=ดารานักร้องชื่อดัง .. ตายแล้วจะไปไหน=
แม้เราจะประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธ แต่หลายคนยังมึนงงและไม่รู้จะกล่าวกับเด็กอย่างไรดี เมื่อถูกถามเรื่องนรกมีจริงหรือไม่
บางคนไม่ตอบ หรือแสร้งเลี่ยงว่านรกอยู่ที่ใจ .. เหมือนกับอีกมุมหนึ่งของสมอง เรายอมรับในทุกเรื่องซึ่งควรพิสูจน์ได้อย่างวิทยาศาสตร์ และปฏิเสธเรื่องราวเก่าๆที่ถูกสั่งสอนและเล่าต่อๆมา นรก-สวรรค์ จึงกลายเป็นเพียงจิตนาการของคนโบราณ บ้างเอ่ยว่า "เอาไว้หลอกให้เด็กกลัว"
หลายคนพานสงสัยไปว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่?
ซึ่งนั่นก็ไม่น่าแปลก เพราะเรายังสงสัยว่านรก สวรรค์ มีจริงหรือ นั่นก็คงเป็นคำถามกลายๆกัน
ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ และมีโอกาสเปิดฟังพระท่านเล่าเรื่องเหล่านี้บ่อยๆ แต่ตามประสาปุถุชน ก็นับว่าผมนั้นยังมีความรื่นเริงในการทำบาปอยู่เสมอ บางครั้งรู้ และบางครั้งก็ไม่รู้ว่า .. นั่นคือบาปทางดิ่งนรกโดยตรง
พี่สาวผมเล่าว่า สมัยยังเด็กเรียนประถม ยังมีวิชาศีลธรรมสอนกันในชั้นเรียน
"ฉันยังจำได้ว่าครูยังสอนเรื่องบาปดำ บาปขาว บาปดำก็อย่างเราตั้งใจฆ่ามด จนมันตาย ส่วนบาปขาวนั่นก็เหมือนเราเดินเหยียบมดอย่างไม่ตั้งใจ นี่ สมัยนั้นเขาสอนกันขนาดนั้นเลย ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องหรอก แต่พอโตขึ้นมาก็ถึงเข้าใจ"
เมื่อยกเลิกการสอนวิชานี้ไป เราก็แทบจะไม่รู้เรื่องศีลธรรมและหน้าที่พลเมือง ที่จะช่วยให้เราพอจะหนีนรกกันได้
วันก่อนอ่านหนังสือและไปพบกับเรื่องที่ทั้งน่าตกใจและดีใจที่ได้รู้ในยุคที่ใครก็อยากดังเป็นดารา ดารา นักร้อง นางและนายแบบ
... เมื่อครั้งพุทธกาล มีนายคนหนึ่งแกเป็นนักแสดงและนักร้องที่มีความสามารถเยี่ยมเป็นเลิศ ไปแสดงที่ไหนผู้คนก็ให้การต้อนรับอย่างดี จนแทบจะกลายเป็นบุคคลสำคัญของโลกมายา ผสานกับความเชื่อของชาวอินเดียสมัยนั้นเชื่อกันว่า "หากใครเป็นนักแสดง นักร้อง ถือว่าได้เป็นเพื่อนกับเทวดา" แกก็ยิ่งหมั่นฝึกฝนเป็นการใหญ่ จนความดังของแกไม่มีใครปฏิเสธได้
เมื่อได้พบกับพระพุทธองค์ ดารานายนี้ก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง แล้วถามพระพุทธเจ้าว่า เขาเป็นนักร้องชื่อดังขับกล่อมบรรเลงสร้างความสุขให้แก่ผู้คนมากมาย จนได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนกับเทวดา หากเขาตายแล้วจะได้ไปเกิดเป็นเพื่อนเทวดาที่ชั้นไหน ...
พระพุทธเจ้าก็ทรงนิ่งเฉยไม่ตอบ
นักร้องชื่อดังแห่งโลกมายาก็ยังไม่ละความพยายาม
"อเวจีมหานรก คือที่ๆท่านจะได้ไป" คำตอบจากพระพุทธเจ้า
ผมซึ่งเป็นผู้อ่านหนังสือเล่มนั้นก็สะดุ้งตกใจไปพร้อมกับนักร้องท่านนั้นแหละ!
ทำไม ..นักแสดงที่สร้างความสุขให้แก่คนบนโลกถึงต้องตกนรกขนาดนั้น
พระพุทธองค์ทรงเมตตาโปรดสัตว์ว่า เพราะอาชีพของเธอถึงจะเป็นอาชีพสุจริต แต่ก็ได้สร้างมิจฉาทิฐิให้แก่ผู้คนให้เกิดความลุ่มหลงมัวเมาไปในทางที่ผิด
ผมก็พอจะเข้าใจแล้ว ..
ในหนังสือนั้น เล่าต่อมาถึงโลกปัจจุบัน ซึ่งก็มีผู้ที่สงสัยในเรื่องนี้ ได้ถามพระท่านหนึ่งว่าทำไม นักแสดงดาราต้องตกนรก ท่านเล่าว่า .. เป็นการไปสร้างความลุ่มหลงให้คนอื่น ซึ่งเป็นบาปหนัก อย่างนักร้อง พอคนฟังเพลงก็เกิดความสนุกสนาน เข้าผับเข้าบาร์ดื่มกิน สร้างบาปกันเข้าไปอีก นักแสดงที่แสดงเก่ง ก็ไปแสดงให้คนลุ่มหลง คิดว่านั่นเป็นเรื่องจริงทั้งที่สร้างความเชื่อผิดๆให้คนคล้อยตาม
แต่ถ้าการแสดง ร้องรำนั้น เป็นไปเพื่อสร้างปัญญาและความรู้ นั่นก็เป็นสิ่งที่จะทำให้อาชีพนี้พอที่จะรอดจากนรกได้ ส่วนอีกทางหนึ่งก็คือ การหมั่นสร้างบุญกุศล แต่ถ้าเลิกได้จะดีที่สุด
เรื่องนี้ก็พอจะอ้างได้ เมื่อผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ อ๊อด คีรีบูน ซึ่งตอนหนึ่งเขาเล่าว่า "ก่อนจะออกอัลบั้มสุดท้าย ได้กราบพระเกจิรูปหนึ่ง ท่านก็เมตตาสั่งสอนว่า เขาน่ะเป็นคนดี แต่อาชีพที่ทำน่ะมันเป็นบาป" ...
ก่อนจบเรื่องนี้ ผมก็ดันไปนึกถึงคำพูดของอดีตนักโฆษณาท่านหนึ่ง ที่เคยเล่าให้ผมฟังถึงเหตุผลที่เลิกทำอาชีพโฆษณาและรายได้เป็น หลักล้าน!
"สมัยก่อนมีเจ้าของโชว์รูมรถเบนซ์บอกว่า ถ้าทำยอดขายรถยนต์ให้แกได้อย่างที่บอก ให้มาขับรถออกไปได้เลย คันไหนก็ได้" .. และภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ยอดขายรถก็พุ่งเกินเป้าเสียอีก เจ้าของไอเดียโฆษณาจึงเดินเข้าไปขับรถคันหรูออกมาอย่างสบายใจเฉิบ
จนเมื่อวิกฤติเศรษฐกิจปี ๔๐ นักโฆษณาท่านนี้ก็หมดเนื้อหมดตัว ขนาดต้องไปเดินเร่ขายห่อหมกแก้กรรม
ถามว่า ตอนนั้นก็มีผู้คนมากมายตามให้กลับไปทำงานโฆษณา แต่ท่านนี้ก็ไม่รับงานอีกเลย
ทำไม?
"พอมาคิดดู ก็พบว่า อาชีพที่เราทำนี่แหละ มันสร้างความป่นปี้ให้กับผู้คน เราไปทำให้เขาคิดว่า ไอ้การมีบ้านอีกหลังหนึ่งติดทะเล มีรถหรูหลายๆคันมันเป็นความสุขในชีวิต เราไปสร้างความเห็นผิดให้เขา มันเป็นบาป"
ผมไม่รู้ว่าอดีตคนโฆษณาท่านนั้นจะเชื่อในสิ่งเดียวกับที่ผมเชื่อหรือไม่ แต่ความคิดที่ว่า บาป ของท่าน ก็ช่วยให้ท่านเลิกอาชีพที่สร้างมิจฉาทิฐิให้แก่ผู้คน และน่าจะรอดจากอเวจีไปได้อย่างเฉียดฉิว
ดารานักร้องชื่อดัง .. ตายแล้วจะไปไหน=
แม้เราจะประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธ แต่หลายคนยังมึนงงและไม่รู้จะกล่าวกับเด็กอย่างไรดี เมื่อถูกถามเรื่องนรกมีจริงหรือไม่
บางคนไม่ตอบ หรือแสร้งเลี่ยงว่านรกอยู่ที่ใจ .. เหมือนกับอีกมุมหนึ่งของสมอง เรายอมรับในทุกเรื่องซึ่งควรพิสูจน์ได้อย่างวิทยาศาสตร์ และปฏิเสธเรื่องราวเก่าๆที่ถูกสั่งสอนและเล่าต่อๆมา นรก-สวรรค์ จึงกลายเป็นเพียงจิตนาการของคนโบราณ บ้างเอ่ยว่า "เอาไว้หลอกให้เด็กกลัว"
หลายคนพานสงสัยไปว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่?
ซึ่งนั่นก็ไม่น่าแปลก เพราะเรายังสงสัยว่านรก สวรรค์ มีจริงหรือ นั่นก็คงเป็นคำถามกลายๆกัน
ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ และมีโอกาสเปิดฟังพระท่านเล่าเรื่องเหล่านี้บ่อยๆ แต่ตามประสาปุถุชน ก็นับว่าผมนั้นยังมีความรื่นเริงในการทำบาปอยู่เสมอ บางครั้งรู้ และบางครั้งก็ไม่รู้ว่า .. นั่นคือบาปทางดิ่งนรกโดยตรง
พี่สาวผมเล่าว่า สมัยยังเด็กเรียนประถม ยังมีวิชาศีลธรรมสอนกันในชั้นเรียน
"ฉันยังจำได้ว่าครูยังสอนเรื่องบาปดำ บาปขาว บาปดำก็อย่างเราตั้งใจฆ่ามด จนมันตาย ส่วนบาปขาวนั่นก็เหมือนเราเดินเหยียบมดอย่างไม่ตั้งใจ นี่ สมัยนั้นเขาสอนกันขนาดนั้นเลย ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องหรอก แต่พอโตขึ้นมาก็ถึงเข้าใจ"
เมื่อยกเลิกการสอนวิชานี้ไป เราก็แทบจะไม่รู้เรื่องศีลธรรมและหน้าที่พลเมือง ที่จะช่วยให้เราพอจะหนีนรกกันได้
วันก่อนอ่านหนังสือและไปพบกับเรื่องที่ทั้งน่าตกใจและดีใจที่ได้รู้ในยุคที่ใครก็อยากดังเป็นดารา ดารา นักร้อง นางและนายแบบ
... เมื่อครั้งพุทธกาล มีนายคนหนึ่งแกเป็นนักแสดงและนักร้องที่มีความสามารถเยี่ยมเป็นเลิศ ไปแสดงที่ไหนผู้คนก็ให้การต้อนรับอย่างดี จนแทบจะกลายเป็นบุคคลสำคัญของโลกมายา ผสานกับความเชื่อของชาวอินเดียสมัยนั้นเชื่อกันว่า "หากใครเป็นนักแสดง นักร้อง ถือว่าได้เป็นเพื่อนกับเทวดา" แกก็ยิ่งหมั่นฝึกฝนเป็นการใหญ่ จนความดังของแกไม่มีใครปฏิเสธได้
เมื่อได้พบกับพระพุทธองค์ ดารานายนี้ก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง แล้วถามพระพุทธเจ้าว่า เขาเป็นนักร้องชื่อดังขับกล่อมบรรเลงสร้างความสุขให้แก่ผู้คนมากมาย จนได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนกับเทวดา หากเขาตายแล้วจะได้ไปเกิดเป็นเพื่อนเทวดาที่ชั้นไหน ...
พระพุทธเจ้าก็ทรงนิ่งเฉยไม่ตอบ
นักร้องชื่อดังแห่งโลกมายาก็ยังไม่ละความพยายาม
"อเวจีมหานรก คือที่ๆท่านจะได้ไป" คำตอบจากพระพุทธเจ้า
ผมซึ่งเป็นผู้อ่านหนังสือเล่มนั้นก็สะดุ้งตกใจไปพร้อมกับนักร้องท่านนั้นแหละ!
ทำไม ..นักแสดงที่สร้างความสุขให้แก่คนบนโลกถึงต้องตกนรกขนาดนั้น
พระพุทธองค์ทรงเมตตาโปรดสัตว์ว่า เพราะอาชีพของเธอถึงจะเป็นอาชีพสุจริต แต่ก็ได้สร้างมิจฉาทิฐิให้แก่ผู้คนให้เกิดความลุ่มหลงมัวเมาไปในทางที่ผิด
ผมก็พอจะเข้าใจแล้ว ..
ในหนังสือนั้น เล่าต่อมาถึงโลกปัจจุบัน ซึ่งก็มีผู้ที่สงสัยในเรื่องนี้ ได้ถามพระท่านหนึ่งว่าทำไม นักแสดงดาราต้องตกนรก ท่านเล่าว่า .. เป็นการไปสร้างความลุ่มหลงให้คนอื่น ซึ่งเป็นบาปหนัก อย่างนักร้อง พอคนฟังเพลงก็เกิดความสนุกสนาน เข้าผับเข้าบาร์ดื่มกิน สร้างบาปกันเข้าไปอีก นักแสดงที่แสดงเก่ง ก็ไปแสดงให้คนลุ่มหลง คิดว่านั่นเป็นเรื่องจริงทั้งที่สร้างความเชื่อผิดๆให้คนคล้อยตาม
แต่ถ้าการแสดง ร้องรำนั้น เป็นไปเพื่อสร้างปัญญาและความรู้ นั่นก็เป็นสิ่งที่จะทำให้อาชีพนี้พอที่จะรอดจากนรกได้ ส่วนอีกทางหนึ่งก็คือ การหมั่นสร้างบุญกุศล แต่ถ้าเลิกได้จะดีที่สุด
เรื่องนี้ก็พอจะอ้างได้ เมื่อผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ อ๊อด คีรีบูน ซึ่งตอนหนึ่งเขาเล่าว่า "ก่อนจะออกอัลบั้มสุดท้าย ได้กราบพระเกจิรูปหนึ่ง ท่านก็เมตตาสั่งสอนว่า เขาน่ะเป็นคนดี แต่อาชีพที่ทำน่ะมันเป็นบาป" ...
ก่อนจบเรื่องนี้ ผมก็ดันไปนึกถึงคำพูดของอดีตนักโฆษณาท่านหนึ่ง ที่เคยเล่าให้ผมฟังถึงเหตุผลที่เลิกทำอาชีพโฆษณาและรายได้เป็น หลักล้าน!
"สมัยก่อนมีเจ้าของโชว์รูมรถเบนซ์บอกว่า ถ้าทำยอดขายรถยนต์ให้แกได้อย่างที่บอก ให้มาขับรถออกไปได้เลย คันไหนก็ได้" .. และภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ยอดขายรถก็พุ่งเกินเป้าเสียอีก เจ้าของไอเดียโฆษณาจึงเดินเข้าไปขับรถคันหรูออกมาอย่างสบายใจเฉิบ
จนเมื่อวิกฤติเศรษฐกิจปี ๔๐ นักโฆษณาท่านนี้ก็หมดเนื้อหมดตัว ขนาดต้องไปเดินเร่ขายห่อหมกแก้กรรม
ถามว่า ตอนนั้นก็มีผู้คนมากมายตามให้กลับไปทำงานโฆษณา แต่ท่านนี้ก็ไม่รับงานอีกเลย
ทำไม?
"พอมาคิดดู ก็พบว่า อาชีพที่เราทำนี่แหละ มันสร้างความป่นปี้ให้กับผู้คน เราไปทำให้เขาคิดว่า ไอ้การมีบ้านอีกหลังหนึ่งติดทะเล มีรถหรูหลายๆคันมันเป็นความสุขในชีวิต เราไปสร้างความเห็นผิดให้เขา มันเป็นบาป"
ผมไม่รู้ว่าอดีตคนโฆษณาท่านนั้นจะเชื่อในสิ่งเดียวกับที่ผมเชื่อหรือไม่ แต่ความคิดที่ว่า บาป ของท่าน ก็ช่วยให้ท่านเลิกอาชีพที่สร้างมิจฉาทิฐิให้แก่ผู้คน และน่าจะรอดจากอเวจีไปได้อย่างเฉียดฉิว