แมตช์สุดท้ายของหลายลีกช่วงสุดสัปดาห์นี้น่าจะเป็นการเตะอำลาของพ่อค้าแข้งหลายคน หนึ่งในนั้นคือ คริสโตฟ โทบิอัส เม็ตเซลเดอร์ อดีตเซนเตอร์แบ๊กทีมชาติเยอรมัน ชุดรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งเตรียมแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาล 2012-13 แม้อายุเพียง 32 ปีเท่านั้น
อาชีพของ "เม็ตเซ่" ไม่ยืนยาวเท่าที่ควร เพราะเจอปัญหาการบาดเจ็บเกือบตลอด ถึงจะหายกลับมาได้ แต่สภาพร่างกายก็ไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม และเมื่อแก่ตัวลงโอกาสเรียกความฟิตให้เต็มร้อยยิ่งเป็นเรื่องยาก แถมช่วงหลังอยู่ในสถานะตัวสำรอง เพราะ เอฟเซ ชาลเก้ 04 เลือก เบเนดิคท์ โฮเวเดส กองหลังรุ่นน้องในทัพ "อินทรีเหล็ก" ซึ่งเป็นชาวเมือง ฮัลแทร์น อัม เซ เหมือนกัน แต่อายุน้อยกว่าถึง 7 ปี ให้ยืนคู่ คีเรียคอส ปาปาโดปูลอส เซนเตอร์แบ๊กดาวรุ่งทีมชาติกรีซ จึงเหมาะสมถ้าหากต้องเลิกเล่นตอนหมดสัญญาพอดี และมีแนวโน้มว่าเจ้าตัวคงเลือกเบนเข็มไปทำงานด้านโค้ชแทน ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีข่าวลือเรื่อง เอฟเซ บาเยิร์น มิวนิค อาจให้เขาไปเป็นผู้ช่วย โฆเซ็ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือคนใหม่ชาวสแปนิช เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้เรื่องภาษา และสไตล์ลูกหนังของเมืองกระทิง เนื่องจากเคยไปค้าแข้งกับ เรอัล มาดริด หลายปี (2007–10)
"เม็ตเซ่" เริ่มชีวิตค้าแข้งด้วยการย้ายจากทีมเยาวชน เทอูเอส ฮัลแทร์น มาอยู่ ชาลเก้ ตั้งแต่อายุ 14 ปี (1995) เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งอยู่ในบุนเดสลีกาตอนนี้คือ คริสเตียน เว็ตโคล่ (1. เอฟเอสเฟา ไมนซ์ 05) กับ แซร์โจ้ ดา ซิลวา ปินโต้ (ฮันโนเวอร์ 96) โชคร้ายที่แจ้งเกิดไม่ได้ฤดูกาลต่อมาเลยต้องโยกไป พรอยเซ่น มุนส์เตอร์ สโมสรในเรกิโอนาลลีกา เวสต์-ซุดเวสต์ 3 ปีหลังจากนั้นจึงก้าวสู่ชุดใหญ่ โชว์ฟอร์มเด่นมาก (32 เกม ยิง 4 ประตู) จน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คู่ปรับตลอดกาลของ ชาลเก้ ซื้อไปปั้นในราคา 2 แสนยูโร ขณะเจ้าตัวอายุ 19 ปี ฤดูกาล 2000-01 ได้ลงสนาม 19 นัด (ตัวจริง 14 ครั้ง) ตอนนั้นโค้ช "เสือเหลือง" คือ มัทธีอัส ซามเมอร์ แมตช์แรกในบุนเดสลีกา (11 สิงหาคม.2000) ยืนคู่ตำนานอย่าง เยอร์เก้น โคห์เลอร์ และชนะ เอฟเซ ฮันซ่า รอสต็อค ผู้มาเยือน 1-0 ทำผลงานดีจนติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อ 15 สิงหาคม 2001 (อุ่นเครื่องชนะ ฮังการี 5-2)
ฤดูกาลต่อมาฟอร์มยิ่งเด่นขึ้นกว่าเดิม (25 นัด ตัวจริง 24 จ่าย 1 ประตู) จนทำให้ ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จ และเข้าชิงฯ ยูฟ่า คัพ ปีเดียวกัน (พ่าย เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม 2-3) แต่รอบชิงฯ เม็ตเซลเดอร์ ไม่ได้เล่น อย่างไรก็ตามเขายังติดทัพไปทำศึกฟุตบอลโลก 2002 ซึ่ง เยอรมัน คว้าตำแหน่งรองแชมป์ โดย "เม็ตเซ่" เล่นรอบสุดท้ายทุกเกม ปีนั้นเจ้าตัวถูกเลือกให้ได้รางวัล บราโว่ อวอร์ด อีกด้วย ชื่อของเขาจึงโด่งดังระดับนานาชาติ แต่แทนที่จะสามารถสานต่อความสำเร็จเพิ่มขึ้น กลับมาเจ็บเอ็นร้อยหวาย จนพลาดการลงสนามตลอดฤดูกาล 2003-04 ก่อนมีโอกาสเตะบุนเดสลีกาอีกแค่ 16 แมตช์ในฤดูกาลต่อมา ผลงานเริ่มดีขึ้นช่วงฤดูกาล 2005-06 จนมีชื่อไปเตะฟุตบอลโลก 2006 ซึ่งเจ้าภาพ เยอรมัน คว้าอันดับ 3 เขาไม่ได้เล่นเกือบตลอดครึ่งแรกของฤดูกาล 2006-07 ทำให้ ดอร์ทมุนด์ ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาช่วงกลางปี 2007
ม็ตเซลเดอร์ จึงเลือกย้ายไป เรอัล มาดริด แต่ก็เจอปัญหาบาดเจ็บทั้งที่เท้า และข้อเท้า จนมีโอกาสเตะลา ลีกา แค่ 9 เกม แต่ยังได้ชื่อว่าเป็นแชมป์ในฤดูกาล 2007-08 และถูกเลือกติดทีมชาติชุดทำศึก ยูโร 2008 ที่ เยอรมัน ได้รองแชมป์ (รวมแล้วติดธง 47 นัด) บทบาทของ เม็ตเซลเดอร์ มีมากขึ้นเมื่อ เปเป้ ติดโทษแบน 10 แมตช์ แต่ก็ได้เล่นในลีกแค่ 12 เกม พอต้นสังกัดไม่ประสบความสำเร็จ (รองแชมป์ลีก 2 ปีซ้อน) จึงถึงเวลาสร้างทีมใหม่ และไม่มีกองหลังรายนี้ร่วมด้วย เพราะปีสุดท้ายเจ็บทั้งน่อง, ข้อเท้า, เข่า จนเตะลา ลีกา 2 นัด จึงย้ายกลับ ชาลเก้ พร้อมชวน ราอูล กอนซาเลซ มาอยู่ด้วย ก่อนซิวแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล 2011 ตามด้วยแชมป์ เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ 2011 เป็นรายการสุดท้ายในอาชีพค้าแข้ง เพราะหลังจากนั้น "เม็ตเซ่" ก็มีโอกาสลงเตะน้อยลงเรื่อยๆ ฤดูกาลนี้เพิ่งสัมผัสสนาม 4 เกม 204 นาที เพราะเจ็บเกือบตลอด 4 เดือนแรก
ในอนาคต เม็ตเซลเดอร์ น่าจะมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น เพราะไม่ขอเป็นนักเตะอาชีพอีกแล้ว แม้คงไม่ออกจากวงการลูกหนังไปเลย แต่เราอาจได้ยินข่าวคราวของเขาผ่านสื่อมวลชนต่างๆน้อยลงกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ขอให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จกับทุกสิ่งที่ทำนับจากนี้ เชื่อว่าทุกคนพร้อมเป็นกำลังใจด้วย และหากมีโอกาสก็อยากเห็น "เม็ตเซ่" ในบทบาทเทรนเนอร์สักครั้งเหมือนกัน
credit : www.thaigermanfanclub.com โดย เยอรมันเชพเพิร์ด
[บทความสโมสรเยอรมัน 2013-05-18] ปิดฉากอาชีพค้าแข้งของคริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์
อาชีพของ "เม็ตเซ่" ไม่ยืนยาวเท่าที่ควร เพราะเจอปัญหาการบาดเจ็บเกือบตลอด ถึงจะหายกลับมาได้ แต่สภาพร่างกายก็ไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม และเมื่อแก่ตัวลงโอกาสเรียกความฟิตให้เต็มร้อยยิ่งเป็นเรื่องยาก แถมช่วงหลังอยู่ในสถานะตัวสำรอง เพราะ เอฟเซ ชาลเก้ 04 เลือก เบเนดิคท์ โฮเวเดส กองหลังรุ่นน้องในทัพ "อินทรีเหล็ก" ซึ่งเป็นชาวเมือง ฮัลแทร์น อัม เซ เหมือนกัน แต่อายุน้อยกว่าถึง 7 ปี ให้ยืนคู่ คีเรียคอส ปาปาโดปูลอส เซนเตอร์แบ๊กดาวรุ่งทีมชาติกรีซ จึงเหมาะสมถ้าหากต้องเลิกเล่นตอนหมดสัญญาพอดี และมีแนวโน้มว่าเจ้าตัวคงเลือกเบนเข็มไปทำงานด้านโค้ชแทน ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีข่าวลือเรื่อง เอฟเซ บาเยิร์น มิวนิค อาจให้เขาไปเป็นผู้ช่วย โฆเซ็ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือคนใหม่ชาวสแปนิช เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้เรื่องภาษา และสไตล์ลูกหนังของเมืองกระทิง เนื่องจากเคยไปค้าแข้งกับ เรอัล มาดริด หลายปี (2007–10)
"เม็ตเซ่" เริ่มชีวิตค้าแข้งด้วยการย้ายจากทีมเยาวชน เทอูเอส ฮัลแทร์น มาอยู่ ชาลเก้ ตั้งแต่อายุ 14 ปี (1995) เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งอยู่ในบุนเดสลีกาตอนนี้คือ คริสเตียน เว็ตโคล่ (1. เอฟเอสเฟา ไมนซ์ 05) กับ แซร์โจ้ ดา ซิลวา ปินโต้ (ฮันโนเวอร์ 96) โชคร้ายที่แจ้งเกิดไม่ได้ฤดูกาลต่อมาเลยต้องโยกไป พรอยเซ่น มุนส์เตอร์ สโมสรในเรกิโอนาลลีกา เวสต์-ซุดเวสต์ 3 ปีหลังจากนั้นจึงก้าวสู่ชุดใหญ่ โชว์ฟอร์มเด่นมาก (32 เกม ยิง 4 ประตู) จน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คู่ปรับตลอดกาลของ ชาลเก้ ซื้อไปปั้นในราคา 2 แสนยูโร ขณะเจ้าตัวอายุ 19 ปี ฤดูกาล 2000-01 ได้ลงสนาม 19 นัด (ตัวจริง 14 ครั้ง) ตอนนั้นโค้ช "เสือเหลือง" คือ มัทธีอัส ซามเมอร์ แมตช์แรกในบุนเดสลีกา (11 สิงหาคม.2000) ยืนคู่ตำนานอย่าง เยอร์เก้น โคห์เลอร์ และชนะ เอฟเซ ฮันซ่า รอสต็อค ผู้มาเยือน 1-0 ทำผลงานดีจนติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อ 15 สิงหาคม 2001 (อุ่นเครื่องชนะ ฮังการี 5-2)
ฤดูกาลต่อมาฟอร์มยิ่งเด่นขึ้นกว่าเดิม (25 นัด ตัวจริง 24 จ่าย 1 ประตู) จนทำให้ ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จ และเข้าชิงฯ ยูฟ่า คัพ ปีเดียวกัน (พ่าย เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม 2-3) แต่รอบชิงฯ เม็ตเซลเดอร์ ไม่ได้เล่น อย่างไรก็ตามเขายังติดทัพไปทำศึกฟุตบอลโลก 2002 ซึ่ง เยอรมัน คว้าตำแหน่งรองแชมป์ โดย "เม็ตเซ่" เล่นรอบสุดท้ายทุกเกม ปีนั้นเจ้าตัวถูกเลือกให้ได้รางวัล บราโว่ อวอร์ด อีกด้วย ชื่อของเขาจึงโด่งดังระดับนานาชาติ แต่แทนที่จะสามารถสานต่อความสำเร็จเพิ่มขึ้น กลับมาเจ็บเอ็นร้อยหวาย จนพลาดการลงสนามตลอดฤดูกาล 2003-04 ก่อนมีโอกาสเตะบุนเดสลีกาอีกแค่ 16 แมตช์ในฤดูกาลต่อมา ผลงานเริ่มดีขึ้นช่วงฤดูกาล 2005-06 จนมีชื่อไปเตะฟุตบอลโลก 2006 ซึ่งเจ้าภาพ เยอรมัน คว้าอันดับ 3 เขาไม่ได้เล่นเกือบตลอดครึ่งแรกของฤดูกาล 2006-07 ทำให้ ดอร์ทมุนด์ ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาช่วงกลางปี 2007
ม็ตเซลเดอร์ จึงเลือกย้ายไป เรอัล มาดริด แต่ก็เจอปัญหาบาดเจ็บทั้งที่เท้า และข้อเท้า จนมีโอกาสเตะลา ลีกา แค่ 9 เกม แต่ยังได้ชื่อว่าเป็นแชมป์ในฤดูกาล 2007-08 และถูกเลือกติดทีมชาติชุดทำศึก ยูโร 2008 ที่ เยอรมัน ได้รองแชมป์ (รวมแล้วติดธง 47 นัด) บทบาทของ เม็ตเซลเดอร์ มีมากขึ้นเมื่อ เปเป้ ติดโทษแบน 10 แมตช์ แต่ก็ได้เล่นในลีกแค่ 12 เกม พอต้นสังกัดไม่ประสบความสำเร็จ (รองแชมป์ลีก 2 ปีซ้อน) จึงถึงเวลาสร้างทีมใหม่ และไม่มีกองหลังรายนี้ร่วมด้วย เพราะปีสุดท้ายเจ็บทั้งน่อง, ข้อเท้า, เข่า จนเตะลา ลีกา 2 นัด จึงย้ายกลับ ชาลเก้ พร้อมชวน ราอูล กอนซาเลซ มาอยู่ด้วย ก่อนซิวแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล 2011 ตามด้วยแชมป์ เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ 2011 เป็นรายการสุดท้ายในอาชีพค้าแข้ง เพราะหลังจากนั้น "เม็ตเซ่" ก็มีโอกาสลงเตะน้อยลงเรื่อยๆ ฤดูกาลนี้เพิ่งสัมผัสสนาม 4 เกม 204 นาที เพราะเจ็บเกือบตลอด 4 เดือนแรก
ในอนาคต เม็ตเซลเดอร์ น่าจะมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น เพราะไม่ขอเป็นนักเตะอาชีพอีกแล้ว แม้คงไม่ออกจากวงการลูกหนังไปเลย แต่เราอาจได้ยินข่าวคราวของเขาผ่านสื่อมวลชนต่างๆน้อยลงกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ขอให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จกับทุกสิ่งที่ทำนับจากนี้ เชื่อว่าทุกคนพร้อมเป็นกำลังใจด้วย และหากมีโอกาสก็อยากเห็น "เม็ตเซ่" ในบทบาทเทรนเนอร์สักครั้งเหมือนกัน
credit : www.thaigermanfanclub.com โดย เยอรมันเชพเพิร์ด