พฤติกรรมลงทุนของนักลงทุนในหุ้นโดยเฉพาะรายย่อย

กระทู้สนทนา
หัวใจ  เครดิตบทความโดย.....Thawat  

พฤติกรรมลงทุนของนักลงทุนในหุ้นโดยเฉพาะรายย่อย

แรกเริ่ม จะเริ่มลงทุนในหุ้นพื้นฐาน Blue Chip  มีกำไรบ้าง แต่รู้สึกว่ากำไรที่ได้มันน้อยเกินไป เห็นคนอื่น ๆ กำไรดี ๆ ก็ขอเปลี่ยนพฤติกรรมลงทุนแบบมองระยะยาวเป็นมองระยะสั้นบ้าง

ต่อมา เล่นหุ้นระยะสั้นแล้วมีกำไรมาก เร็วกว่าหุ้นพื้นฐาน ก็เริ่มหันมาจับหุ้นเก็งกำไร โดยเฉพาะ หุ้น Super เก็งกำไร ได้แก่ Warrant ช่วงแรก ๆ ก็กำไรดี ต่อจากนั้นก็เริ่มราคาลดลง แต่ยังเล่นหุ้นแบบถือ Blue Chip สุดท้ายก็กลายเป็น Blue เหมือนกันแต่เสียงมันเพี้ยนออกไปอีกทางหนึ่งนะครับ

พอเล่นไปสักระยะหนึ่ง เห็นหุ้นกลุ่มหนึ่งคือ หุ้นที่ถือระยะยาวมากขึ้นแล้วมีกำไรมาก ๆ ก็ยอมลงทุนถือยาวมากขึ้น ถือไปถือมาหลายปี ก็เริ่มมีความโลภครอบงำ คิดว่าราคาจะต้องไปอีกหลายเท่า ผลสุดท้ายราคาที่เคยสูงหลายเท่ามันก็เริ่มลดลง  หัวเราะ

ทางออกของการลงทุนคือ จะเล่นสั้น เล่นกลาง เล่นยาว ขึ้นอยู่กับจังหวะการลงทุน ถ้าอยากเก็บเกี่ยวผลตอบแทน ก็คงต้องแบ่ง Port เล่น ระยะสั้น ก็ต้องถือสั้นจริง ๆ ระยะกลาง ก็ถือกลาง ระยะยาวก็ต้องถือยาว อย่าไปสับสนวิธีการ เช่น เราบอกว่าเล่นเก็งกำไรระยะสั้น แต่พอราคามันลดลงมาติดดอย เรากลับบอกว่า ไม่ขายไม่ขาดทุน เอาวิธีการเล่นระยะยาวมาใช้ จากลงทุนเลยกลายเป็น Long ทน นะครับ หรือเล่นระยะยาว พอกำไรขึ้นมาหน่อย ก็ขายทิ้งแบบระยะสั้น แบบนี้แทนที่จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ก็เลยเสียโอกาสไป หรือบอกว่าลงทุนระยะยาว แต่ราคามันลดลงไปหน่อย  ถือ หลายเดือนแล้วก็ยังไม่ขึ้น สมาธิสั้น ก็เลยขายทิ้งเลย เพราะกลัวขาดทุนเหมือนการลงทุนระยะสั้น เป็นต้น ดังนั้นเราต้องไม่สับสนกับวิธีการ ต้องตอบคำถามตนเองให้ได้

สุดท้ายการบริหารความเสี่ยงที่ดี เราควรจะตอบคำถามว่า เราเลือกซื้อหุ้นในแต่ละระยะเพราะอะไร จังหวะในการซื้อที่เหมาะสมเป็นอย่างไร ต่อจากนั้นก็ตั้งคำถามว่า หุ้นในแต่ละระยะเราต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่ กำหนดเป็นแนวทางไว้ เรายอมรับความเสี่ยงได้เท่าไหร่ ทั้งหมดกำหนดเป็นแนวทางไว้ก่อน มิฉะนั้นเวลาเข้าตลาดจริง ๆ เราจะถูกกระแสต่าง ๆ ครอบงำการตัดสินใจของเรา ทำให้ตลาดจะเป็นผู้สั่งเรา ไม่ใช่เราเป็นผู้สั่งหรือบริหารคำสั้งของเรา เป็นแนวทางเพื่อป้องกันความโลภ หรือความกลัวนะครับ เมื่อได้ตามเป้าหมาย หรือขาดทุนตามที่กำหนดไว้ ก็อย่าลังเลใจ ต้องมีวินัย มีระบบการเล่นให้ชัดเจน อย่าสับสนกับวิธีการนะครับ

ผมไปอ่านเจอหนังสือเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคนะครับมีคำอยู่ 3 คำที่น่าสนใจคือ

1.  ราคาตลาด หมายถึงราคาที่สะท้อนจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดในเรื่องการตีค่าหุ้น ซึ่งถ้ามีความโลภมาก ราคาตลาดก็จะสูงขึ้น และถ้าสะท้อนในเชิงกลับกันคือความกลัวมาก ราคาตลาดก็จะปรับลดลง ดังนั้นราคาตลาดระยะสั้น จึงสะท้อนถึงความโลกและความกลัวของคนในวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น
2. ปริมาณหุ้นที่ซื้อขาย สะท้อนถึงความมั่นใจและไม่เชื่อมั่นในหุ้นที่ถือของนักลงทุนในตลาด เช่น ถ้ามั่นใจมาก ๆ ราคาหุ้นก็สูงเพิ่มขึ้นพร้อมปริมาณหุ้นที่มากขึ้น ทำนองเดียวกัน ถ้าไม่มั่นใจ ราคาหุ้นก็ต่ำลงพร้อมด้วยปริมาณหุ้นที่สูงขึ้น
3.  ระยะเวลาหรือแนวโน้มของหุ้น จะสะท้อนถึงพฤติกรรมของนักลงทุนจากการวิเคราห์ข้อมูลต่าง ๆ ทั้งหมด โดยถ้ามองว่าหุ้นมีแนวโน้มไม่ดี ราคาของหุ้นก็จะสะท้อนเส้นแนวโน้มในราคาต่ำลง แต่ถ้ามองว่าแนวโน้มดี ราคาของหุ้นก็จะสะท้อนแนวโน้มในราคาหุ้นที่สูงขึ้น โดยถ้าสังเกตแนวโน้มให้ดี ก็จะพบว่าเส้นแนวโน้มของพฤติกรรมจะมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นรอบ ๆ หรือ Cycle ทำให้นักวิเคราะห์ทางเทคนิคนำข้อมูลสถิติเหล่านี้มาใช้ในการกำหนดจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมต่อไป

ทั้งหมดนี้ก็เพียงนำมาทบทวนเพื่อกลับไปสู่มุมมอง Back to Basic เพราะหลาย ๆ ครั้งเวลาเราเล่นหุ้นไปแล้ว ทำให้บางครั้งลืมนึกถึงพื้นฐานของหุ้นไปนะครับ


อมยิ้ม03
ปล. ลงทุนในตลาดต้องมีจุดยืนครับ คนไม่มีจุดยืน และยืนในที่เหมาะสมในการลงทุน ท้านที่สุดจะจบลงด้วยความล้มเหลว การสื่อสาร พูดคุยทางเว็ปบอร์ด ส่วนใหญ่เป็น นลท.ระยะสั้น ใครที่ตั้งมั่นว่าจะเป็น นลท.ระยะยาว หากคล้อยตาม เป้าหมายและความรู้สึกจะผิดเพี้ยนไปครับ ดังนั้น วิธีการ ความรู้ และสติ สำคัญมากๆที่จะเป็นภูมิต้านทานความล้มเหลวในระยะยาวครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่