Scar help me

ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้มันอาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องที่ผ่านมาในชีวิตมนุษย์คนหนึ่งซึ่งอาจฝากรอยแผลเป็นเอาไว้ที่ท้ายทอยและสภาพจิตใจ
    เท้าความก่อนนะ รู้จักกับผมก่อน เมื่อก่อนผมไม่ได้เป็นเสมือนคนพิการแบบนี้ ผมเป็นคนปกติมากๆ เป็นนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนดังแห่งหนึ่งในเขตของภาคเหนือ ผมเป็นเด็กที่มีการเรียนค่อนข้างปานกลาง ชอบเป็นผู้นำ และยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย อันไหนถูกคือถูก อันไหนผิดคือผิด อาจารย์ในโรงเรียนจะจำผมได้ดี ไม่ใช่ว่าเรียนเก่งหรอก แต่มีดีทางด้านผลงานและทำผิดวินัยบ่อยๆมากกว่า แต่ก็ไม่ได้รุนแรงอะไร เช่น ลืมเอาหนังสือมา ผมเป็นเด็กที่ไม่เล่นกีฬาไม่ยอมออกกำลังกาย ทำไมน่ะหรอ ไม่ชอบให้เหงื่อออกเยอะๆ มันรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ชอบกินผักเอามากๆ มีผักมาในจานก็จะเขี่ยออก เวลาเพื่อนชวนไปกินอาหารบุฟเฟ่ก็จะกินแต่แป้งและเนื้อหมู โดยที่ผมไม่คิดว่ามันอาจจะเป็นผลพวงจากการที่ผมเลือกกินแบบนี้ก็ได้
    ประมาณช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ เป็นวันเสาร์ผมก็นอนกลางวันของผมอยู่ดีๆ ก็รู้สึกเวียนหัว บ้านหมุนขึ้นมา อยากอ๊วก พอลุกขึ้นมาเกิดอาการเดินเซ บอกตัวเองไม่ไหวละไปหาหมอดีกว่า ณ โรงพยาบาลรัฐใกล้บ้านที่สุดแห่งหนึ่ง “เชิญเข้าห้องตรวจค่ะ” เสียงพยาบาลเรียก หมอก็ถามถึงอาการคร่าวๆทั่วไป หมอบอกว่าอาจจะเป็นน้ำในหูไม่เท่ากัน อ่ะผมก็ไม่ได้อะไรดูเหมือนจะไม่รุนแรงก็ได้ยากลับมากินต่างๆนาๆ
    วันจันทร์ก็มาถึงวันนั้นผมเรียนวิชาสุขศึกษาอยู่เรียนเรื่องการประถมพยาบาลเบื้องต้นการขันเฉนาะ ก็นั่งเรียนไป เอ๊ะ ทำไมกระดานมันหมุนได้ จากนั้นห้องก็เริ่มหมุน เพื่อนหันมาถาม “แกเป็นไรป่าวอ่ะ หน้าซีดยังกะไก่ต้ม” ผมก็บอก “ไม่ได้เป็นไรหนิ”ทำไมต้องให้ใครมองว่าเราอ่อนแอ  ผมรู้ตัวว่าอาการเริ่มเบาลงแล้วเลยขออนุญาต อาจารย์ไปเข้าห้องน้ำ อาคารเรียนเป็นตึกสองชั้นห้องน้ำชายอยู่ด้านล่างของตึก ต้องลงบันใดไป อ่าว ลงบันใดไม่ได้อาการหน้ามืดมันมาอีกแล้วผมก็นั่งพักแล้วก็เดินกลับไปห้อง ถึงหน้าห้องอาจารย์ก็ถาม “โอเคไหม” ผมบอก “ครับผมไม่ได้เป็นอะไร” พอจะเดินกลับที่เท่านั้นแหละก้าวเดียว หน้ามืดลมตึงลงไปเลย ดีนะมีเพื่อนมารับหัวไว้ทัน ไม่งั้นหัวผมคงฟาดพื้นไปแล้ว ตรงนี้ผมก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไร
    ต่อมา ผมกำลังฝังเพลงในไอพอดอยู่โดยการใส่หูฟัง เอ๊ะ!!!!! ทำไม่ข้างซ้ายกะข้างขวามันได้ยินไม่เท่ากันข้างขวาได้ยินน้อยกว่า ผมก็ขาดเรียนเพื่อไปหาหมอที่ โรงพยาบาลเดิม คราวนี้ไม่ได้ไปหาหมอทั่วไป เฉพาะเจาะจงไปหมอ หู คอ จมูก หมอก็ถามอาการต่างๆ ที่มี หมอสรุปว่าผมเป็นหินปูนในหู
(หมอไม่รักษาให้ด้วย) ด้วยเหตุผลที่ว่าหมอไม่เคยเจอคนไข้ที่เป็นโรคนี้ (อ่าวละรักษาไม่ได้ทำไมไม่ส่งตัวละ) เสียใจหมอไม่ทำ ผมก็อ่ะไม่เป็นไร
    ช่วงเดือนพฤศจิกา เด็ก ม.๖ ส่วนมาก ใน ๑๗ จังหวัดภาคเหนือกำลังง่วนกับการอ่านหนังสือเพื่อที่จะได้นำความรู้ไปสอบโควตาเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ก็ไม่ได้มีเวลามาดูแลตัวเองมัวแต่อ่านหนังสือ เคลียงานต่างๆนาๆ ชีวิตช่วงนั้นนี่คือยุ่งมาก โรงเรียนของผมมีโครงการพิเศษคือ จ้างติวเตอร์ระดับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมาสอนให้เด็ก ผมชอบมากเป็นองค์ความรู้ต่างๆที่เราจำเป็นต้องใช้ในการสอบทั้งนั้น ผมเลือกคณะศึกษาศาสตร์สังคม ห้อยศึกษาศาสตร์บริหาร ในระบบโควตามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งสองคณะรับ คณะละ ๑๐ คน ผลออกมา “ไม่ติด” ช็อกมาก ก็ปลอบใจตัวเองนะว่าคนสอบเป็นพัน
    อาทิตย์ต่อมาเพื่อนก็แนะนำโครงการรับตรง ก็ลองสมัคร ไปสอบดูของ มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา คณะที่ผมเลือกก็คือ ครุศาสตร์วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รับ ๒๐ คน ก็ลองไปสอบดู
ผลออกมา “หึ้ยติดอ่ะ”
    ข่าวดีมักจะมาพร้อมกับข่าวร้าย หูผมข้างขวาเกิดการไม่ได้ยินขึ้นมาจับทิศทางของเสียงไม่ได้เลย
ผมได้เดินทางไปหาหมอโรงพยาบาลของรัฐ ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ คิดว่าคงมีอาจารย์หมอเก่งๆ รักษาเราได้ แต่....... มันไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อไปถึงห้องตรวจ หู คอ จมูก ก็เจอนักเรียนแพทย์ปี ๖ คงจะไม่ประสามากนัก ส่งตัวผมไปวัดระดับการได้ยินผลออกมาก็ตอนนี้หูขวาดับสนิท หมอพูดหลังจากดูผล(ตายหมู่) ก็สรุปเหมือนเดิมว่าผมเป็นหินปูนในหู หมอกบอกว่าพยามอย่าให้ศีรษะกระแทก ห้ามสะบัดหัวแรงๆ เพราะจะทำให้หินปูนในหูฝุ้งเกิดอาการตามมาคือเวียนหัวบ้านหมุน หมอก็ดีเค้าก็รักษาตามหน้าที่ของหมอ จะฉีด
ยาสเตียรอย ด้วยแต่ด้วยวันนั้นคนไข้เยอะ มากเลยไม่ได้ฉีด ผมก็ใช้หูด้านซ้ายฟังเหมือนคนปรกติ หมอสั่งยาบำรุงปลายประสาทมาให้ ๑๐ แผง
    แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ผมสอบติด มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา คณะครุศาสตร์วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ถึงวันที่ต้องไปสอบสัมพาทแล้ว ตอนนั้นยังปรกติดีเดินเซนิดหน่อย ก็ไปสอบสัมพาทแล้วรอประกาศผลรอบสอง “ผมได้เข้าเรียนที่นี่” มีสิทธ์เป็นนักศึกษาเรียบร้อย
    *แต่ใจผมยังอยู่กับ มช. คณะศึกษาศาสตร์ คิดว่าผมน่าจะทำได้ดี เพราะเป็นสิ่งที่ผมถนัด แต่จะให้ทำอย่างไรเมื่อเราสอบติด ครุศาสตร์วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา ตอนนั้นมันไม่มีทางเลือกมีโอกาสแล้วก็ต้องคว้าไว้ ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่จะเรียนเพราะความรู้วิชาช่างต่างๆ ผมไม่มีเลยและอื่นๆที่ตามมาแค่บรรยากาศมันก็ไม่ใช่แนวของผมแล้ววันที่ไปสำพาทเดินเข้าไปในมหาลัยผมยังกลัว วิศวไม่ได้อยู่ในหัวผมเลย ออ ลืมบอกไปครับผมจบมัธยมปลายแผนการเรียน คณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์ ครับ จะแอดมิดชั่น ไม่ได้แน่ๆ คะแนนไม่ถึง สอบโควตาก็มีสิทธ์สอบได้ครั้งเดียว ถ้ามีโอกาสผมก็อยากเรียนในคณะที่ผมต้องการจริงๆ
ต้นเดือนมีนาคม วันไปรับใบประกาศนียบัตรจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย เพื่อนถามไหวไหม ผมหน้าซีดมาก ผมบอกไหว ทนจนเสร็จพิธีและเดินขึ้นไปรับใบประกาศนียบัตรบนเวทีเก็บอาการมาก
อาการเดินเซและหูไม่ได้ยินเริ่มทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมีเพื่อนทักบอกว่าทำไมเดินแบบนั้น(ขาถ่างๆ) ผมคิดว่าถ้าปล่อยใว้แบบนี้มีผลกระทบกับชีวิตเราในอนาคตแน่ๆ ก็ไปคุยกะแม่ “แม่ลูกไม่ไหวละพาไปศูนย์ศรีพัฒน์ได้ไหม” เพราะผมศึกษาข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ตแล้วว่าถ้าไปที่นี่เวลานี้ เราจะได้เจออาจารย์หมอคนนี้ ในเว็บเค้ามีบอก ผมเลือกไปตอนเย็น ศูนย์ศรีพัฒน์เป็นคลินิกเอกชน การใช้สิทธิ์ต่างๆเบิกค่ารักษาจึงทไม่ได้  
คุณพ่อกับคุณแม่ผมทำงานยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกเท่าไหร่ ผมเลือกไปพบ อาจารย์หมอจารึก หาญประเสริฐพงษ์. โสต ศอ นาสิกวิทยา อาจารย์หมอจะลงตอนเย็นครับ พ่อโทรหาแม่บอกว่าจะเวอร์ไปไหนเป็นแค่นี้ไปหาหมอ !!! หลังจากที่ อ.หมอ ส่องหูผมดูแล้วก็บอกว่ามันไม่ได้เป็นอะไรทุกอย่างปรกติ แต่ทำไมไม่ได้ยิน อ.หมอ เปิดดูระดับการได้ยินหูขวาของผมละส่ายหน้าเบาๆ พร้อมพูดว่า “คุณแม่ครับตอนนี้หูข้างขวาบอดสนิทเลยครับ” แต่ว่าเพื่อความปลอดภัยหมออยากให้ไปทำ MRI เบรน ดูก่อนครับเพื่อที่จะไห้แน่ใจว่าไม่มีอะไรในสมอง ผมก็ไปทำ MRI ครับ ผลออกมาก็คือ ผมมีเนื้องอกในสมอง ขนาด 4 เซนติเมตรอยู่ติดกันก้านสมองครับ อ.หมอ อาจารย์หมอจารึก หาญประเสริฐพงษ์ ส่งตัวผมไปพบศัลยแพทย์ เพื่อวินิฉัยว่าจะผ่าออกดีไหม สรุปว่าผมผ่าครับ แพทย์ศัลย บอกได้คิววันทั้ ๒๗ เมษายน นะ แต่ต้องมานอนโรงบาลรอหมอก่อน ๑ วัน อาจารย์หมอเป็นคนผ่าครับ อาจารย์ธัญญา ผมก็กลับบ้านไป... เพื่อรอวันที่จะผ่า ก่อนผ่าผมยังไปเดินขบวนสงกรานต์กับเพื่อนอยู่เลย เดินทั้งเซๆนั่นแหละ อาศัยเกาะเพื่อนไป ทำหน้าที่เป็นสวัสดิการ เลยไม่ต้องเป๊ะมาก
วันที่หมอนัดผ่าก็มาถึง อ.ธัญญาบอกว่า การผ่าครั้งนี้มีความเสี่ยงสูง ฟื้นขึ้นมาอาจจะหน้าเบี้ยว หรือมากกว่านั้นก็คือไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย แต่หมอแนะนำให้ผ่านะ เพราะเนื้องอกมันใหญ่มาก สรุปผมก็ผ่าครับพ่อแม่ผมก็เซ็นยิมยอมไป ผมถามคุณหมอว่าผ่าเสร็จแล้วผมจะกลับไปเรียนได้ไหม จะทันไหมเพราะช่วงเดือน พฤษภาคม เปิดภาคเรียนแล้ว คุณหมอทำหน้าตกใจ พร้อมกับพูดว่า “ไม่ได้ ไม่ทัน เพราะหลังจากผ่าตัดคุณต้องพักฟื้นนานอยู่ ดรอปไว้ก่อนได้ไหม” ครับผมก็ตกลงตามนั้น แม่ผมก็ประสานไปทางมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา เพื่อสอบถามเรื่องทำการดรอปเรียนให้ผม แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ “ไม่ได้คะ ทางมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาให้ดรอปไม่ได้คะ” เนื่องจากผมไม่ได้เรียนก่อนหนึ่งปีจึงดรอปไม่ได้แล้วการสอบข้อเขียนสอบสำพาทย์ในครั้งนี้ของผมถือเป็นโมฆะ สอบติด สำพาทย์ผ่าน แต่ไม่ได้เรียน ชีวิตใครลิขิต
การผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดีไม่เจ็บปวดอะไรใช้เวลาในการผ่า 6 ชั่วโมง ผมฟื้นหลังจากออกห้องผ่าตัด 3 ชั่วโมงโดยไม่มีสายน้ำเกลือและอะไรต่อมิอะไรระโยงรยางค์ แต่ประเด็นมันอยู่ตรงนี้
หลังจากที่ผมฟื้นแต่ลืมตาไม่ได้ในห้อง ICU ผมก็รู้สึกหน้าข้างขวามันหนาๆ และขยับไม่ได้ “อ่าว เอาละไง” ต่อมาผมก็โดนเข็นจากห้อง ICU มาที่ห้องพักรวม รวม รวม !!!!! ร้อน และวุ่นวายมาก พยาบาลก็ปากปีจอ ผมก็ไม่คิดอะไรมากกว่าภวานาให้ได้ห้องพิเศษที่จองไว้ได้ไวๆ แม่ด้วยความรักลูกอยากให้ลูกอยู่อย่างสบายโทรไปถามห้องพิเศษทุกวัน แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาเดิมๆ คือ ห้องยังไม่ว่างค่ะ มารู้ทีหลังคือ หมอไม่ยอมปล่อยตัวไปเพราะจะรอดูอาการและผลค้างเคียงจากการผ่าตัด ก็ไม่รู้ว่าจริงไหมนะผมได้ยินมาแบบนี้
ลองเดินดู ผมนั่งได้ไม่มีปัญหา แต่แค่ยื่น ยังทำไม่ได้ขามันไม่มีแรงเลย แล้วมือขวาก็ใช้ไม่ได้เวลาเกร็งมันจะสั่นมากและทำให้ของที่ถืออยู่หล่นเสียหาย บอกแม่ว่าจะเอามือถือ เสียงออกมา เป็น “เอามือตื๊อ” นั่นสิครับ มันความจริงที่ผมต้องยอมรับ หน้าเบี้ยวปากเบี้ยว ทำให้ผมพูดไม่ชัด “เอาละไง” ผมตั้งใจว่าผ่าเสร็จจะกลับไปเรียน หนังตาด้านขวาก็ปิดลงมาไม่สนิทปิดได้ครึ่งเดียว  อีกอาทิตย์นึงผลชิ้นเนื้อจะออก
    อยู่โรงบาลห้องรวม ร้อนก็ร้อน วุ่นวายอีก พยาบาลก็พูดไม่เพราะระดับแปด จะบอกว่าพยาบาลที่ดีๆก็มี ลุง ป้า น้า พี่ น้อง เพื่อนของแม่ เพื่อนเรา ไปเยี่ยมผมหมด พยาบาลก็ตะคอกใส่หมดเวลาเยี่ยมแล้วอย่ามาวุ่นวาย ช่วงแรกที่ผ่าตัดประมาณหนึ่งเดือนผมยังไม่แข็งแรงพอที่จะยืนได้ การช่วยเหลือจึงตามมา ได้พ่อแม่ ผลัดเปลี่ยนกันมาดูแล หิ้วปีกผมไปเข้าห้องน้ำสมเพชตัวเองจริงๆ ช่วงนั้น ทำให้ตัวเองลำบากไม่พอ ยังทำให้พ่อแม่ลำบากไปกับเราอีก ให้มันได้แบบนี้สิ ซวย ไปถึงไหน
    เดือนที่สองหลังจากการผ่าตัดกลับมาพักฟื้นที่บ้านครับ ผมช่วยเหลือตัวเองได้หมด เข้าห้องน้ำ กินข้าว ฯลฯ ในชีวิตประจำวัน เพียงแต่มือขวามันไม่ค่อยจะเที่ยงตรงนัก สั่นเวลาเกร็งและใช้เขียนไม่ได้ วิธีแก้ก็คือ ยังเหลือมืออีกข้าง ก็หัดใช้มือซ้ายตั้งแต่นั้นมา จนกลายเป็นคนถนัดซ้ายไปโดยปริยาย
    ชีวิตที่หมดอิสระก่อนผ่าผมไปไหนมาไหนเองได้ไปเที่ยวไปธุระ หลังผ่าได้สองเดือนผมเดินได้แล้วครับแต่เดินเหมือนคนเมาเซช้ายเซขวาทรงตัวไม่อยู่ และขับรถไม่ได้ทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์ ขี่ได้แต่จักรยาน ออกถนนไม่ได้ด้วย โครตเซ็ง ตาที่เห็นภาพซ้อนที่เป็นผลมาจากการผ่าตัดทำให้กะระยะในการขับรถไม่ถูก เท้าซ้ายที่ใช้ในการเหยียบคันเร่งมันก็ไม่เที่ยงตรงนักชวนจะไห้รถพุ่งไปข้างหน้าอยู่เรื่อย แขนขวาที่ยังไม่แข็งแรงพอที่จะควบคุมคอจักรยานยนต์ให้มั่งคงเลี้ยวซ้ายขวาได้ตามต้องการ ตามที่ผมเรียนมาสมองส่วนท้ายที่ควบคุมการทรงตัวกับส่วนกลางที่ควบคุมปลายปราสาทต่างๆ ทางดานขวาของผมมันต้องเสียหายอย่างหนักแน่ๆ เพราะด้านซ้ายผมใช้งานได้ปรกติทุกอย่าง การผ่าตัดครั้งนี้ไม่มีผลต่อความทรงจำของผมเลยครับ ปรกติดี ผมจะไปไหนทีก็ต้องขอพ่อแม่ไปส่ง ด้วยความเกรงใจครับไม่กล้าขอมากแล้วอย่างผมจะไปหาแฟนแต่ให้พ่อให้แม่ไปส่ง มันใช่หรอครับ นี่แหละครับชีวิตที่หมดอิสระ ที่ผมกลายเป็นเสมือนคนพิการ
วันนี้หมอนัดมาฟังผลชิ้นเนื้อ ครับ ผลที่ออกมาก็คือ Meddullobastoma .ผมเป็นมะเร็ง มะเร็ง!!!!!! แล้วตอนนี้มันยังอยู่ในหัวผมด้วย หมอศัลย แจ้งหลังผ่าว่าไม่สามารถผ่าออกได้หมด
เหลืออยู่ ๒ เซ็น ก้อนมะเร็งอยู่ติดส่วนสำคัญ(ก้านสมอง)ถ้าเกิดหมอเอาออกหมดผมอาจไม่ฟื้นขึ้นมา ผมก็นึกในใจ “แล้วเอาไงละ” หมอก็ส่งตัวผมไปห้องตรวจเพื่อรับยาคีโม และฉายรังสี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่