[เสียงคนวงนอก] Fast&Furious 6 : คุณมี “ครอบครัว – เพื่อนพ้อง” ที่แท้จริงหรือเปล่า?
โดย : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : TonyMao Nk
หากจะถามว่า..วันนี้มีหนังภาคต่อชุดไหนที่ยังเดินหน้าได้อย่างไม่หยุด คงต้องบอกว่าเหลือเพียง 2 ชุดเท่านั้น หนึ่งคือหนังที่ว่าด้วยการเต้นอย่าง
Step Up กับอีกหนึ่งคือหนังที่ว่าด้วยรถซิ่งอย่าง
Fast&Furious และก็ต้องยอมรับว่าเรื่องหลังนี้ท่าจะมีข้อได้เปรียบพอสมควรในการใส่ลูกเล่นใหม่ๆ เข้าไปได้เรื่อยๆ จากภาคแรกเมื่อ 12 ปีก่อน ( 2001 – 2544 ) ที่เป็นเพียงหนังแข่งรถ อันมีอาชญากรรมเป็นเรื่องรอง มาจนถึงวันนี้ ( 2013 – 2556 ) ใครจะคิดว่าจากแก๊งค์ซิ่งเล็กๆ แก๊งค์หนึ่ง จะกลายมาเป็น Anti – Hero ( พวกที่แม้จะทำผิดกฎหมาย แต่ไม่เคยผิดคุณธรรม เช่น Robinhood ที่ปล้นคนรวยผู้ฉ้อฉล มาช่วยประชาชนผู้ยากไร้ ) ที่ต้องไปหยุดยั้งแผนการสร้างอาวุธมหาประลัยที่สามารถนำไปใช้ยึดครองโลกได้ ของแก๊งค์อาชญากรข้ามชาติระดับพระกาฬ ที่มี Owen Shaw ( Luke Evans ) เป็นหัวหน้ากลุ่ม
มาในภาคนี้ ก็อย่างที่ตัวอย่างหนังว่าไว้
“งานนี้เลื่อนขั้นไปอีกระดับ” เพราะคู่ต่อสู้ที่
Dominic “Dom” Toretto และผองเพื่อนจะต้องเจอ ไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่แก๊งค์ค้ายาเสพติด และไม่ใช่นักธุรกิจที่เป็นมาเฟียผู้มีอิทธิพล แต่เป็นอดีตทหารหน่วยรบพิเศษ ที่ก็ไม่ได้มาคนเดียวเช่นกัน แต่มาพร้อมกับลูกทีมสุดแกร่ง จนมีบทที่แซวกันในเรื่องว่าทีมของผู้ร้ายเหมือน
“คู่แฝดที่เป็นด้านมืด” ของทีมตัวเอก เพราะจำนวนสมาชิกที่ใกล้เคียงกัน แถมยังทำงานปล้นแบบเดียวกันอีกด้วย เพียงแต่เหยื่อที่ถูกปล้นต่างกันเท่านั้น ทีมของตัวเอกที่ผ่านมาอาจจะปล้นเอาจากเจ้าพ่อมาเฟีย แต่ทีมของผู้ร้ายในภาค 6 นี้ ปล้นเอาจากเป้าหมายที่เป็นกองทัพและตำรวจสากล เพื่อจะเอาชิ้นส่วนยุทโธปกรณ์จากองค์กรเหล่านี้ไปสร้างอาวุธที่น่ากลัวกว่า ตามที่กล่าวมาข้างต้น
เรื่องของความมันส์ ไม่ต้องคิดมาก ภาคนี้ได้นักแสดงหลักจากภาค 5 กลับมากันครบทีม ทั้ง Vin Diesel , Paul Walker , Dwayne Johnson , Jordana Brewster ตามมาด้วยคู่หูคู่ฮาอย่าง Tyrese Gibson กับ Ludacris ปิดท้ายด้วย Sung Kang ( ที่ไปๆ มาๆ อาจจะได้รับความนิยมแซงพี่วิน ดีเซลเสียอีก ) ที่คราวนี้ไม่ต้องไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ได้ Gal Gadot มาร่วมด้วยอย่างเป็นทางการ แถมฉากแอ็คชั่นในเรื่องก็กลายเป็นแนว
“ระเบิดภูเขาเผากระท่อม” ไปอย่างเต็มตัว เพราะครั้งนี้ไม่ใช่เล่นกันแค่รถซิ่งธรรมดา แต่มีทั้งรถแข่ง Formula 1 , รถถัง และเครื่องบินขนส่งขนาดยักษ์ เรียกว่าทำลายล้างกันให้วินาศสันตะโรกันไปเลย
แต่หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีดีแค่ฉากซิ่งรถที่ตื่นเต้น และการทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าเท่านั้น ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว่า หมู่นี้สิ่งที่หนังฝรั่งจากฮอลลีวู้ดหลายๆ เรื่อง จะชอบเอามาเป็นแกนหลัก คือความสัมพันธ์และการกระทำของตัวละคร ที่
“แหวกขนบ” ไปจากแนวทางในสังคมหลักที่เราถูกสอนกันมา เช่นตำรวจที่เห็นอกเห็นใจโจร , การตีความพฤติกรรมที่ดูเหมือนก่อกวนสังคมปกติ ว่าเป็นการแสดงการมีตัวตนของคนสักกลุ่มหนึ่ง หรือแม้แต่การที่ตัวละครไม่รู้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่จะต้องเจออยู่เบื้องหน้า แต่ก็ยังจะเสี่ยงเดินหน้าต่อไป เพราะนั่นคือการทำเพื่อ
“ครอบครัวหรือเพื่อนพ้อง”
( ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสังคมสมัยใหม่ ส่วนใหญ่เป็นสังคมเมืองที่มีความห่างเหินของบุคคลค่อนข้างสูง ทุกคนเพียงแค่ใช้ชีวิต ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ตามสถานะอาชีพเท่านั้น ทำให้ไม่ค่อยได้ทำอะไรออกนอกลู่นอกทางเพราะต้องการรักษาความมั่นคงส่วนตนไว้ก่อน หรือสัมผัสกับคำว่าเพื่อนและครอบครัวที่อบอุ่น ไว้ใจ และพึ่งพาได้เท่าไร ทำให้ต้องมาหาส่วนเติมเต็มในใจจากการชมภาพยนตร์ดังกล่าวก็เป็นได้ - ผู้เขียน )
ผู้เขียนชอบบทสนทนาหนึ่งใน Fast 6 นี้มาก นั่นคือตอนที่ Dom เห็นภาพถ่ายของ Letty ( Michelle Rodriguez ) คนรักของ Dom ที่น่าจะตายไปแล้วตั้งแต่ภาค 4 แล้วนำไปให้ Elena ( Elsa Pataky ) อดีตตำรวจหญิงจากบราซิลที่กลายเป็นหม้ายเพราะสามีตายในการปฏิบัติหน้าที่ ที่วันนี้มาเป็นคนรักใหม่ของ Dom พอ Elena เห็นภาพดังกล่าว เธอบอกกับ Dom ทันทีว่า
“ถ้านี่เป็นสามีฉัน ต่อให้มีโอกาสเพียงน้อยนิด ฉันจะลุย” เพราะเธอเข้าใจดีว่า Letty มีความสำคัญกับ Dom เพียงใด
ครับ..การทำอะไรที่ดูแล้วบ้าบิ่นและไม่ค่อยจะมีเหตุผลนี่แหละ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า
“มนุษย์” ยังคงมีเสน่ห์น่าค้นหา และน่านับถืออยู่เสมอ เพราะถ้าเราเอาความเป็นจริงเข้าไปจับ..ถามว่าในชีวิตจริง จะมีใครสักกี่คน ที่ยอมละจากชีวิตปกติที่สบายในระดับหนึ่ง ไปเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้ที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก และเสี่ยงต่อความตายได้ทุกเมื่อ โดยมีคำๆ เดียวนำทาง นั่นคือ
“ศรัทธา” ซึ่งเมื่อนำไปรวมกับองค์ประกอบอื่นๆ ของบรรดาลูกทีมแต่ละคนของ Dom ที่บางคนอาจจะดูเพี้ยนๆ บางคนอาจจะดูกวนประสาท แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาคือ
“ครอบครัว-เพื่อนพ้อง” ที่พร้อมจะเผชิญสุขและทุกข์ไปด้วยกันเสมอ ทั้งที่แต่ละคนเลือกที่จะไม่มาก็ได้ เพราะต่างคนต่างก็มีเงินใช้กันพอสมควร ไม่ต้องลำบากกันแล้ว
เรียกง่ายๆ ว่าคนอื่นไม่เข้าใจไม่เป็นไร..แค่เราคนในครอบครัว ยังคงมีกันและเข้าใจกันก็พอ
โดยรวมเป็นหนังที่ดูเอาเพลินๆ ไปมันส์กับมหกรรมซิ่งและทำลายล้างกันให้เต็มที่ ที่สำคัญภาคนี้จะเป็นการขมวดปมทั้งหมดตั้งแต่ภาค 4 เป็นต้นมา ( ที่หลายคนสงสัยเรื่อง Han ว่าทำไมยังอยู่? และ Letty รอดมาได้ยังไง? ) ให้ไปบรรจบกับภาค 3 ( Tokyo Drift ) ได้พอดี อันเป็นการปิดท้ายอย่างลงตัวของ Justin Lin ผกก. ที่อยู่กับหนังชุดนี้มาตั้งแต่ภาค 3 จนถึงภาค 6 แต่สำหรับผู้ชมที่ยังอยากให้มีภาค 7 ต่อ ปีหน้า ( 2014 – 2557 ) คาดว่าจะมีมาอีกแน่นอน เพราะได้ ผกก. ที่จะมาทำหน้าที่แทนแล้ว นั่นคือ James Wan ที่มีผลงานสยองขวัญอย่าง Saw ภาคแรก และ Insidious ( เอาจริงหรอ? ให้ ผกก. หนังสยองขวัญ มากำกับหนังแอ็คชั่นทำลายล้างวินาศสันตะโรเนี่ยนะ? )
ก่อนจะจากกันวันนี้ ( สารภาพว่าขณะที่ผู้เขียนกำลังปั่นบทความนี้อยู่ ตอนนี้เที่ยงคืนแล้วครับ และเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น คือเช้าวันที่ 25-5-2013 นี่แหละ ต้องไปทำงานที่ ตจว. แต่เช้าตรู่ 6 โมงตรงเลยทีเดียว ) มีคำถามสั้นๆ ครับ ตามหัวบทความนี่แหละ
คุณมี “ครอบครัว – เพื่อนพ้อง” ที่เชื่อใจ ไว้ใจ และพร้อมจะร่วมสุขร่วมทุกข์กันได้ทุกเมื่อหรือเปล่า?
พบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีครับ
…………………….
ปล.นั่งดู interview ที่ทีมผู้สร้างทำมาเพื่อแฟนๆ ชาวไทยโดยเฉพาะ ทำให้เพิ่งเห็น Michelle Rodriguez ในมุมที่เป็น ผญ สวยๆ บ้าง ( ปกติหนังทุกเรื่องของเจ๊แก จะออกแนว ผญ ห้าวๆ บู๊ๆ ดูเท่และน่ากลัวตลอด )
VIDEO
[เสียงคนวงนอก] Fast&Furious 6 : คุณมี “ครอบครัว – เพื่อนพ้อง” ที่แท้จริงหรือเปล่า?
โดย : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : TonyMao Nk
หากจะถามว่า..วันนี้มีหนังภาคต่อชุดไหนที่ยังเดินหน้าได้อย่างไม่หยุด คงต้องบอกว่าเหลือเพียง 2 ชุดเท่านั้น หนึ่งคือหนังที่ว่าด้วยการเต้นอย่าง Step Up กับอีกหนึ่งคือหนังที่ว่าด้วยรถซิ่งอย่าง Fast&Furious และก็ต้องยอมรับว่าเรื่องหลังนี้ท่าจะมีข้อได้เปรียบพอสมควรในการใส่ลูกเล่นใหม่ๆ เข้าไปได้เรื่อยๆ จากภาคแรกเมื่อ 12 ปีก่อน ( 2001 – 2544 ) ที่เป็นเพียงหนังแข่งรถ อันมีอาชญากรรมเป็นเรื่องรอง มาจนถึงวันนี้ ( 2013 – 2556 ) ใครจะคิดว่าจากแก๊งค์ซิ่งเล็กๆ แก๊งค์หนึ่ง จะกลายมาเป็น Anti – Hero ( พวกที่แม้จะทำผิดกฎหมาย แต่ไม่เคยผิดคุณธรรม เช่น Robinhood ที่ปล้นคนรวยผู้ฉ้อฉล มาช่วยประชาชนผู้ยากไร้ ) ที่ต้องไปหยุดยั้งแผนการสร้างอาวุธมหาประลัยที่สามารถนำไปใช้ยึดครองโลกได้ ของแก๊งค์อาชญากรข้ามชาติระดับพระกาฬ ที่มี Owen Shaw ( Luke Evans ) เป็นหัวหน้ากลุ่ม
มาในภาคนี้ ก็อย่างที่ตัวอย่างหนังว่าไว้ “งานนี้เลื่อนขั้นไปอีกระดับ” เพราะคู่ต่อสู้ที่ Dominic “Dom” Toretto และผองเพื่อนจะต้องเจอ ไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่แก๊งค์ค้ายาเสพติด และไม่ใช่นักธุรกิจที่เป็นมาเฟียผู้มีอิทธิพล แต่เป็นอดีตทหารหน่วยรบพิเศษ ที่ก็ไม่ได้มาคนเดียวเช่นกัน แต่มาพร้อมกับลูกทีมสุดแกร่ง จนมีบทที่แซวกันในเรื่องว่าทีมของผู้ร้ายเหมือน “คู่แฝดที่เป็นด้านมืด” ของทีมตัวเอก เพราะจำนวนสมาชิกที่ใกล้เคียงกัน แถมยังทำงานปล้นแบบเดียวกันอีกด้วย เพียงแต่เหยื่อที่ถูกปล้นต่างกันเท่านั้น ทีมของตัวเอกที่ผ่านมาอาจจะปล้นเอาจากเจ้าพ่อมาเฟีย แต่ทีมของผู้ร้ายในภาค 6 นี้ ปล้นเอาจากเป้าหมายที่เป็นกองทัพและตำรวจสากล เพื่อจะเอาชิ้นส่วนยุทโธปกรณ์จากองค์กรเหล่านี้ไปสร้างอาวุธที่น่ากลัวกว่า ตามที่กล่าวมาข้างต้น
เรื่องของความมันส์ ไม่ต้องคิดมาก ภาคนี้ได้นักแสดงหลักจากภาค 5 กลับมากันครบทีม ทั้ง Vin Diesel , Paul Walker , Dwayne Johnson , Jordana Brewster ตามมาด้วยคู่หูคู่ฮาอย่าง Tyrese Gibson กับ Ludacris ปิดท้ายด้วย Sung Kang ( ที่ไปๆ มาๆ อาจจะได้รับความนิยมแซงพี่วิน ดีเซลเสียอีก ) ที่คราวนี้ไม่ต้องไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ได้ Gal Gadot มาร่วมด้วยอย่างเป็นทางการ แถมฉากแอ็คชั่นในเรื่องก็กลายเป็นแนว “ระเบิดภูเขาเผากระท่อม” ไปอย่างเต็มตัว เพราะครั้งนี้ไม่ใช่เล่นกันแค่รถซิ่งธรรมดา แต่มีทั้งรถแข่ง Formula 1 , รถถัง และเครื่องบินขนส่งขนาดยักษ์ เรียกว่าทำลายล้างกันให้วินาศสันตะโรกันไปเลย
แต่หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีดีแค่ฉากซิ่งรถที่ตื่นเต้น และการทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าเท่านั้น ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว่า หมู่นี้สิ่งที่หนังฝรั่งจากฮอลลีวู้ดหลายๆ เรื่อง จะชอบเอามาเป็นแกนหลัก คือความสัมพันธ์และการกระทำของตัวละคร ที่ “แหวกขนบ” ไปจากแนวทางในสังคมหลักที่เราถูกสอนกันมา เช่นตำรวจที่เห็นอกเห็นใจโจร , การตีความพฤติกรรมที่ดูเหมือนก่อกวนสังคมปกติ ว่าเป็นการแสดงการมีตัวตนของคนสักกลุ่มหนึ่ง หรือแม้แต่การที่ตัวละครไม่รู้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่จะต้องเจออยู่เบื้องหน้า แต่ก็ยังจะเสี่ยงเดินหน้าต่อไป เพราะนั่นคือการทำเพื่อ “ครอบครัวหรือเพื่อนพ้อง”
( ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสังคมสมัยใหม่ ส่วนใหญ่เป็นสังคมเมืองที่มีความห่างเหินของบุคคลค่อนข้างสูง ทุกคนเพียงแค่ใช้ชีวิต ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ตามสถานะอาชีพเท่านั้น ทำให้ไม่ค่อยได้ทำอะไรออกนอกลู่นอกทางเพราะต้องการรักษาความมั่นคงส่วนตนไว้ก่อน หรือสัมผัสกับคำว่าเพื่อนและครอบครัวที่อบอุ่น ไว้ใจ และพึ่งพาได้เท่าไร ทำให้ต้องมาหาส่วนเติมเต็มในใจจากการชมภาพยนตร์ดังกล่าวก็เป็นได้ - ผู้เขียน )
ผู้เขียนชอบบทสนทนาหนึ่งใน Fast 6 นี้มาก นั่นคือตอนที่ Dom เห็นภาพถ่ายของ Letty ( Michelle Rodriguez ) คนรักของ Dom ที่น่าจะตายไปแล้วตั้งแต่ภาค 4 แล้วนำไปให้ Elena ( Elsa Pataky ) อดีตตำรวจหญิงจากบราซิลที่กลายเป็นหม้ายเพราะสามีตายในการปฏิบัติหน้าที่ ที่วันนี้มาเป็นคนรักใหม่ของ Dom พอ Elena เห็นภาพดังกล่าว เธอบอกกับ Dom ทันทีว่า “ถ้านี่เป็นสามีฉัน ต่อให้มีโอกาสเพียงน้อยนิด ฉันจะลุย” เพราะเธอเข้าใจดีว่า Letty มีความสำคัญกับ Dom เพียงใด
ครับ..การทำอะไรที่ดูแล้วบ้าบิ่นและไม่ค่อยจะมีเหตุผลนี่แหละ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า “มนุษย์” ยังคงมีเสน่ห์น่าค้นหา และน่านับถืออยู่เสมอ เพราะถ้าเราเอาความเป็นจริงเข้าไปจับ..ถามว่าในชีวิตจริง จะมีใครสักกี่คน ที่ยอมละจากชีวิตปกติที่สบายในระดับหนึ่ง ไปเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้ที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก และเสี่ยงต่อความตายได้ทุกเมื่อ โดยมีคำๆ เดียวนำทาง นั่นคือ “ศรัทธา” ซึ่งเมื่อนำไปรวมกับองค์ประกอบอื่นๆ ของบรรดาลูกทีมแต่ละคนของ Dom ที่บางคนอาจจะดูเพี้ยนๆ บางคนอาจจะดูกวนประสาท แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาคือ “ครอบครัว-เพื่อนพ้อง” ที่พร้อมจะเผชิญสุขและทุกข์ไปด้วยกันเสมอ ทั้งที่แต่ละคนเลือกที่จะไม่มาก็ได้ เพราะต่างคนต่างก็มีเงินใช้กันพอสมควร ไม่ต้องลำบากกันแล้ว
เรียกง่ายๆ ว่าคนอื่นไม่เข้าใจไม่เป็นไร..แค่เราคนในครอบครัว ยังคงมีกันและเข้าใจกันก็พอ
โดยรวมเป็นหนังที่ดูเอาเพลินๆ ไปมันส์กับมหกรรมซิ่งและทำลายล้างกันให้เต็มที่ ที่สำคัญภาคนี้จะเป็นการขมวดปมทั้งหมดตั้งแต่ภาค 4 เป็นต้นมา ( ที่หลายคนสงสัยเรื่อง Han ว่าทำไมยังอยู่? และ Letty รอดมาได้ยังไง? ) ให้ไปบรรจบกับภาค 3 ( Tokyo Drift ) ได้พอดี อันเป็นการปิดท้ายอย่างลงตัวของ Justin Lin ผกก. ที่อยู่กับหนังชุดนี้มาตั้งแต่ภาค 3 จนถึงภาค 6 แต่สำหรับผู้ชมที่ยังอยากให้มีภาค 7 ต่อ ปีหน้า ( 2014 – 2557 ) คาดว่าจะมีมาอีกแน่นอน เพราะได้ ผกก. ที่จะมาทำหน้าที่แทนแล้ว นั่นคือ James Wan ที่มีผลงานสยองขวัญอย่าง Saw ภาคแรก และ Insidious ( เอาจริงหรอ? ให้ ผกก. หนังสยองขวัญ มากำกับหนังแอ็คชั่นทำลายล้างวินาศสันตะโรเนี่ยนะ? )
ก่อนจะจากกันวันนี้ ( สารภาพว่าขณะที่ผู้เขียนกำลังปั่นบทความนี้อยู่ ตอนนี้เที่ยงคืนแล้วครับ และเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น คือเช้าวันที่ 25-5-2013 นี่แหละ ต้องไปทำงานที่ ตจว. แต่เช้าตรู่ 6 โมงตรงเลยทีเดียว ) มีคำถามสั้นๆ ครับ ตามหัวบทความนี่แหละ
คุณมี “ครอบครัว – เพื่อนพ้อง” ที่เชื่อใจ ไว้ใจ และพร้อมจะร่วมสุขร่วมทุกข์กันได้ทุกเมื่อหรือเปล่า?
พบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีครับ
…………………….
ปล.นั่งดู interview ที่ทีมผู้สร้างทำมาเพื่อแฟนๆ ชาวไทยโดยเฉพาะ ทำให้เพิ่งเห็น Michelle Rodriguez ในมุมที่เป็น ผญ สวยๆ บ้าง ( ปกติหนังทุกเรื่องของเจ๊แก จะออกแนว ผญ ห้าวๆ บู๊ๆ ดูเท่และน่ากลัวตลอด )