แม้จะมีคนนิยมชมชอบไม่มากเท่ากับ Star Wars แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Star Trek คือความคลาสสิคที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งใน "วัฒนธรรม" ของโลกไซ-ไฟ ที่มีสาวก (เรียกว่าเทร็คกี้) คลั่งไคล้ ติดตามอย่างเหนียวแน่นยาวนานไม่แพ้กัน
เอาเข้าจริงแล้ว Star Trek นั้นมาก่อน Star Wars และอาจจะพูดได้ว่าเป็นต้นแบบในบางส่วนให้กับ Star Wars เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ Star Trek ตอนแรกเริ่มอยู่ในรูปของซีรี่ส์ที่ฉายทางทีวี (ตั้งแต่ปี 1965) ก่อนที่ Star Wars จะโผล่มาในรูปแบบหนังใหญ่ในปี 1977 แล้วได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งความสำเร็จของ Star Wars ก็มีส่วนทำให้ Star Trek ถือโอกาสผันตัวเองจากจอทีวีมาสู่จอใหญ่ครั้งแรกในอีก 2 ปีถัดมา (1979)
ว่ากันว่าแฟนคลับที่คลั่งไคล้ Star Trek มักจะเกลียด Star Wars และหลายคนที่ชอบทั้ง Trek ทั้ง Wars มักจะบอกว่า Trek นั้นมีสเน่ห์ และมีความ "ลุ่มลึก" มากกว่า ส่วนผู้เขียนต้องออกตัวไว้ก่อนว่าไม่ได้เป็นแฟนคลับ และไม่ประสีประสาอะไรกับโลกของ Star Trek เอาเสียเลย แค่พอเคยดูโก้ๆ เท่ๆ กับเขาอยู่บ้างทั้งหนังใหญ่ยุคหลัง และซีรี่ส์ที่กลายเป็น ฌอง-ลุค พิคาร์ด กัปตันหัวเกลี้ยง มาคุมยานเอนเตอร์ไพรซ์ ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้ประทับใจอะไร
และเท่าที่ได้ผ่านตามา ผู้เขียนอนุมานเอาเองว่าสิ่งที่ทำให้ Star Trek ไม่ได้รับความนิยมในวงกว้างเท่ากับ Star Wars น่าจะมาจากการที่ Trek ไม่นิยมขายฉากการต่อสู้โรมรัน หรือจินตนาการที่หวือหวา แต่เน้นการผจญภัยสำรวจจักรวาลจนเกิดเป็น "สถานการณ์คับขัน" ที่ทำให้กัปตันและลูกยานเอนเตอร์ไพรซ์ ต้องใช้ปณิธานไหวพริบในการเอาตัวรอดเป็นหลัก
ภาพจำของ Trek (ในสายตาของคนที่ดูแบบผ่านๆ แบบผู้เขียน) จึงมีเพียง บทสนทนา, ยานอวกาศ, คนวิ่งไปวิ่งมาในยาน และการยิงปะทะกันแบบประปราย ซึ่งด้วยความที่ไม่ได้ติดตามอย่างต่อเนื่องหรือผูกพันกับตัวละครอย่างที่ว่ามา ทำให้ทั้งหมดจึงกลายเป็นความน่าเบื่อ ขณะเดียวกันทั้งตัวหนังและซีรี่ส์ในภายหลังก็มาถึงจุดอิ่มตัว และเสื่อมความนิยมลงไปเองด้วยอีกทาง
ซึ่งก็ได้ Star Trek (2009) ฉบับรีบู๊ตใหม่จากฝีมือของพี่เจเจ เอบรามส์ นี่แหละ ที่ทำให้หนังชุดนี้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เนื่องจากเจเจ สามารถผสมผสานงานแอ็คชั่นใหญ่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เข้ากับขนบดั้งเดิมของหนังได้อย่างกลมกลืน ถูกใจทั้งสาวกตัวจริง ขณะเดียวกันก็ถูกรสนิยมคนทั่วไป
สำหรับภาคล่าสุดนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ จอห์น แฮร์ริสัน ชายลึกลับผู้มีทั้งความแข็งแรงทางร่างกาย และมันสมองอันฉลาดปราดเปรื่อง ได้วางแผนใช้ระเบิดฆ่าผู้คน และใช้ยานบินบุกมาโจมตีถล่มหน่วยงานของ สตาร์ฟลีต อย่างอุกอาจ ก่อนที่จะหลบหนีไปซ่อนตัวที่ดาวของเผ่าคลิงออน (ตัวร้ายหลักของซีรี่ส์ Star Trek) ด้วยเหตุผลบางอย่าง
กัปตันเคิร์ก, ต้นเรือสป็อค และลูกยานเอนเตอร์ไพรซ์ จึงได้รับมอบภารกิจให้เดินทางไปยังดาวคลิงออนพร้อมกับอาวุธหนักเพื่อไล่ล่าผู้ร้ายรายนี้ แต่เมื่อไปถึงกลายเป็นว่านอกจาก แฮร์ริสัน จะยอมมอบตัวแต่โดยดีแล้ว ยังได้ช่วยกัปตันเคิร์ก และลูกยาน ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเหล่าคลิงออนอีกต่างหาก ตามมาด้วยการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาในเวลาต่อมา (ซึ่งทำให้หนังเป็นเหมือนการเอา Star Trek ภาค The Wrath Of Khan (1982) มารีบู๊ตใหม่) และข้อมูลทั้งหมดก็นำกัปตันเคิร์ก และลูกยานไปสู่สถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน และคับขันมากยิ่งขึ้น
บทหนังไม่เพียงวางสถานการณ์พลิกผันเพื่อปั่นหัวบรรดาตัวละครในเรื่องเท่านั้น แต่ยังถูกใช้ทำหน้าที่หลอกล่อคนดูได้อย่างอยู่หมัด โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องเมื่อความขัดแย้งซ่อนเงื่อนทั้งหลายได้ทวีความเข้มข้นขึ้นถึงขีดสุด ทำให้คนดูต้องคิดตาม คาดเดา และร่วมจับต้นชนปลายเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยใจระทึก นอกจากนั้นหนังยังวางพล็อตย่อยเกี่ยวกับ "การใช้ความรู้สึกเหนือกฏ" และ "การทำตามกฏจนเหมือนไร้ความรู้สึก" มาเป็นประเด็นส่งเสริมแคเร็คเตอร์หลักอย่าง กัปตันเคิร์ก กับ สป็อค ได้อย่างโดดเด่น ซึ่งทั้งคู่เป็นเหมือนทั้งคู่หู/คู่ขัดแย้งอยู่ในตัว
ถ้าจะมีจุดด้อยอยู่บ้างก็ตรงที่ เนื้อหา หรือประเด็นต่างๆ ในหนังภาคนี้มันไม่ได้ทำให้ตัวละครทั้งหมดพัฒนาไปสู่อะไรที่มากกว่าภาคที่แล้ว เป็นเพียงแค่การผจญภัยอีกครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นและจบลง แต่ก็นั่นแหละพี่เจเจ เอบรามส์ เขาทำการผจญภัยที่ว่านี้ออกมาได้สนุก จนบางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรกับเรื่องเหล่านี้มากนัก
อีกส่วนที่ดูดีเป็นอย่างมากของ Star Trek ภาคนี้ในความเห็นของผู้เขียนก็คือ การกำกับศิลป์ ที่ทั้งฉาก, เสื้อผ้าหน้าผม, อวกาศ, สถานที่, ยวดยาน ตลอดจนการวาร์ปของยานที่ทิ้งเส้นแสงสีไว้อย่างงดงาม ซึ่งดีไซน์ออกมาได้น่าหลงใหลเหลือเกิน รวมๆ แล้วเป็นโลกที่มีความคลาสสิคแทรกซึมเจือปนอยู่ท่ามกลางความสมัยใหม่ จนทำให้ผู้เขียนชักอยากจะสมัครเป็น "เทร็คกี้" ด้วยการไปหาหนังและซีรี่ส์ยุคแรกมาดูกับเขาขึ้นมาบ้างเสียแล้วสิ!
คะแนน : สี่ดาวจ้า
##Ps 1. ถ้าใครจะดูแบบ 3D งานนี้จัดไปได้เลย เพราะหนังเล่นกับความสูง-ต่ำ, ใกล้-ไกล, สะเก็ดดาว ไฟ ระเบิด ฯลฯ และทำออกมาทะลุจอได้ดีทีเดียว
##Ps 2. ใครเป็นแฟน Star Trek ตัวจริง ตกหล่นตรงไหนฝากชี้แนะด้วยจ้า
##Ps 3. ใครชอบอ่านรีวิวหนัง สั้นบ้าง ยาวบ้าง ฝากกด like แฟนเพจด้วยจ้า
http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518
(แอบดูมาแล้ว) Star Trek Into Darkness (2013) : ขอสมัครเป็น "เทร็คกี้" ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
แม้จะมีคนนิยมชมชอบไม่มากเท่ากับ Star Wars แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Star Trek คือความคลาสสิคที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งใน "วัฒนธรรม" ของโลกไซ-ไฟ ที่มีสาวก (เรียกว่าเทร็คกี้) คลั่งไคล้ ติดตามอย่างเหนียวแน่นยาวนานไม่แพ้กัน
เอาเข้าจริงแล้ว Star Trek นั้นมาก่อน Star Wars และอาจจะพูดได้ว่าเป็นต้นแบบในบางส่วนให้กับ Star Wars เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ Star Trek ตอนแรกเริ่มอยู่ในรูปของซีรี่ส์ที่ฉายทางทีวี (ตั้งแต่ปี 1965) ก่อนที่ Star Wars จะโผล่มาในรูปแบบหนังใหญ่ในปี 1977 แล้วได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งความสำเร็จของ Star Wars ก็มีส่วนทำให้ Star Trek ถือโอกาสผันตัวเองจากจอทีวีมาสู่จอใหญ่ครั้งแรกในอีก 2 ปีถัดมา (1979)
ว่ากันว่าแฟนคลับที่คลั่งไคล้ Star Trek มักจะเกลียด Star Wars และหลายคนที่ชอบทั้ง Trek ทั้ง Wars มักจะบอกว่า Trek นั้นมีสเน่ห์ และมีความ "ลุ่มลึก" มากกว่า ส่วนผู้เขียนต้องออกตัวไว้ก่อนว่าไม่ได้เป็นแฟนคลับ และไม่ประสีประสาอะไรกับโลกของ Star Trek เอาเสียเลย แค่พอเคยดูโก้ๆ เท่ๆ กับเขาอยู่บ้างทั้งหนังใหญ่ยุคหลัง และซีรี่ส์ที่กลายเป็น ฌอง-ลุค พิคาร์ด กัปตันหัวเกลี้ยง มาคุมยานเอนเตอร์ไพรซ์ ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้ประทับใจอะไร
และเท่าที่ได้ผ่านตามา ผู้เขียนอนุมานเอาเองว่าสิ่งที่ทำให้ Star Trek ไม่ได้รับความนิยมในวงกว้างเท่ากับ Star Wars น่าจะมาจากการที่ Trek ไม่นิยมขายฉากการต่อสู้โรมรัน หรือจินตนาการที่หวือหวา แต่เน้นการผจญภัยสำรวจจักรวาลจนเกิดเป็น "สถานการณ์คับขัน" ที่ทำให้กัปตันและลูกยานเอนเตอร์ไพรซ์ ต้องใช้ปณิธานไหวพริบในการเอาตัวรอดเป็นหลัก
ภาพจำของ Trek (ในสายตาของคนที่ดูแบบผ่านๆ แบบผู้เขียน) จึงมีเพียง บทสนทนา, ยานอวกาศ, คนวิ่งไปวิ่งมาในยาน และการยิงปะทะกันแบบประปราย ซึ่งด้วยความที่ไม่ได้ติดตามอย่างต่อเนื่องหรือผูกพันกับตัวละครอย่างที่ว่ามา ทำให้ทั้งหมดจึงกลายเป็นความน่าเบื่อ ขณะเดียวกันทั้งตัวหนังและซีรี่ส์ในภายหลังก็มาถึงจุดอิ่มตัว และเสื่อมความนิยมลงไปเองด้วยอีกทาง
ซึ่งก็ได้ Star Trek (2009) ฉบับรีบู๊ตใหม่จากฝีมือของพี่เจเจ เอบรามส์ นี่แหละ ที่ทำให้หนังชุดนี้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เนื่องจากเจเจ สามารถผสมผสานงานแอ็คชั่นใหญ่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เข้ากับขนบดั้งเดิมของหนังได้อย่างกลมกลืน ถูกใจทั้งสาวกตัวจริง ขณะเดียวกันก็ถูกรสนิยมคนทั่วไป
สำหรับภาคล่าสุดนี้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทหนังไม่เพียงวางสถานการณ์พลิกผันเพื่อปั่นหัวบรรดาตัวละครในเรื่องเท่านั้น แต่ยังถูกใช้ทำหน้าที่หลอกล่อคนดูได้อย่างอยู่หมัด โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องเมื่อความขัดแย้งซ่อนเงื่อนทั้งหลายได้ทวีความเข้มข้นขึ้นถึงขีดสุด ทำให้คนดูต้องคิดตาม คาดเดา และร่วมจับต้นชนปลายเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยใจระทึก นอกจากนั้นหนังยังวางพล็อตย่อยเกี่ยวกับ "การใช้ความรู้สึกเหนือกฏ" และ "การทำตามกฏจนเหมือนไร้ความรู้สึก" มาเป็นประเด็นส่งเสริมแคเร็คเตอร์หลักอย่าง กัปตันเคิร์ก กับ สป็อค ได้อย่างโดดเด่น ซึ่งทั้งคู่เป็นเหมือนทั้งคู่หู/คู่ขัดแย้งอยู่ในตัว
ถ้าจะมีจุดด้อยอยู่บ้างก็ตรงที่ เนื้อหา หรือประเด็นต่างๆ ในหนังภาคนี้มันไม่ได้ทำให้ตัวละครทั้งหมดพัฒนาไปสู่อะไรที่มากกว่าภาคที่แล้ว เป็นเพียงแค่การผจญภัยอีกครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นและจบลง แต่ก็นั่นแหละพี่เจเจ เอบรามส์ เขาทำการผจญภัยที่ว่านี้ออกมาได้สนุก จนบางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรกับเรื่องเหล่านี้มากนัก
อีกส่วนที่ดูดีเป็นอย่างมากของ Star Trek ภาคนี้ในความเห็นของผู้เขียนก็คือ การกำกับศิลป์ ที่ทั้งฉาก, เสื้อผ้าหน้าผม, อวกาศ, สถานที่, ยวดยาน ตลอดจนการวาร์ปของยานที่ทิ้งเส้นแสงสีไว้อย่างงดงาม ซึ่งดีไซน์ออกมาได้น่าหลงใหลเหลือเกิน รวมๆ แล้วเป็นโลกที่มีความคลาสสิคแทรกซึมเจือปนอยู่ท่ามกลางความสมัยใหม่ จนทำให้ผู้เขียนชักอยากจะสมัครเป็น "เทร็คกี้" ด้วยการไปหาหนังและซีรี่ส์ยุคแรกมาดูกับเขาขึ้นมาบ้างเสียแล้วสิ!
คะแนน : สี่ดาวจ้า
##Ps 1. ถ้าใครจะดูแบบ 3D งานนี้จัดไปได้เลย เพราะหนังเล่นกับความสูง-ต่ำ, ใกล้-ไกล, สะเก็ดดาว ไฟ ระเบิด ฯลฯ และทำออกมาทะลุจอได้ดีทีเดียว
##Ps 2. ใครเป็นแฟน Star Trek ตัวจริง ตกหล่นตรงไหนฝากชี้แนะด้วยจ้า
##Ps 3. ใครชอบอ่านรีวิวหนัง สั้นบ้าง ยาวบ้าง ฝากกด like แฟนเพจด้วยจ้า http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518