1) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประเมินว่า ถึงสิ้นปีงบประมาณ 2556 (สิ้นเดือนก.ย.นี้) รัฐบาลจะถมเงินแผ่นดินลงไปกับโครงการรับจำนำพืชผลการเกษตรสูงกว่า 800,000 ล้านบาท
ส่วนใหญ่คือโครงการรับจำนำข้าว
วงเงินที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าว ฤดูการผลิต ปี 2554/2555เรื่อยมาจนถึงปี 2555/2556 รวมใช้ไปแล้วทั้งสิ้น 610,000 ล้านบาท (และอีก 50,000 ล้านบาท ใช้ในการรับจำนำยางพารา และมันสำปะหลัง)
แถมบีบเอาเงินสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.มาใช้ก่อน เกินกว่ามติคณะรัฐมนตรีด้วยซ้ำ
เรียกว่า ภาระทางการเงินจากโครงการจำนำข้าวนั้น “มันแน่นอก” เจียนตาย
เฉพาะปีแรกปีเดียวที่มีการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ข้าราชการกระทรวงการคลังประเมินผลขาดทุนสูงถึง 260,000 ล้านบาท
2) เฉพาะผลขาดทุนต่อปี 260,000 ล้านบาท ข้างต้น หากรัฐบาลนำไปจัดสรร จ่ายตรงให้ชาวนา หรืออุดหนุนการผลิตในรูปแบบต่างๆ จะเข้ากระเป๋าชาวนา 1.7 ล้านครัวเรือน ตกครัวเรือนละ 150,000 บาท
โดยที่ชาวนาสามารถนำข้าวไปขายในตลาดทั่วไป ได้เงินเข้ากระเป๋าตามความสามารถของแต่ละรายอีกต่างหาก ไม่ต้องถูกบีบบังคับให้ขายเฉพาะโรงสีที่เข้าร่วมโครงการจำนำข้าว แถมตั้งเงื่อนไขสารพัด ไม่ว่าจะพันธุ์ข้าว หรือการทุจริตโกงกินของเจ้าหน้าที่รัฐ
หรือเปรียบเทียบกับโครงการประกันรายได้ในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ใช้เงินแผ่นดินปีละประมาณ 60,000 ล้านบาท เท่ากับว่า ถ้านำเงินที่ขาดทุนในโครงการจำนำข้าวไปทำโครงการประกันรายได้ โอนเงินเข้าบัญชีชาวนากว่า 3.7 ล้านครัวเรือน โดยตรง ชาวนาจะได้เงินส่วนต่างเข้าบัญชีมากกว่าสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ถึง 4 เท่าตัว
ไม่ต้องรอขายข้าว ไม่ต้องง้อใบประทวน ไม่ต้องลุ้นฝนแล้ง-น้ำท่วม
ที่สำคัญ ระบบการค้าการส่งออกข้าวไทยไม่เสียหาย ยังสามารถเป็นแชมป์ส่งออกข้าว ครองตลาดข้าวบนเวทีโลกไว้อย่างเหนียวแน่น ไทยจะยังเป็นประเทศปลูกข้าวไว้กิน-ขาย มิใช่ปลูกไว้เก็บ-เน่า เหมือนปัจจุบัน
3) อานิสงส์จากโครงการรับจำนำข้าว ช่วยให้โรงสีที่เข้าร่วมโครงการซื้อรถซูเปอร์คาร์ เป็นของเล่นให้ลูกหลานกันอุตลุด
แถมข้าวเขมร ก็สามารถส่งออกข้าวเปลือกมาประเทศไทยสูงเป็นประวัติการณ์
สะท้อนว่า น่าจะเป็นการนำเข้าข้าวเปลือกเขมรเพื่อมาสวมสิทธิ์ หรือแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการจำนำข้าว ซึ่งกินภาษีอากรของคนไทยทั้งประเทศ
4) ถึงสิ้นปีนี้ งบที่ใช้ในโครงการจำนำข้าวกำลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 700,000 ล้านบาท
ภาระทางการเงิน “มันแน่นอก” ย่อมส่งผลต่อการตั้งงบประมาณแผ่นดินเพื่อจ่ายคืนให้แก่ ธ.ก.ส.
แถม ธ.ก.ส. ยังต้องการให้กระทรวงการคลังจัดหา หรือค้ำประกันเงินกู้เพิ่มเติม หรือออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ชดเชยสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.ที่ถูกบีบเอาเงินมาใช้ก่อนอีกด้วยซ้ำ
ถึงวันที่ 14 พ.ค. ธ.ก.ส.ต้องสำรองจ่ายเงินในการรับจำนำข้าวแล้วถึง 147,944 ล้านบาท
น่าคิดว่า เวลานี้ การก่อหนี้ตาม พ.ร.บ.หนี้สาธารณะเกือบเต็มเพดานแล้ว ยังสามารถก่อหนี้หรือกู้เงินได้อีกประมาณ 70,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งกระทรวงการคลังต้องสำรองวงเงินกู้นี้ไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ด้วย มิใช่จะนำมาถลุงในโครงการรับจำนำข้าวอย่างเดียว
ทางเดียวคือ จะต้องเร่งระบายข้าวในสต๊อกของรัฐ เพื่อเอาเงินมาหมุนในโครงการให้ได้ ซึ่งถ้าขายเมื่อไหร่ ผลการขาดทุนก็จะยิ่งประจานโครงการในทันที
ยิ่งกว่านั้น ยังถูกแฉประจานว่า ขายข้าวรัฐในราคาถูก ทำให้เอกชนบางรายซื้อไปขายต่อ ฟันกำไรเละเทะ
ดังกรณีตัวอย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก แฉประเด็นปัญหาการทุจริตการระบายข้าว ระบุว่า รัฐบาลระบายข้าวสารผ่านผู้ประกอบการโดยวิธีการลับ บริษัทที่ได้รับคือบริษัทของเสี่ยเปี๊ยก ซึ่งเป็นเครือข่ายของเสี่ยเปี๋ยงแห่งสยามอินดิก้า เสี่ยเปี๋ยงคือผู้ใกล้ชิดทักษิณ
“เสี่ยเปี๊ยกซื้อข้าวสารจากรัฐบาลราคาตันละ 5,700 บาท และขายต่อทันที โดยใช้แฟกซ์ใบเดียวราคาตันละ 12,000 บาท เงินเข้ารัฐบาล 5,700 บาทต่อตัน เข้าส่วนตัว 6,300 บาทต่อตัน”
ยังไม่นับการขายข้าวจีทูจีเก๊!
หากินกับข้าวโครงการรับจำนำข้าว!
นี่คือสาเหตุแท้จริงที่นักการเมืองไม่ยอมเลิกโครงการจำนำข้าว เพราะถ้าไม่รับจำนำข้าวก็จะไม่มีข้าวในโกดังของรัฐให้นักการเมืองและเครือข่ายได้ทำมาหากินกันอย่างตะกละตะกลามเช่นนี้
5) ภาระทางการเงินที่แน่นอกอยู่ในวันนี้ กำลังจะกลายเป็น “วิบัติกรรม” ของชาวนาไทย ตลอดจนระบบการผลิตและการค้าข้าวไทยทั้งระบบ
โครงการรับจำนำข้าว นอกจากจะถลุงเงินแผ่นดินมหาศาล ทำให้รัฐเหลือเงินที่สามารถจะนำมาใช้จ่ายในกรณีจำเป็นฉุกเฉินลดน้อยลงแล้ว โครงการนี้ยังทำลายความสามารถในการส่งออกของไทย พ่อค้าข้าวเอกชนหันมาหากินกับข้าวในโครงการรับจำนำของรัฐบาล เช่นเดียวกับชาวนาที่หันมาขายข้าวให้รัฐผ่านโครงการรับจำนำลูกเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ วันใดที่รัฐบาลไม่สามารถจะหาเงินมาดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป ภาระหนี้กองสูงท่วมข้าวเน่าในโกดังของรัฐ วันนั้นระบบการค้าข้าวและชาวนาไทยก็จะกระอักเลือด ชะงักงัน เพราะไม่รู้จะขายข้าวให้ใคร ตลาดส่งออกข้าวในโลกก็ถูกต่างชาติยึดครองแทนที่ไปหมดสิ้นแล้ว
วันนั้น ไม่ใช่แค่โครงการรับจำนำข้าวที่จะต้องล้มไปเอง แต่ชีวิตของชาวนาไทย ระบบการผลิตและการค้าข้าวทั้งระบบก็จะถึงคราววิบัติ!
คนอย่างนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกิตติรัตน์ ณ ระนองนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือแม้แต่นายโอฬาร ไชยประวัติ และทักษิณ ชินวัตร... คนพวกนี้หรือจะรับผิดชอบกับวิบัติกรรมที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจข้าวทั้งระบบของประเทศไทย?
ค-วายที่ไถนาเก่งๆ ยังมีคุณค่าเสียกว่า!
มี่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/6994
ปล.สงสัย ใบเตบ อาร์สยาม แน่น อก..น้อยกว่ารัฐบาลชุดนี้อีก....เอิ๊ก ๆ ๆ
‘มันแน่นอก’ วิบัติกรรมจำนำข้าว
ส่วนใหญ่คือโครงการรับจำนำข้าว
วงเงินที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าว ฤดูการผลิต ปี 2554/2555เรื่อยมาจนถึงปี 2555/2556 รวมใช้ไปแล้วทั้งสิ้น 610,000 ล้านบาท (และอีก 50,000 ล้านบาท ใช้ในการรับจำนำยางพารา และมันสำปะหลัง)
แถมบีบเอาเงินสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.มาใช้ก่อน เกินกว่ามติคณะรัฐมนตรีด้วยซ้ำ
เรียกว่า ภาระทางการเงินจากโครงการจำนำข้าวนั้น “มันแน่นอก” เจียนตาย
เฉพาะปีแรกปีเดียวที่มีการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ข้าราชการกระทรวงการคลังประเมินผลขาดทุนสูงถึง 260,000 ล้านบาท
2) เฉพาะผลขาดทุนต่อปี 260,000 ล้านบาท ข้างต้น หากรัฐบาลนำไปจัดสรร จ่ายตรงให้ชาวนา หรืออุดหนุนการผลิตในรูปแบบต่างๆ จะเข้ากระเป๋าชาวนา 1.7 ล้านครัวเรือน ตกครัวเรือนละ 150,000 บาท
โดยที่ชาวนาสามารถนำข้าวไปขายในตลาดทั่วไป ได้เงินเข้ากระเป๋าตามความสามารถของแต่ละรายอีกต่างหาก ไม่ต้องถูกบีบบังคับให้ขายเฉพาะโรงสีที่เข้าร่วมโครงการจำนำข้าว แถมตั้งเงื่อนไขสารพัด ไม่ว่าจะพันธุ์ข้าว หรือการทุจริตโกงกินของเจ้าหน้าที่รัฐ
หรือเปรียบเทียบกับโครงการประกันรายได้ในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ใช้เงินแผ่นดินปีละประมาณ 60,000 ล้านบาท เท่ากับว่า ถ้านำเงินที่ขาดทุนในโครงการจำนำข้าวไปทำโครงการประกันรายได้ โอนเงินเข้าบัญชีชาวนากว่า 3.7 ล้านครัวเรือน โดยตรง ชาวนาจะได้เงินส่วนต่างเข้าบัญชีมากกว่าสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ถึง 4 เท่าตัว
ไม่ต้องรอขายข้าว ไม่ต้องง้อใบประทวน ไม่ต้องลุ้นฝนแล้ง-น้ำท่วม
ที่สำคัญ ระบบการค้าการส่งออกข้าวไทยไม่เสียหาย ยังสามารถเป็นแชมป์ส่งออกข้าว ครองตลาดข้าวบนเวทีโลกไว้อย่างเหนียวแน่น ไทยจะยังเป็นประเทศปลูกข้าวไว้กิน-ขาย มิใช่ปลูกไว้เก็บ-เน่า เหมือนปัจจุบัน
3) อานิสงส์จากโครงการรับจำนำข้าว ช่วยให้โรงสีที่เข้าร่วมโครงการซื้อรถซูเปอร์คาร์ เป็นของเล่นให้ลูกหลานกันอุตลุด
แถมข้าวเขมร ก็สามารถส่งออกข้าวเปลือกมาประเทศไทยสูงเป็นประวัติการณ์
สะท้อนว่า น่าจะเป็นการนำเข้าข้าวเปลือกเขมรเพื่อมาสวมสิทธิ์ หรือแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการจำนำข้าว ซึ่งกินภาษีอากรของคนไทยทั้งประเทศ
4) ถึงสิ้นปีนี้ งบที่ใช้ในโครงการจำนำข้าวกำลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 700,000 ล้านบาท
ภาระทางการเงิน “มันแน่นอก” ย่อมส่งผลต่อการตั้งงบประมาณแผ่นดินเพื่อจ่ายคืนให้แก่ ธ.ก.ส.
แถม ธ.ก.ส. ยังต้องการให้กระทรวงการคลังจัดหา หรือค้ำประกันเงินกู้เพิ่มเติม หรือออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ชดเชยสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.ที่ถูกบีบเอาเงินมาใช้ก่อนอีกด้วยซ้ำ
ถึงวันที่ 14 พ.ค. ธ.ก.ส.ต้องสำรองจ่ายเงินในการรับจำนำข้าวแล้วถึง 147,944 ล้านบาท
น่าคิดว่า เวลานี้ การก่อหนี้ตาม พ.ร.บ.หนี้สาธารณะเกือบเต็มเพดานแล้ว ยังสามารถก่อหนี้หรือกู้เงินได้อีกประมาณ 70,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งกระทรวงการคลังต้องสำรองวงเงินกู้นี้ไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ด้วย มิใช่จะนำมาถลุงในโครงการรับจำนำข้าวอย่างเดียว
ทางเดียวคือ จะต้องเร่งระบายข้าวในสต๊อกของรัฐ เพื่อเอาเงินมาหมุนในโครงการให้ได้ ซึ่งถ้าขายเมื่อไหร่ ผลการขาดทุนก็จะยิ่งประจานโครงการในทันที
ยิ่งกว่านั้น ยังถูกแฉประจานว่า ขายข้าวรัฐในราคาถูก ทำให้เอกชนบางรายซื้อไปขายต่อ ฟันกำไรเละเทะ
ดังกรณีตัวอย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก แฉประเด็นปัญหาการทุจริตการระบายข้าว ระบุว่า รัฐบาลระบายข้าวสารผ่านผู้ประกอบการโดยวิธีการลับ บริษัทที่ได้รับคือบริษัทของเสี่ยเปี๊ยก ซึ่งเป็นเครือข่ายของเสี่ยเปี๋ยงแห่งสยามอินดิก้า เสี่ยเปี๋ยงคือผู้ใกล้ชิดทักษิณ
“เสี่ยเปี๊ยกซื้อข้าวสารจากรัฐบาลราคาตันละ 5,700 บาท และขายต่อทันที โดยใช้แฟกซ์ใบเดียวราคาตันละ 12,000 บาท เงินเข้ารัฐบาล 5,700 บาทต่อตัน เข้าส่วนตัว 6,300 บาทต่อตัน”
ยังไม่นับการขายข้าวจีทูจีเก๊!
หากินกับข้าวโครงการรับจำนำข้าว!
นี่คือสาเหตุแท้จริงที่นักการเมืองไม่ยอมเลิกโครงการจำนำข้าว เพราะถ้าไม่รับจำนำข้าวก็จะไม่มีข้าวในโกดังของรัฐให้นักการเมืองและเครือข่ายได้ทำมาหากินกันอย่างตะกละตะกลามเช่นนี้
5) ภาระทางการเงินที่แน่นอกอยู่ในวันนี้ กำลังจะกลายเป็น “วิบัติกรรม” ของชาวนาไทย ตลอดจนระบบการผลิตและการค้าข้าวไทยทั้งระบบ
โครงการรับจำนำข้าว นอกจากจะถลุงเงินแผ่นดินมหาศาล ทำให้รัฐเหลือเงินที่สามารถจะนำมาใช้จ่ายในกรณีจำเป็นฉุกเฉินลดน้อยลงแล้ว โครงการนี้ยังทำลายความสามารถในการส่งออกของไทย พ่อค้าข้าวเอกชนหันมาหากินกับข้าวในโครงการรับจำนำของรัฐบาล เช่นเดียวกับชาวนาที่หันมาขายข้าวให้รัฐผ่านโครงการรับจำนำลูกเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ วันใดที่รัฐบาลไม่สามารถจะหาเงินมาดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป ภาระหนี้กองสูงท่วมข้าวเน่าในโกดังของรัฐ วันนั้นระบบการค้าข้าวและชาวนาไทยก็จะกระอักเลือด ชะงักงัน เพราะไม่รู้จะขายข้าวให้ใคร ตลาดส่งออกข้าวในโลกก็ถูกต่างชาติยึดครองแทนที่ไปหมดสิ้นแล้ว
วันนั้น ไม่ใช่แค่โครงการรับจำนำข้าวที่จะต้องล้มไปเอง แต่ชีวิตของชาวนาไทย ระบบการผลิตและการค้าข้าวทั้งระบบก็จะถึงคราววิบัติ!
คนอย่างนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกิตติรัตน์ ณ ระนองนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือแม้แต่นายโอฬาร ไชยประวัติ และทักษิณ ชินวัตร... คนพวกนี้หรือจะรับผิดชอบกับวิบัติกรรมที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจข้าวทั้งระบบของประเทศไทย?
ค-วายที่ไถนาเก่งๆ ยังมีคุณค่าเสียกว่า!
มี่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/6994
ปล.สงสัย ใบเตบ อาร์สยาม แน่น อก..น้อยกว่ารัฐบาลชุดนี้อีก....เอิ๊ก ๆ ๆ