ภิกษุรูปหนึ่งกระสันใคร่สึกเพราะการเล้าโลมของบุราณทุติยกา (หญิงภรรยาสมัยเมื่อเป็นฆราวาส) พระศาสดาทรงทราบเรื่องนั้น จึงทรงโอวาทว่าเธอยังไม่เข็ดหลาบอีกหรือ ในชาติก่อนเธอถูกตัดศีรษะเพราะหญิงนี้มาแล้ว ทรงนำเรื่องในอดีตของภิกษุนั้นมาตรัสเล่าดังนี้
ในอดีตกาล บุรุษผู้หนึ่งเกิดในตระกูลคหบดี เมื่อเจริญวัยแล้วเป็นโจร เที่ยวทำโจรกรรมจนมีชื่อเสียงมาก แกล้วกล้ามีกำลังดังคชสาร ยากที่เจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองจะจับได้ วันหนึ่งโจรนั้นเข้าลักทรัพย์ในเรือนเศรษฐีคนหนึ่งได้ทรัพย์จำนวนมาก
ชาวนครเดือดร้อนเพราะโจรนั้นมากจึงเข้าเฝ้าพระราชาพรหมทัตขอให้จับโจรนั้นให้ได้ พระราชารับสั่งให้เจ้าหน้าที่นครบาลรีบดำเนินการจับกุมให้ได้โดยเร็ว เพราะประชาชนเดือดร้อนมาก
คืนหนึ่ง เจ้าหน้าที่นครบาลแบ่งกันออกหลายกลุ่มคอยดักจับโจรนั้น และจับได้พร้อมทั้งของกลางแล้วกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชารับสั่งให้ตัดหัวมันเสียเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ใครอีกต่อไป
ราชบุรุษจับโจรนั้นมัดไพล่หลังไว้อย่างมั่นคง โบยตีด้วยหวายทุกๆ ทางสี่แพร่ง นำไปสู่ตะแลงแกง ด้วยเครื่องดนตรีอันอึกทึกครึกโครม (เพื่อให้คนวิ่งออกมาดูเป็นการประจาน)
ข่าวที่โจรนั้นถูกราชบุรุษจับได้ลือกระฉ่อนไปทั่วนครอย่างรวดเร็ว
คราวนั้นมีหญิงคนหนึ่ง ชื่อสามา รูปสวย และร่ำรวยมากเป็นที่โปรดปรานแม้แห่งพระราชา แต่มีอาชีพทางเป็นนครโสเภณีใครจะร่วมอภิรมย์ต้องเสียทรัพย์ครั้งละ ๑๐๐๐ (หนึ่งพัน) กหาปณะ นางมีหญิงคนใช้ถึง ๕๐๐ คน อยู่ ณ ปราสาทแห่งหนึ่ง
วันที่เขานำโจรไปสู่ตะแลงแกงนั้น นางยืนดูอยู่บนปราสาทเห็นรูปร่างโจรซึ่งบึกบึนและงามหาบุรุษใดเปรียบได้ยากแล้ว เกิดความเสน่หาอย่างยิ่ง คิดว่าทำอุบายอย่างไรหนอจักได้โจรคนนี้มาเป็นภัสดา นางคิดได้แล้วจึงมอบทรัพย์พันหนึ่งให้หญิงรับใช้ไปหาเจ้าหน้าที่นครบาลบอกว่า โจรนั้นเป็นสามีของนางสามา นอกจากสามาแล้วไม่มีใครเป็นที่พึ่งของโจรได้ ขอให้เจ้าหน้าที่รับทรัพย์พันหนึ่งไว้แล้วปล่อยโจรไป
เจ้าหน้าที่ตอบว่า ถ้าได้คนอื่นมาแทนจึงจะปล่อยไปได้ สาวใช้กลับมาบอกนางสามานางสามาคิดอุบายอยู่ว่าจะทำอย่างไรดีหนอ
ครั้งนั้น บุตรเศรษฐีคนหนึ่งติดพันนางสามาอยู่ เขามาหานางทุกวัน นำทรัพย์พันหนึ่งมาให้ด้วย วันนั้น พออาทิตย์อัสดงแล้วเขาก็มาอย่างเคย
นางสามารับเอาทรัพย์พันหนึ่งวางไว้ที่ขาอ่อนแล้วแสร้งร้องไห้ เมื่อบุตรเศรษฐีผู้อื่นเชิงถามว่า ร้องไห้เรื่องอะไร นางก็บอกว่าโจรชื่อเสียงดังที่ถูกจับได้วันนี้เป็นพี่ชายของนาง ไม่ได้ติดต่อกันเสียนาน เพราะพี่ชายละอายว่าเป็นโจร ฉันรู้ว่าพี่ชายถูกจับจึงสั่งคนไปติดต่อขอให้ปล่อยพี่ชายของฉัน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าได้ทรัพย์พันหนึ่งก็จะปล่อยให้ได้ ฉันไม่มีโอกาสนำทรัพย์ไปให้เขา
บุตรเศรษฐีผู้หลงรักนางจึงอาสาว่าจะนำทรัพย์ไปให้ นางสามาจึงว่า ถ้าอย่างนั้นขอให้นำทรัพย์จำนวนพันหนึ่งนี้ ที่ท่านจะให้ฉันนี้แหละไปให้เจ้าหน้าที่นครบาล ดังนี้แล้วแสร้งออเซาะเชยชิดชายนั้นให้ชื่นใจนิดหน่อยแล้วบอกให้รีบไป
เจ้าหน้าที่นครบาลเห็นบุตรเศรษฐีนำทรัพย์มาพันหนึ่ง เข้าใจว่าคือบุรุษที่นางสามาส่งมาแทนโจร จึงเอาบุตรเศรษฐีไว้ในที่มิดชิตส่งโจรไปให้นางสามาด้วยยานที่ปกปิด
คืนนั้นเองบุตรเศรษฐีก็ถูกประหารชีวิตแทนโจร
ดูเถิดเลศมารยาของผู้หญิงมีมากสุดจะพรรณนาได้
จำเดิมแต่นั้นมา นางสามาก็อภิรมย์ชมชื่นอยู่กับโจรไม่ยอมติดต่อเกี่ยวข้องกับบุรุษใดอีกเลย อภิรมย์สมสู่กับโจรเพียงผู้เดียว
จำเนียรกาลต่อมา โจรคิดว่า ต่อไปภายหน้า นางนี้อาจมีจิตปฏิพันธ์ในบุรุษอื่นแล้วสั่งให้ฆ่าเราเสีย อภิรมย์ชมชื่นกับบุรุษอื่นอีกต่อไป นางนี้ประทุษร้ายมิตร ไม่ควรที่เราจะอยู่ด้วย รีบหนีไปเสียได้เป็นดี เมื่อเราจะไปไม่ควรไปมือเปล่า ควรจะต้องนำเครื่องประดับของนางไปด้วย คิดอุบายได้อย่างหนึ่งแล้วกล่าวกับนางว่า พวกเราอยู่กันแต่ในเรือนเป็นประจำเหมือนไก่อยู่ในสุ่ม เราควรจะไปเที่ยวเล่นในสวนกันบ้าง นางสามารับว่า ดีเหมือนกัน นางจัดเตรียมของเช่นขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยความเต็มใจ ประดับตกแต่งอาภรณ์อันล้ำค่าครบชุด นั่งในยานอันปกปิดไปยังอุทยานกับสามี โจรเพลิดเพลินอยู่สักครู่หนึ่ง เห็นเป็นเวลาที่จะหนีไปได้แล้วจึงเข้าสู่พุ่มชบาพุ่มหนึ่งทำทีเหมือนประสงค์จะอภิรมย์กับนางสามา บีบรัดและกอดจนนางสลบลงแล้วเปลื้องเครื่องอาภรณ์ออกหมดทุกอย่าง เอาผ้าห่มของนางห่อของนั้นไว้ แบกของนั้นกระโดดข้ามรั่วอุทยานไป
นางสามาฟื้นขึ้น ถามสาวใช้ว่าเห็นสามีของหล่อนหรือไม่ สาวใช้ตอบว่าไม่เห็นเลย นางคิดไว้ว่า สามีคงนึกว่าตนตายแล้วจึงหนีไป นางเสียใจมาก รีบกลับบ้านตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า ตลอดเวลาที่ยังไม่พบสามี เราจะไม่ยอมนอนบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ไม่นุ่มห่มผ้าผืนที่ชอบ ไม่บริโภคอาหารที่อร่อยสองเวลาไม่แตะต้องเครื่องประดับเช่นของหอมระเบียบดอกไม้เป็นต้น
ความต้องการพบสามีของนางมีมากล้นไม่อาจระงับได้ นางคิดอุบายได้อย่างหนึ่งแล้วเชิญพวกละครมา มอบทรัพย์ให้พันกหาปณะแล้วขอให้ร้องบทหนึ่งในที่ทุกแห่งที่พวกเขาไปแสดง
พวกละครรับทรัพย์ของนางแล้วไปแสดงละครในที่ใดก็ร้องเพลงบทหนึ่งของนางสามาด้วยเสมอ เพลงนั้นว่า
“ท่านบีบรัดนางสามาด้วยแขน ขณะที่อยู่ ณ พุ่มชบาแดง นางนั้นส่งข่าวมาถึงท่านว่าบัดนี้นางมีความสุข”
โจรฟังเพลงขับนั้นในที่แห่งหนึ่งแล้วเข้าไปหาพวกละครและกล่าวว่า
“พ่อมหาจำเริญทั้งหลาย ! นางสามาตายแล้ว ท่านมาบอกความไม่มีโรคของนางเราหาเชื่อถือไม่ เหมือนท่านบอกว่าลมพัดภูเขาไปทั้งลูก ถ้าลมมันพัดภูเขาไปได้จริงมันควรจะพัดแผ่นดินทั้งหมดไปได้ด้วย ใครเล่าจักเชื่อ”
พวกละครตอบว่า นางสามายังมีชีวิตอยู่จริงๆ และไม่ปรารถนาบุรุษอื่นเป็นสามี หล่อนปรารถนาแต่ท่านเท่านั้น
โจรฟังแล้วกล่าวว่า นางประทุษร้ายมิตรทรยศต่อบุรุษผู้ชื่อตรง มาภักดีต่อเราผู้ไม่ยั่งยืนต่อไปภายหน้านางจะต้องทำอย่างนี้กับเราอีกพ่อมหาจำเริญทั้งหลาย ! หญิงอย่างนั้น เราไม่ปรารถนาสมาคมด้วย เราต้องการไปให้ไกลแสนไกล
โจรกล่าวดังนั้นแล้วรีบพรวดพราดออกไปทันที
นางสามาได้ทราบเรื่องนั้นจากพวกละครแล้วมีวิปฏิสารเดือดร้อนใจในกิริยาชั่วของตนไม่นานนักก็ประพฤติอย่างเดิม
พระศาสดาตรัสเรื่องนี้จบแล้ว ทรงเทศนาอริยสัจให้ภิกษุนั้นบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ตรัสว่า โจรในครั้งนั้นคือพระตถาคตเอง
ที่มา www.dhammasavana.or.th/article.php?a=647
สมัยหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นโจร
ในอดีตกาล บุรุษผู้หนึ่งเกิดในตระกูลคหบดี เมื่อเจริญวัยแล้วเป็นโจร เที่ยวทำโจรกรรมจนมีชื่อเสียงมาก แกล้วกล้ามีกำลังดังคชสาร ยากที่เจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองจะจับได้ วันหนึ่งโจรนั้นเข้าลักทรัพย์ในเรือนเศรษฐีคนหนึ่งได้ทรัพย์จำนวนมาก
ชาวนครเดือดร้อนเพราะโจรนั้นมากจึงเข้าเฝ้าพระราชาพรหมทัตขอให้จับโจรนั้นให้ได้ พระราชารับสั่งให้เจ้าหน้าที่นครบาลรีบดำเนินการจับกุมให้ได้โดยเร็ว เพราะประชาชนเดือดร้อนมาก
คืนหนึ่ง เจ้าหน้าที่นครบาลแบ่งกันออกหลายกลุ่มคอยดักจับโจรนั้น และจับได้พร้อมทั้งของกลางแล้วกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชารับสั่งให้ตัดหัวมันเสียเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ใครอีกต่อไป
ราชบุรุษจับโจรนั้นมัดไพล่หลังไว้อย่างมั่นคง โบยตีด้วยหวายทุกๆ ทางสี่แพร่ง นำไปสู่ตะแลงแกง ด้วยเครื่องดนตรีอันอึกทึกครึกโครม (เพื่อให้คนวิ่งออกมาดูเป็นการประจาน)
ข่าวที่โจรนั้นถูกราชบุรุษจับได้ลือกระฉ่อนไปทั่วนครอย่างรวดเร็ว
คราวนั้นมีหญิงคนหนึ่ง ชื่อสามา รูปสวย และร่ำรวยมากเป็นที่โปรดปรานแม้แห่งพระราชา แต่มีอาชีพทางเป็นนครโสเภณีใครจะร่วมอภิรมย์ต้องเสียทรัพย์ครั้งละ ๑๐๐๐ (หนึ่งพัน) กหาปณะ นางมีหญิงคนใช้ถึง ๕๐๐ คน อยู่ ณ ปราสาทแห่งหนึ่ง
วันที่เขานำโจรไปสู่ตะแลงแกงนั้น นางยืนดูอยู่บนปราสาทเห็นรูปร่างโจรซึ่งบึกบึนและงามหาบุรุษใดเปรียบได้ยากแล้ว เกิดความเสน่หาอย่างยิ่ง คิดว่าทำอุบายอย่างไรหนอจักได้โจรคนนี้มาเป็นภัสดา นางคิดได้แล้วจึงมอบทรัพย์พันหนึ่งให้หญิงรับใช้ไปหาเจ้าหน้าที่นครบาลบอกว่า โจรนั้นเป็นสามีของนางสามา นอกจากสามาแล้วไม่มีใครเป็นที่พึ่งของโจรได้ ขอให้เจ้าหน้าที่รับทรัพย์พันหนึ่งไว้แล้วปล่อยโจรไป
เจ้าหน้าที่ตอบว่า ถ้าได้คนอื่นมาแทนจึงจะปล่อยไปได้ สาวใช้กลับมาบอกนางสามานางสามาคิดอุบายอยู่ว่าจะทำอย่างไรดีหนอ
ครั้งนั้น บุตรเศรษฐีคนหนึ่งติดพันนางสามาอยู่ เขามาหานางทุกวัน นำทรัพย์พันหนึ่งมาให้ด้วย วันนั้น พออาทิตย์อัสดงแล้วเขาก็มาอย่างเคย
นางสามารับเอาทรัพย์พันหนึ่งวางไว้ที่ขาอ่อนแล้วแสร้งร้องไห้ เมื่อบุตรเศรษฐีผู้อื่นเชิงถามว่า ร้องไห้เรื่องอะไร นางก็บอกว่าโจรชื่อเสียงดังที่ถูกจับได้วันนี้เป็นพี่ชายของนาง ไม่ได้ติดต่อกันเสียนาน เพราะพี่ชายละอายว่าเป็นโจร ฉันรู้ว่าพี่ชายถูกจับจึงสั่งคนไปติดต่อขอให้ปล่อยพี่ชายของฉัน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าได้ทรัพย์พันหนึ่งก็จะปล่อยให้ได้ ฉันไม่มีโอกาสนำทรัพย์ไปให้เขา
บุตรเศรษฐีผู้หลงรักนางจึงอาสาว่าจะนำทรัพย์ไปให้ นางสามาจึงว่า ถ้าอย่างนั้นขอให้นำทรัพย์จำนวนพันหนึ่งนี้ ที่ท่านจะให้ฉันนี้แหละไปให้เจ้าหน้าที่นครบาล ดังนี้แล้วแสร้งออเซาะเชยชิดชายนั้นให้ชื่นใจนิดหน่อยแล้วบอกให้รีบไป
เจ้าหน้าที่นครบาลเห็นบุตรเศรษฐีนำทรัพย์มาพันหนึ่ง เข้าใจว่าคือบุรุษที่นางสามาส่งมาแทนโจร จึงเอาบุตรเศรษฐีไว้ในที่มิดชิตส่งโจรไปให้นางสามาด้วยยานที่ปกปิด
คืนนั้นเองบุตรเศรษฐีก็ถูกประหารชีวิตแทนโจร
ดูเถิดเลศมารยาของผู้หญิงมีมากสุดจะพรรณนาได้
จำเดิมแต่นั้นมา นางสามาก็อภิรมย์ชมชื่นอยู่กับโจรไม่ยอมติดต่อเกี่ยวข้องกับบุรุษใดอีกเลย อภิรมย์สมสู่กับโจรเพียงผู้เดียว
จำเนียรกาลต่อมา โจรคิดว่า ต่อไปภายหน้า นางนี้อาจมีจิตปฏิพันธ์ในบุรุษอื่นแล้วสั่งให้ฆ่าเราเสีย อภิรมย์ชมชื่นกับบุรุษอื่นอีกต่อไป นางนี้ประทุษร้ายมิตร ไม่ควรที่เราจะอยู่ด้วย รีบหนีไปเสียได้เป็นดี เมื่อเราจะไปไม่ควรไปมือเปล่า ควรจะต้องนำเครื่องประดับของนางไปด้วย คิดอุบายได้อย่างหนึ่งแล้วกล่าวกับนางว่า พวกเราอยู่กันแต่ในเรือนเป็นประจำเหมือนไก่อยู่ในสุ่ม เราควรจะไปเที่ยวเล่นในสวนกันบ้าง นางสามารับว่า ดีเหมือนกัน นางจัดเตรียมของเช่นขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยความเต็มใจ ประดับตกแต่งอาภรณ์อันล้ำค่าครบชุด นั่งในยานอันปกปิดไปยังอุทยานกับสามี โจรเพลิดเพลินอยู่สักครู่หนึ่ง เห็นเป็นเวลาที่จะหนีไปได้แล้วจึงเข้าสู่พุ่มชบาพุ่มหนึ่งทำทีเหมือนประสงค์จะอภิรมย์กับนางสามา บีบรัดและกอดจนนางสลบลงแล้วเปลื้องเครื่องอาภรณ์ออกหมดทุกอย่าง เอาผ้าห่มของนางห่อของนั้นไว้ แบกของนั้นกระโดดข้ามรั่วอุทยานไป
นางสามาฟื้นขึ้น ถามสาวใช้ว่าเห็นสามีของหล่อนหรือไม่ สาวใช้ตอบว่าไม่เห็นเลย นางคิดไว้ว่า สามีคงนึกว่าตนตายแล้วจึงหนีไป นางเสียใจมาก รีบกลับบ้านตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า ตลอดเวลาที่ยังไม่พบสามี เราจะไม่ยอมนอนบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ไม่นุ่มห่มผ้าผืนที่ชอบ ไม่บริโภคอาหารที่อร่อยสองเวลาไม่แตะต้องเครื่องประดับเช่นของหอมระเบียบดอกไม้เป็นต้น
ความต้องการพบสามีของนางมีมากล้นไม่อาจระงับได้ นางคิดอุบายได้อย่างหนึ่งแล้วเชิญพวกละครมา มอบทรัพย์ให้พันกหาปณะแล้วขอให้ร้องบทหนึ่งในที่ทุกแห่งที่พวกเขาไปแสดง
พวกละครรับทรัพย์ของนางแล้วไปแสดงละครในที่ใดก็ร้องเพลงบทหนึ่งของนางสามาด้วยเสมอ เพลงนั้นว่า
“ท่านบีบรัดนางสามาด้วยแขน ขณะที่อยู่ ณ พุ่มชบาแดง นางนั้นส่งข่าวมาถึงท่านว่าบัดนี้นางมีความสุข”
โจรฟังเพลงขับนั้นในที่แห่งหนึ่งแล้วเข้าไปหาพวกละครและกล่าวว่า
“พ่อมหาจำเริญทั้งหลาย ! นางสามาตายแล้ว ท่านมาบอกความไม่มีโรคของนางเราหาเชื่อถือไม่ เหมือนท่านบอกว่าลมพัดภูเขาไปทั้งลูก ถ้าลมมันพัดภูเขาไปได้จริงมันควรจะพัดแผ่นดินทั้งหมดไปได้ด้วย ใครเล่าจักเชื่อ”
พวกละครตอบว่า นางสามายังมีชีวิตอยู่จริงๆ และไม่ปรารถนาบุรุษอื่นเป็นสามี หล่อนปรารถนาแต่ท่านเท่านั้น
โจรฟังแล้วกล่าวว่า นางประทุษร้ายมิตรทรยศต่อบุรุษผู้ชื่อตรง มาภักดีต่อเราผู้ไม่ยั่งยืนต่อไปภายหน้านางจะต้องทำอย่างนี้กับเราอีกพ่อมหาจำเริญทั้งหลาย ! หญิงอย่างนั้น เราไม่ปรารถนาสมาคมด้วย เราต้องการไปให้ไกลแสนไกล
โจรกล่าวดังนั้นแล้วรีบพรวดพราดออกไปทันที
นางสามาได้ทราบเรื่องนั้นจากพวกละครแล้วมีวิปฏิสารเดือดร้อนใจในกิริยาชั่วของตนไม่นานนักก็ประพฤติอย่างเดิม
พระศาสดาตรัสเรื่องนี้จบแล้ว ทรงเทศนาอริยสัจให้ภิกษุนั้นบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ตรัสว่า โจรในครั้งนั้นคือพระตถาคตเอง
ที่มา www.dhammasavana.or.th/article.php?a=647