ที่มาสนทนาช้าขนาดนี้เป็นเพราะช่วงที่บาเยิร์นชนะบาซ่าไป 2 แมทช์กำลังแรง ผมเลยหลบกระแส
อีกอย่างช่วงนั้นเข้าสงกรานต์ ต่อมาก็เป็นช่วงปีศาจแดงได้แชมป์ และเซอร์อเล็กซ์ออกจากตำแหน่ง จึงต้องหลบกระแสเชี่ยวกรากเหล่านั้นไปก่อน
เรามาว่าถึงแมทช์ดอร์ทมุนด์เจอรีล มาดริคก่อน ใน leg 2 เห็นได้ชัดว่ากองหลังดอร์ทมุนด์โดนกดดันมากๆ ก็มีปัญหาได้เหมือนกัน แต่ลูกทีมของคล็อปป์ก็ต้านทานไว้ได้สำเร็จ … แต่ถ้าไม่ได้แมทช์แรกชนะ 3-0 ไว้ ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน
ส่วนแมทช์บาเยิร์นกับบาซ่านั้น อยู่ในสมองมากกว่าดอร์ทมุนด์ที่ผมเชียร์เป็นสโมสรอันดับ 2 เสียอีก (บาเยิร์นอันดับ 3) เห็นได้ชัดว่าติโต้ยังมีประสบการณ์ในแมทช์ critical น้อยเกินไป
แมทช์แรกติโต้ให้เมสซี่ (ที่ยังมีอาการบาดเจ็บ) ลงขู่ตั้งแต่ต้นเกม แต่กลับเข้าทางไฮเกซที่ให้ชไวนี่กับมาติเนซคุมติดเมสซี่ จนหมดฤทธิ์ (ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่า นี่แมทช์เกมเยือน ยังมีโอกาสกลับมาทวงคืนในแมทช์หน้าได้ จริงๆ ควรเก็บเมสซี่ที่เพิ่งหายเจ็บลงท้ายเกมหรือลงเมื่อโดนยิงนำไปก่อน (แบบเดียวกับที่ทำกับ leg 2 เจอมิลาน) (แต่ leg นี้ ปูโยลและมัสเคราโน่เจ็บ ทำให้เซ็นเตอร์แบ็คที่ปีเก้แบกไว้คนเดียวมีปัญหาอย่างหนัก)
ระหว่างสุดสัปดาห์ เมสซี่ก็ได้ลงให้บาซ่าในครึ่งหลังหลังจากที่ทีมทำประตูไม่ได้สักที ไม่แน่ใจว่า เป็นผลดีหรือไม่ เพราะบาซ่านำรีล มาดริคขาด อยู่ที่ว่าจะได้แชมป์เมื่อไหร่เท่านัน เกมนี้ต่อให้เสมอก็ไม่เป็นไร
ในแมทช์ leg 2 ติโต้ไม่ให้เมสซี่ที่มีชื่อสำรองได้ลงเลย ตีความได้ 2 อย่างคือ ติโต้ต้องการเซฟไว้เพื่อลงในลาลีก้า ประการที่สองคือ คะแนนที่ขาดและสกอร์ที่เริ่มขาด ทำให้ต้องการเซฟเมสซี่ (โดยปลายๆ ติโต้ก็เอาซาบี้กับอีเนียสต้าลง นัยว่าต้องการทิ้งเกมและให้นักเตะดาวรุ่งหาประสบการณ์)
(ก็ต้องเห็นใจบาซ่าอีกที่ปูโยลยังเจ็บไม่หาย, บุสเก็ตต์เจ็บเพิ่มขึ้นมาอีกคน มาเคราโน่ก็ยังเจ็บต้องให้อเล็กซ์ ซงลงแทนบุสเก็ตต์ และกองหลังคนหนึ่ง (ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้) ถูกแบน)
แต่ทั้งสองเกม ต้องชมหมากของไฮเกซ ที่นอกจากจะให้ศูนย์หน้า (โกเมซใน leg แรกมานซูคิซใน leg 2) ในแมทช์ที่ 2) เล่นเพรสซิ่งในแดนหน้า (ร่วมกับริเบรี่และร๊อบเบน) แล้ว ยังให้ชไวนี่กับมาติเนสคุมเมสซี่, ซาบี้และอีเนียสต้าได้อยู่หมัด ทำลายจุดที่สำคัญที่สุดในแนวรุกของบาซ่าที่เทรนเนอร์เก่งๆ ทุกคนทราบ แต่ปฏิบัติไม่ได้ไปได้ รวมถึงการครองบอล (ถึงจะทำได้น้อยกว่าบาซ่าก็ตาม) ทำให้ระบบของไฮเกซ เอาชนะ tika taka (แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เพราะนักเตะหลักบาดเจ็บ) ไปได้
หมายเหตุ : ผมมีข้อสังเกตุต่อบาซ่าข้อหนึ่ง คือ การที่ ‘ปี’ ที่แล้ว เมสซิ่ยิงคว้ารองเท้าทองคำเป็นสถิติโลก ดูเหมือนกับว่า ทำให้ทั้งทีมหวังพึ่งเมสซี่มากเกินไป จนกองหน้าหรือมิดฟิล์ดกึ่งกองหน้าเช่น เชสก์, ซานเชส, เปรโด และบีย่า ฟอร์มการยิงประตูดร๊อบลงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งถ้าบาเยิร์นพลาดแชมป์ UCL ให้ดอร์ทมุนด์ขึ้นมา จะทำให้เป็นรอยด่างที่สำคัญในประวัติของบาเยิร์นและไฮเกซ ที่จะเสียแชมป์ทั้งๆ ที่เป็นต่อใน UCL Final ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน (กับเชลซีครั้งหนึ่ง กับดอร์ทมุนด์อีกครั้ง)
ทีนี้มาถึงทีมอินทรีเหล็กบ้าง – ทีมอินทรีเหล็กตอนนี้มีกำลังหลักและสำรองที่เป็นที่น่าอิจฉาของทีมชาติอื่นๆ มาก ไม่เว้นทีมชาติสเปนยุคนี้
นอยเออร์, ชเมลเซอร์, บัวเต็ง, ฮุมเมลส์, ลาห์ม, ชไวนี่, เตคีร่าห์, โอซิล, มุลเลอร์, รอยส์/เกิทเซ่ และโคลเซ่ที่พอหายเจ็บมาก็ยิง 5 ประตูรวดเลย
ส่วนสำรองคือ อ๊าตเลอร์/ซีคเลอร์, แมเตซัคเกอร์, บาตสตูเบอร์ที่น่าจะหายเจ็บกลับมาทัน, พี่น้องตระกูลเบนเดอร์, กุนโดแกน โครส (หายเจ็บแล้วกำลังเรียกความฟิต), รอยส์/เกิทเซ่, ชูรร์เล่, โพลดี้,โกเมซ (น่าจะได้ลงเป็นตัวจริงมากกว่านี้) ขนาดร๊อยส์/เกิทเซ่ยังต้องเป็นตัวสำรองคนใดคนหนึ่ง (ถ้าที่เลิฟยืนยันว่าจะใช้หัวหอกตัวเป้าถ้าโกเมซ/โคลเซ่หายเจ็บ ยังเป็นจริง)
ทีนี้ก็เหลือแค่ว่า เลิฟ จะปรุงทีมได้กลมกล่อมอย่างไร และสามารถให้ทีมเล่นเพรสซิ่งและครองบอลได้แบบบาเยิร์นของจุ๊ปป์ ได้หรือไม่
และจะสามารพัฒนาการแก้เกมให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร เพราะดีกรีของเลิฟเป็นรองแค่สโคลรารี่ (บราซิล) กับ เดลบอสเก้ (สเปน) เท่านั้น
(หมายถึงกับผู้จัดการทีมรายอื่นเท่ากันหรือพวกนั้นด้อยกว่า)
ส่วนบราซิลของสโคลรารี่ - ดูจากแมทช์กระชับมิตรแล้ว ผลงานไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ กองหน้าที่ลือชื่ออย่างเนย์มา, เฟ็ด หรือ ฮัลค์ นั้น ที่ได้เห็นได้ว่าฟอร์มยังไม่สุดยอด
และสเปนของเดล บอสเก้เอง - กองหน้าฟอร์มตกอย่างที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว
ถือเป็นโอกาสอันดีของทีมชาติเยอรมันจะใช้ความรุ่งโรจน์ของบุนเดสลีกา มาต่อยอดความสำเร็จได้
[กระทู้สโมสรเยอรมัน&อินทรีเหล็ก 2013-05-22] สนทนาแมทช์บาเยิร์นเจอบาซ่า+ดอร์ทมุนด์เจอรีลมาดริค & อ้างอิงถึงทีมชาติเยอรมัน
อีกอย่างช่วงนั้นเข้าสงกรานต์ ต่อมาก็เป็นช่วงปีศาจแดงได้แชมป์ และเซอร์อเล็กซ์ออกจากตำแหน่ง จึงต้องหลบกระแสเชี่ยวกรากเหล่านั้นไปก่อน
เรามาว่าถึงแมทช์ดอร์ทมุนด์เจอรีล มาดริคก่อน ใน leg 2 เห็นได้ชัดว่ากองหลังดอร์ทมุนด์โดนกดดันมากๆ ก็มีปัญหาได้เหมือนกัน แต่ลูกทีมของคล็อปป์ก็ต้านทานไว้ได้สำเร็จ … แต่ถ้าไม่ได้แมทช์แรกชนะ 3-0 ไว้ ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน
ส่วนแมทช์บาเยิร์นกับบาซ่านั้น อยู่ในสมองมากกว่าดอร์ทมุนด์ที่ผมเชียร์เป็นสโมสรอันดับ 2 เสียอีก (บาเยิร์นอันดับ 3) เห็นได้ชัดว่าติโต้ยังมีประสบการณ์ในแมทช์ critical น้อยเกินไป
แมทช์แรกติโต้ให้เมสซี่ (ที่ยังมีอาการบาดเจ็บ) ลงขู่ตั้งแต่ต้นเกม แต่กลับเข้าทางไฮเกซที่ให้ชไวนี่กับมาติเนซคุมติดเมสซี่ จนหมดฤทธิ์ (ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่า นี่แมทช์เกมเยือน ยังมีโอกาสกลับมาทวงคืนในแมทช์หน้าได้ จริงๆ ควรเก็บเมสซี่ที่เพิ่งหายเจ็บลงท้ายเกมหรือลงเมื่อโดนยิงนำไปก่อน (แบบเดียวกับที่ทำกับ leg 2 เจอมิลาน) (แต่ leg นี้ ปูโยลและมัสเคราโน่เจ็บ ทำให้เซ็นเตอร์แบ็คที่ปีเก้แบกไว้คนเดียวมีปัญหาอย่างหนัก)
ระหว่างสุดสัปดาห์ เมสซี่ก็ได้ลงให้บาซ่าในครึ่งหลังหลังจากที่ทีมทำประตูไม่ได้สักที ไม่แน่ใจว่า เป็นผลดีหรือไม่ เพราะบาซ่านำรีล มาดริคขาด อยู่ที่ว่าจะได้แชมป์เมื่อไหร่เท่านัน เกมนี้ต่อให้เสมอก็ไม่เป็นไร
ในแมทช์ leg 2 ติโต้ไม่ให้เมสซี่ที่มีชื่อสำรองได้ลงเลย ตีความได้ 2 อย่างคือ ติโต้ต้องการเซฟไว้เพื่อลงในลาลีก้า ประการที่สองคือ คะแนนที่ขาดและสกอร์ที่เริ่มขาด ทำให้ต้องการเซฟเมสซี่ (โดยปลายๆ ติโต้ก็เอาซาบี้กับอีเนียสต้าลง นัยว่าต้องการทิ้งเกมและให้นักเตะดาวรุ่งหาประสบการณ์)
(ก็ต้องเห็นใจบาซ่าอีกที่ปูโยลยังเจ็บไม่หาย, บุสเก็ตต์เจ็บเพิ่มขึ้นมาอีกคน มาเคราโน่ก็ยังเจ็บต้องให้อเล็กซ์ ซงลงแทนบุสเก็ตต์ และกองหลังคนหนึ่ง (ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้) ถูกแบน)
แต่ทั้งสองเกม ต้องชมหมากของไฮเกซ ที่นอกจากจะให้ศูนย์หน้า (โกเมซใน leg แรกมานซูคิซใน leg 2) ในแมทช์ที่ 2) เล่นเพรสซิ่งในแดนหน้า (ร่วมกับริเบรี่และร๊อบเบน) แล้ว ยังให้ชไวนี่กับมาติเนสคุมเมสซี่, ซาบี้และอีเนียสต้าได้อยู่หมัด ทำลายจุดที่สำคัญที่สุดในแนวรุกของบาซ่าที่เทรนเนอร์เก่งๆ ทุกคนทราบ แต่ปฏิบัติไม่ได้ไปได้ รวมถึงการครองบอล (ถึงจะทำได้น้อยกว่าบาซ่าก็ตาม) ทำให้ระบบของไฮเกซ เอาชนะ tika taka (แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เพราะนักเตะหลักบาดเจ็บ) ไปได้
หมายเหตุ : ผมมีข้อสังเกตุต่อบาซ่าข้อหนึ่ง คือ การที่ ‘ปี’ ที่แล้ว เมสซิ่ยิงคว้ารองเท้าทองคำเป็นสถิติโลก ดูเหมือนกับว่า ทำให้ทั้งทีมหวังพึ่งเมสซี่มากเกินไป จนกองหน้าหรือมิดฟิล์ดกึ่งกองหน้าเช่น เชสก์, ซานเชส, เปรโด และบีย่า ฟอร์มการยิงประตูดร๊อบลงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งถ้าบาเยิร์นพลาดแชมป์ UCL ให้ดอร์ทมุนด์ขึ้นมา จะทำให้เป็นรอยด่างที่สำคัญในประวัติของบาเยิร์นและไฮเกซ ที่จะเสียแชมป์ทั้งๆ ที่เป็นต่อใน UCL Final ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน (กับเชลซีครั้งหนึ่ง กับดอร์ทมุนด์อีกครั้ง)
ทีนี้มาถึงทีมอินทรีเหล็กบ้าง – ทีมอินทรีเหล็กตอนนี้มีกำลังหลักและสำรองที่เป็นที่น่าอิจฉาของทีมชาติอื่นๆ มาก ไม่เว้นทีมชาติสเปนยุคนี้
นอยเออร์, ชเมลเซอร์, บัวเต็ง, ฮุมเมลส์, ลาห์ม, ชไวนี่, เตคีร่าห์, โอซิล, มุลเลอร์, รอยส์/เกิทเซ่ และโคลเซ่ที่พอหายเจ็บมาก็ยิง 5 ประตูรวดเลย
ส่วนสำรองคือ อ๊าตเลอร์/ซีคเลอร์, แมเตซัคเกอร์, บาตสตูเบอร์ที่น่าจะหายเจ็บกลับมาทัน, พี่น้องตระกูลเบนเดอร์, กุนโดแกน โครส (หายเจ็บแล้วกำลังเรียกความฟิต), รอยส์/เกิทเซ่, ชูรร์เล่, โพลดี้,โกเมซ (น่าจะได้ลงเป็นตัวจริงมากกว่านี้) ขนาดร๊อยส์/เกิทเซ่ยังต้องเป็นตัวสำรองคนใดคนหนึ่ง (ถ้าที่เลิฟยืนยันว่าจะใช้หัวหอกตัวเป้าถ้าโกเมซ/โคลเซ่หายเจ็บ ยังเป็นจริง)
ทีนี้ก็เหลือแค่ว่า เลิฟ จะปรุงทีมได้กลมกล่อมอย่างไร และสามารถให้ทีมเล่นเพรสซิ่งและครองบอลได้แบบบาเยิร์นของจุ๊ปป์ ได้หรือไม่
และจะสามารพัฒนาการแก้เกมให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร เพราะดีกรีของเลิฟเป็นรองแค่สโคลรารี่ (บราซิล) กับ เดลบอสเก้ (สเปน) เท่านั้น
(หมายถึงกับผู้จัดการทีมรายอื่นเท่ากันหรือพวกนั้นด้อยกว่า)
ส่วนบราซิลของสโคลรารี่ - ดูจากแมทช์กระชับมิตรแล้ว ผลงานไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ กองหน้าที่ลือชื่ออย่างเนย์มา, เฟ็ด หรือ ฮัลค์ นั้น ที่ได้เห็นได้ว่าฟอร์มยังไม่สุดยอด
และสเปนของเดล บอสเก้เอง - กองหน้าฟอร์มตกอย่างที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว
ถือเป็นโอกาสอันดีของทีมชาติเยอรมันจะใช้ความรุ่งโรจน์ของบุนเดสลีกา มาต่อยอดความสำเร็จได้