีมงานก็มีประมาณ 6 ท่านได้ ถือว่าไม่น้อยเลย ทำให้การดูแลและแนะนำการปั่นที่ถูกวิธีทำได้ทั่วถึงมากๆ

ตัวผมเองก็โดนแนะนำเยอะหน่อยเพราะไม่ได้มาทันตอนที่ทีมงานสอนให้ตรวจรถเองให้เรียบร้อย ปรากฏว่า เบาะนั่งของผมเตี้ยเกินไป ทำให้ผมต้องใช้แรงในการปั่นมากกว่าปกติ แต่กว่าจะรู้ตัวผมก็ปั่นไปครึ่งทางแล้ว

บังเอ๋วันนี้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถตู้อยู่ด้านหลังของนักปั่นทุกคน ในอีกหน้าที่นึงจะคอยเป็นหน่วยสังเกตการณ์ และเห็นว่าท่าทางของผมมันแปลกไม่ค่อยถูก

“ทำไมวันนี้ตี้ปั่นแหกขาเยอะพิกล” บังเอ๋บ่นให้ภรรยาของผมฟัง

“ดูตี้มันหน่อยว่าทำไมท่าทางขี่มันแปลกๆ” บังเอ๋รีบบอกทีมงานให้ประกบผมทันที

จากนั้นผมก็ถูกประกบและปรับให้เบาะนั่งของผมให้เหมาะสมกับความยาวขาของผมเอง คราวนี้พอมาขี่อีกทีผมก็รู้สึกเลยว่าก่อนหน้านี้ผมออกแรงไปเยอะเกินความจำเป็นจริงๆ

ในระหว่างปั่นยิ่งปั่นไปนานเท่าไร ผมจะรู้สึกว่าขบวนที่ปั่นมาด้วยกันเริ่มห่างกันขึ้นเรื่อยๆ โดยจะแบ่งได้สามกลุ่ม กลุ่มแรกพลังเหลือเฟือ บริหารเกียร์ได้ถูกต้อง นำโด่งไปก่อนเลย กลุ่มสอง กลุ่มที่บริหารเกียร์ใช้ได้ กำลังยังมีแต่ไม่ได้เร่ง เน้นไปตามจังหวะของตัวเอง ถ้าเป็นเด็กก็จะเป็นเด็กที่มีอนาคตที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้าได้ ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มที่ยังใช้เกียร์ไม่ถูกต้อง เน้นแรงตัวเองมากกว่าจะใช้เกียร์ช่วยเพื่อให้ทันคนอื่น พอปั่นระยะทางยาวๆ แรงเริ่มตก ระยะทางก็เริ่มห่างกับกลุ่มอื่นไปเรื่อยๆ

ทีแรกผมอยู่กลุ่มสองครับ แต่ปั่นไปปั่นไปก็กลายมาอยู่กลุ่มสามจนได้ ยิ่งขับทางตรงด้วยแล้วเห็นๆเลยว่า “ห่าง” แรงเริ่มหมดแล้วจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่