ความปรากฏค่อนข้างชัดว่า ปาฐกถาที่อูลันบาตอ มองโกเลียนั้น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กำกับเนื้อหาเองทุกช็อต ทั้งเธอและขี้ข้าก็มิได้ปฏิเสธประเด็นนี้เลย
และมิได้โต้แย้งใน “ความเท็จ” ที่ถูกจับได้สารพัด ในบทปาฐกถาของเธอ
แต่ไพล่ไปใช้ประเด็น “ดูถูกเพศแม่-รังแกผู้หญิง” มากลบเกลื่อนแทน
ผมคิดว่า ยิ่งลักษณ์หงายไพ่ของเธอออกมาอ้าซ่า เปิดเผย “ธาตุแท้” ของเธอออกมา
ผ่านบทพูดที่เธอกำกับเนื้อหาเองครั้งนี้ ที่ทำให้คนทั้งโลกรู้เช่นเห็นชาติว่า
เธอเป็นคนจำพวก “พูดความจริงครึ่งๆ กลางๆ” เพื่อหาประโยชน์ให้แก่ครอบครัว
โดยไม่คำนึงถึงประเทศชาติ
“ทุกคำกล่าวของนายกฯ ไม่ใช่เฉพาะที่มองโกเลีย ล้วนแต่เป็นความคิดของท่าน
นายกฯเป็นคนทำงานละเอียด จะพูดอะไรถือว่าเป็นคำพูดของท่าน
แนวคิดก็ต้องเป็นของท่าน
ดังนั้นทุกคำกล่าวนายกฯจะดูเองทั้งหมด” นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ
เปิดเผยกับข่าวสดออนไลน์ขณะที่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ให้ข้อมูลว่า
“แหล่งข่าวระดับสูงที่ร่วมเดินทางไปกับคณะนายกฯที่มองโกเลีย
เปิดเผยกับสำนักข่าวเนชั่นว่า... ก่อนหน้านี้เนื้อหาไม่ใช่แบบนี้
เพราะก่อนเดินทางจะมีการประชุมเตรียมการก่อนไปเยือน
และกระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบหมายในการจัดทำร่างปาฐกถา
ของนายกฯ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้สอบถามนายกฯว่าจะพูดเรื่องอะไร
โดยนายกฯบอกว่าจะพูดเรื่องประชาธิปไตยในไทยและเรื่องการศึกษา
ซึ่งนายกฯก็พูดแค่นั้น และหลังจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศก็ส่ง
ร่างปาฐกถามาที่ตึกไทยคู่ฟ้าจำนวนเนื้อหาประมาณ 6-7 หน้าเอสี่
และหลังจากนั้นคณะทำงานด้านการจัดทำสคริปให้นายกฯ นำโดยนายสุรนันทน์
เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็มีการปรับเนื้อหาให้กระชับขึ้นแล้วส่ง
ให้นายกฯดู“จนมาถึงวันที่ 27 เม.ย. วันเดินทางเนื้อหาในปาฐกถาก็ยังไม่นิ่ง
เห็นว่านายกฯคุยกับคณะทำงานและนายสุรนันทน์บนเครื่องบินระหว่างบินไปมองโกเลีย
นายกฯบอกให้แก้ไข อยากให้พูดให้เขียนให้ชัดเจน ตรงๆ ไปเลย ใส่ชื่อพี่ชายคือ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไปเลย รวมทั้งอยากให้พูดถึงคนที่ติดคุกจำนวนมากด้วยซ้ำ
แต่ก็ถูกตัดออก
ระหว่างการเดินทาง 5 ชั่วโมงบนเครื่องบินมีการแก้ไข แล้วก็ปรินท์ด้วย
เครื่องปรินท์ไร้สาย (Portable) ปรินท์แล้วก็แก้ ปรินท์แล้วก็แก้ในที่สุดจน
ได้เนื้อหาตามที่นายกฯต้องการ คือไม่ใช่ภาษาทางการทูตและภาษาที่สวยงาม
ของกระทรวงการต่างประเทศ” แหล่งข่าวกล่าว
ส่วนการส่งข่าวกลับมาที่ประเทศไทยนั้น แหล่งข่าวเล่าว่า
ทีมงานของนายกฯได้ร่างเป็นภาษาอังกฤษแล้วมอบให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอีกครั้ง
ทั้งนี้นายกฯมีคิวขึ้นพูดในเวลา 8.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่มองโกเลีย แต่ที่ไทยคือ
7.30 น. จึงสั่งให้ทีมงานส่งเข้าอีเมล์ประจำตัวของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล
อีเมล์ของสำนักข่าวสำนักต่างๆ ก่อนที่จะมีการยิงขึ้นเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล 30 นาที
เพราะหวังว่าผู้สื่อข่าวจะเห็นข่าวก่อนแล้วก็ยิงข่าวขึ้นเว็บและรายงานข่าว
โดยนายกฯย้ำว่าไม่ต้องแก้ไขให้เป็นภาษาข่าว ขอให้พูดอย่างไรก็ส่งไปตามนั้น
แต่ปรากฏว่าส่งอีเมล์เร็วเกินไปทำให้ผู้สื่อข่าวยังอาจจะไม่ตื่นมาเช็คอีเมล์
เพราะเห็นข่าวออกอีกทีก็ช่วงสายๆ
“เมื่อนายกฯปาฐกถาจบ พอลงจากเวทีก็ถามทีมงานว่าที่ไทยมีข่าวอัพหรือยัง
พอนายกฯรู้ว่ามีข่าวขึ้นแล้วก็ยิ้มและดีใจ
แล้วก็สอบถามว่าเขาพาดหัวในเว็บกันยังไงบ้าง ด้วยสีหน้าท่าทางที่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
ดังนั้น เมื่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความไม่ตรงไปตรงมา เสมือนด่าประเทศชาติตัวเอง”
และโดยเฉพาะข้อเขียนของ “ชัย ราชวัตร” ในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า “โปรดเข้าใจ
ไม่ใช่
หญิงคนชั่ว
แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” โดยมีรูปยิ่งลักษณ์ประกอบ
จนยิ่งลักษณ์ต้องส่งทนายไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหา ดูหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน
ขณะปฏิบัติหน้าที่ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
กลับไม่มีการกล่าวถึงเนื้อหาอันเป็นเท็จของปาฐกถาที่ถูกยิ่งลักษณ์บิดเบือนใส่ร้ายประเทศไทยเลย
หนำซ้ำ ยิ่งลักษณ์ยังยืนยันถึงสิ่งที่พูดว่าเป็นทั้ง “ความจริง”และ “อุทาหรณ์”
ทั้งในรายการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า
มีการประเมินหรือไม่หลังจากไปพูดในเวทีประชาธิปไตยที่ประเทศมองโกเลีย
เป็นผลบวกหรือผลลบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่าการไปชี้แจงนั้นพูดตามความจริง
อยากให้เป็นอุทาหรณ์ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ถ้าฟังดีๆ ไม่มีเจตนาใดๆ
เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาประเทศเราเสียหายไปเยอะ น่าจะมาร่วมในการช่วยกันแก้ไขปัญหา
ให้เดินหน้าต่อไป
“ดิฉันยืนยันทุกอย่างถ้าเป็นความจริง ทุกอย่างก็คือความจริง ก็เรียนว่าความจริงคือความจริง
แต่ถ้าเราเอาความจริงนั้นมาเป็นบทเรียน เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก ดิฉันว่าน่าจะดีกว่าการที่เรา
หลีกเลี่ยงความเป็นจริง”
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. เฟซบุ๊ค “สายตรงภาคสนาม” จึงได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นต่อปาฐกถา
ของยิ่งลักษณ์ โดยหยิบยก “ความจริง” ที่ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้พูดไว้ในปาฐกถามาแสดงต่อสาธารณชน
โดยได้หยิบยกส่วนหนึ่งของปาฐกถามาอ้างอิงคำพูดของยิ่งลักษณ์ว่า
“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี
2006 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่า ที่จะได้เสรีภาพ
แห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ดิฉันพูดถึงคือรัฐบาลที่
พี่ชายของดิฉัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
จากนั้นได้ชี้ประเด็น “ความจริงที่ยิ่งลักษณ์ไม่ได้พูด” ออกมาเป็นข้อๆ ว่า
1. ชัยชนะที่ทำให้ ทักษิณ ได้เสียงข้างมาก ไม่ได้มาโดยสุจริตแต่ใช้ช่องว่าง รธน. 40
ควบรวมพรรคการเมือง ซื้อ สส.เข้าพรรค ด้วยตัวเลขสูงถึงรายละ 50 ล้านบาท
2. รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่ได้โค่นอำนาจทักษิณเพราะในขณะนั้นเป็นเพียงแค่รักษาการ
นายกฯ ประเทศไทยอยู่ระหว่างรอการเลือกตั้งครั้งใหม่ หลังการเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549 เป็นโมฆะ
3. ทักษิณ แทรกแซง กกต. มีหลักฐานจากคำพูดของเสนาะ เทียนทอง
อ้างถึงคำพูดทักษิณไว้ว่า “จะกลัวอะไรพี่เหนาะ กกต.ก็ของเรา”
4. กกต. ยุคทักษิณเรืองอำนาจ ถูกเรียกว่า สามหนาห้าห่วงถูกศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 4 ปี
ไม่รอลงอาญา ตัดสิทธิการเมือง 10 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ช่วยเหลือพรรคไทยรักไทย
ในการเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549
5. ศาล รธน.ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย เพราะจ้างพรรคเล็กลงสมัคร เป็นอันตรายต่อ
ระบอบประชาธิปไตยย่างร้ายแรง กระทบความมั่นคงแห่งรัฐ”ประเด็นนี้ ผมเองได้เขียนลงเฟซบุ๊ค
ร่วมไปกับการที่หลานโอ๊คและขี้ข้าบริวารของยิ่งลักษณ์ แถไปสร้างกระแส “ดูถูกเพศแม่-รังแกผู้หญิง”
มากลบเกลื่อนความปลิ้นปล้อนของปาฐกถาว่า“อาปูกะหนูโอ๊คกี้ และขี้ข้าบุรุษสตรีทั้งหลายครับ
1. หยุดอ้างเรื่องการ “ดูถูกเพศแม่” เสียทีเถิดครับน่ารำคาญ
และไม่สะท้อนความมีปัญญาด้วย คนเขารู้สึกติดลบที่นายกรัฐมนตรีของประเทศ
ไปโป้ปดกับต่างประเทศ ด่าว่าบ้านเมืองของตัวเองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย
ถ้าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย แล้ว
“ยิ่งลักษณ์” มานั่งหน้าหนาเป็นนายกรัฐมนตรีทำอะไรอยู่ล่ะครับ
ก็มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นแท้ๆ
2. ดูตัวอย่างหลายพรรคการเมือง ที่ตอนทักษิณ (พี่คุณปูกับพ่อคุณโอ๊ค) ยุบสภา
แล้วตกลงกับ กกต. ชุดสามหนาห้าห่วงจัดการเลือกตั้งใน 30 วัน นั่นดูมั่ง
เมื่อเขารู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย เขาก็ไม่ลงเลือกตั้งด้วย
จนต้องไปจ้างพรรคเล็กมาลงสมัครแข่งกัน เพื่อเลี่ยงกติกาว่า ถ้ามีผู้สมัครรายเดียวต้องได้
คะแนนเกิน 20% จนถูกยุบพรรคไทยรักไทย ท่านนายกฯ เพศแม่ของพวกคุณ ก็ไปพูดครึ่งๆ กลางๆ
ที่มองโกเลีย ว่าพรรคถูกยุบ เพราะกติกาไม่เป็นประชาธิปไตย ขอโทษนะ เขายุบพรรคพี่เธอ
เพราะทำผิดกติกาประชาธิปไตยต่างหาก และพรรคอื่นๆ เขาก็ยอมเสียโอกาส ไม่ลงเลือกตั้ง
เพื่อประท้วง แต่พรรคเพื่อไทยไม่เห็นประท้วงด้วยการไม่ลงเลือกตั้งบ้างเลย
3. เช่นเดียวกับการยุบพรรคพลังประชาชน เพราะยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรค
ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งแทนที่จะด่าไอ้ยงยุทธ กลับมาด่ากติกา มาโทษรัฐธรรมนูญ ถามหน่อยเถอะ
(อยากรู้จริงๆ) ทั้งโคตรทั้งตระกูล ไม่ได้สอนให้ชื่นชมการ “ทำตามกติกา”กันมาบ้างเหรอ พอกติกา
ทำให้เสียประโยชน์ จึงทำหน้าหนามาโทษว่ากติกาไม่เป็นประชาธิปไตยกันแบบนี้ อธิบายมาหน่อยซิ
คนอื่นเขางงนะ
4. ใช่ อาปูของเธอเป็นผู้หญิง แต่คนเขาไม่ได้ตำหนิความเป็นผู้หญิงของอาเธอนี่โอ๊ค
ถ้าเขารุมด่าว่าอาเธอไปแย่งผัวหมออ้อม(นามสมมุติ) มีพฤติกรรม
ทอดสะพาน
หนีงานเข้าโรงแรมกับผู้ชาย อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างนั้นค่อยมากรี๊ดๆๆๆๆ ว่ารังแกผู้หญิง
ดูถูกเพศแม่ ไม่จริ๊ง ไม่จริง อาฉันไม่เคยแย่งผัวใคร อาฉันเป็นกุลสตรีเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้
แต่นี่ไม่ใช่ครับ ไม่มีใครพูดเรื่องที่ผมยกตัวอย่างหรือสมมุติขึ้นมาเลย เขาถามว่า ควรแล้วหรือ
ที่นายกฯ ไปปาฐกถาด่าชาติตัวเอง แถมด่าด้วยความเท็จ เช่นนี้แล้ว จะถือเป็นพฤติกรรม
“ขายชาติ” หรือไม่ หรือจะให้คนเขาบอกว่าทำเช่นนี้เรียกว่า “รักชาติ?”
5. ตอนอาเธอ ส่งตาหวานให้โอบามา จนสื่อระดับโลกหลายประเทศเอาไปพาดหัวข่าวว่า
มีการตกหลุมรัก มีการทอดสะพาน (Flirt) บางประเทศทำเป็นแอนิเมชั่นออกมาดูถูกอาเธอ
ดูถูกหญิงไทย ไม่เห็นเธอกับขี้ข้าบริวารในพรรคพ่อเธอทั้งหลายออกมากรี๊ดเลยนี่
ไม่เห็นดำเนินการทางกฎหมายเลยนี่ อย่างนี้ 2 มาตรฐาน เลือกปฏิบัติหรือเปล่า
6. สุดท้าย ขอย้ำในหลักการว่า ทุกวันนี้ ชายหญิงมีความเสมอภาคกันหมดแล้ว
และความเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีความเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง มีแต่ความเป็นผู้นำ
มีแต่การกระทำที่ถูกหรือผิดชั่วหรือดี อย่าใช้ “โยนี” เป็นที่หลบภัย
ที่มีอะไรก็อ้างแต่คำว่า “ดูถูกเพศแม่” เพราะสำหรับคนอื่นๆ
ยิ่งลักษณ์ไม่ใช่แม่ของเขา และแม่เขาไม่ทำสิ่งที่น่าตำหนิ เช่น ยิ่งลักษณ์
แม้ยิ่งลักษณ์จะเพศเดียวกับแม่เขา แต่เขาต่างก็มีปัญญา รู้กันดีว่า
ผู้หญิงหรือเพศหญิงนั้น มีทั้งชั่วและดี มีทั้งกุลสตรีและหญิง
ผู้หญิงดีๆ
เวลามีคำวิพากษ์วิจารณ์อะไร เขาก็จะชี้แจงกลับไปด้วยเหตุผลที่สะท้อนความมีปัญญา
ไม่มีใครวิ่งไปหลบหน้า อยู่หลังคำว่า “เพศหญิง” หรอก
และเครื่องเพศของสตรีมิใช่เครื่องซักผ้า
ที่จะนำมาซักฟอกให้การกระทำชั่วหรือผิดหายไปจนสะอาดโอโม่!!
7. ผู้หญิงดีๆ ทั่วไป ไม่ใช้ความเป็นเพศมา “กลบเกลื่อน”การกระทำของตนอย่างขี้ขลาด
และที่ร้ายแรงกว่านั้น คือ ผู้ชายที่เอาความเป็นเพศของผู้หญิงมาแห่แหน กลบเกลื่อน
“การกระทำที่ถูกวิจารณ์” นั้น แสนจะสุ่มเสี่ยง เพราะอาจจะถูกคนเขาด่า ว่า
“ไอ้หน้าเครื่องเพศ” เอาก็ได้ ระวังหน่อยนะ อิอิ ^^”กรณี “ชัย ราชวัตร” ที่เขียนข้อความโดนใจ
เราคนไทยควรให้กำลังใจ แต่ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่ยิ่งลักษณ์ใช้สิทธิแจ้งความดำเนินคดี
ด้วยคิดว่าข้อความของชัยทำให้ตนเสียหาย อย่าไปโกรธแค้นเธอในประเด็นนี้
ลองจินตนาการดูสิครับ เมื่อเรื่องนี้เข้าสู่การไต่สวนในศาล คงสนุกน่าดูเลย
เพราะต้องพิสูจน์กันว่า อะไรคือ
อะไรเลวกว่า
เร่ขายตัวจริงไหม
ยิ่งลักษณ์เป็น
หรือไม่ แล้วใครคือหญิงคนชั่ว สิ่งที่เธอกระทำ เข้าข่ายเร่ขายชาติหรือไม่
หูย...อยากฟังการสู้คดีมาก อิอิ...ถ้าผมมีโอกาสเป็นพยานฝ่ายโจทก์ ผมจะยืนยันกับศาลว่า
เจ๊ปูว์ไม่ใช่
อย่างแน่นอน เพราะ
ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยรัฐธรรมนูญที่ถูกด่า
อยู่ตลอดเวลาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย!!แต่ถ้าต้องเป็นพยานฝ่ายจำเลย ผมก็ยินดีอย่างยิ่ง
ที่จะวิเคราะห์ต่อศาล ในฐานะที่เป็นนักอักษรศาสตร์ ว่าเนื้อหาในปาฐกถาของยิ่งลักษณ์มี
ลักษณะที่บ่งชี้ว่าเธอคนนี้ใส่ร้ายประเทศชาติด้วยความเท็จ ที่ทำให้คนกังขาว่าเธอ “ขายชาติ”
หรือไม่ อย่างไร ศาลนัดวันไหน ใส่ชื่อผมเป็นพยานในส่วนนี้ได้เลยครับ พี่ชัย ราชวัตร!!
http://www.naewna.com/politic/columnist/6564
'อุทาหรณ์' หรือ 'แหล'... 'เพศแม่' หรือ 'หญิงชั่ว' ?! ... คอลัมน์เส้นใต้บรรทัด .... จิตกร บุษบา ...แนวหน้าออนไลน์
กำกับเนื้อหาเองทุกช็อต ทั้งเธอและขี้ข้าก็มิได้ปฏิเสธประเด็นนี้เลย
และมิได้โต้แย้งใน “ความเท็จ” ที่ถูกจับได้สารพัด ในบทปาฐกถาของเธอ
แต่ไพล่ไปใช้ประเด็น “ดูถูกเพศแม่-รังแกผู้หญิง” มากลบเกลื่อนแทน
ผมคิดว่า ยิ่งลักษณ์หงายไพ่ของเธอออกมาอ้าซ่า เปิดเผย “ธาตุแท้” ของเธอออกมา
ผ่านบทพูดที่เธอกำกับเนื้อหาเองครั้งนี้ ที่ทำให้คนทั้งโลกรู้เช่นเห็นชาติว่า
เธอเป็นคนจำพวก “พูดความจริงครึ่งๆ กลางๆ” เพื่อหาประโยชน์ให้แก่ครอบครัว
โดยไม่คำนึงถึงประเทศชาติ
“ทุกคำกล่าวของนายกฯ ไม่ใช่เฉพาะที่มองโกเลีย ล้วนแต่เป็นความคิดของท่าน
นายกฯเป็นคนทำงานละเอียด จะพูดอะไรถือว่าเป็นคำพูดของท่าน
แนวคิดก็ต้องเป็นของท่าน
ดังนั้นทุกคำกล่าวนายกฯจะดูเองทั้งหมด” นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ
เปิดเผยกับข่าวสดออนไลน์ขณะที่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ให้ข้อมูลว่า
“แหล่งข่าวระดับสูงที่ร่วมเดินทางไปกับคณะนายกฯที่มองโกเลีย
เปิดเผยกับสำนักข่าวเนชั่นว่า... ก่อนหน้านี้เนื้อหาไม่ใช่แบบนี้
เพราะก่อนเดินทางจะมีการประชุมเตรียมการก่อนไปเยือน
และกระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบหมายในการจัดทำร่างปาฐกถา
ของนายกฯ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้สอบถามนายกฯว่าจะพูดเรื่องอะไร
โดยนายกฯบอกว่าจะพูดเรื่องประชาธิปไตยในไทยและเรื่องการศึกษา
ซึ่งนายกฯก็พูดแค่นั้น และหลังจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศก็ส่ง
ร่างปาฐกถามาที่ตึกไทยคู่ฟ้าจำนวนเนื้อหาประมาณ 6-7 หน้าเอสี่
และหลังจากนั้นคณะทำงานด้านการจัดทำสคริปให้นายกฯ นำโดยนายสุรนันทน์
เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็มีการปรับเนื้อหาให้กระชับขึ้นแล้วส่ง
ให้นายกฯดู“จนมาถึงวันที่ 27 เม.ย. วันเดินทางเนื้อหาในปาฐกถาก็ยังไม่นิ่ง
เห็นว่านายกฯคุยกับคณะทำงานและนายสุรนันทน์บนเครื่องบินระหว่างบินไปมองโกเลีย
นายกฯบอกให้แก้ไข อยากให้พูดให้เขียนให้ชัดเจน ตรงๆ ไปเลย ใส่ชื่อพี่ชายคือ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไปเลย รวมทั้งอยากให้พูดถึงคนที่ติดคุกจำนวนมากด้วยซ้ำ
แต่ก็ถูกตัดออก
ระหว่างการเดินทาง 5 ชั่วโมงบนเครื่องบินมีการแก้ไข แล้วก็ปรินท์ด้วย
เครื่องปรินท์ไร้สาย (Portable) ปรินท์แล้วก็แก้ ปรินท์แล้วก็แก้ในที่สุดจน
ได้เนื้อหาตามที่นายกฯต้องการ คือไม่ใช่ภาษาทางการทูตและภาษาที่สวยงาม
ของกระทรวงการต่างประเทศ” แหล่งข่าวกล่าว
ส่วนการส่งข่าวกลับมาที่ประเทศไทยนั้น แหล่งข่าวเล่าว่า
ทีมงานของนายกฯได้ร่างเป็นภาษาอังกฤษแล้วมอบให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอีกครั้ง
ทั้งนี้นายกฯมีคิวขึ้นพูดในเวลา 8.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่มองโกเลีย แต่ที่ไทยคือ
7.30 น. จึงสั่งให้ทีมงานส่งเข้าอีเมล์ประจำตัวของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล
อีเมล์ของสำนักข่าวสำนักต่างๆ ก่อนที่จะมีการยิงขึ้นเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล 30 นาที
เพราะหวังว่าผู้สื่อข่าวจะเห็นข่าวก่อนแล้วก็ยิงข่าวขึ้นเว็บและรายงานข่าว
โดยนายกฯย้ำว่าไม่ต้องแก้ไขให้เป็นภาษาข่าว ขอให้พูดอย่างไรก็ส่งไปตามนั้น
แต่ปรากฏว่าส่งอีเมล์เร็วเกินไปทำให้ผู้สื่อข่าวยังอาจจะไม่ตื่นมาเช็คอีเมล์
เพราะเห็นข่าวออกอีกทีก็ช่วงสายๆ
“เมื่อนายกฯปาฐกถาจบ พอลงจากเวทีก็ถามทีมงานว่าที่ไทยมีข่าวอัพหรือยัง
พอนายกฯรู้ว่ามีข่าวขึ้นแล้วก็ยิ้มและดีใจ
แล้วก็สอบถามว่าเขาพาดหัวในเว็บกันยังไงบ้าง ด้วยสีหน้าท่าทางที่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
ดังนั้น เมื่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความไม่ตรงไปตรงมา เสมือนด่าประเทศชาติตัวเอง”
และโดยเฉพาะข้อเขียนของ “ชัย ราชวัตร” ในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า “โปรดเข้าใจ ไม่ใช่
หญิงคนชั่ว แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” โดยมีรูปยิ่งลักษณ์ประกอบ
จนยิ่งลักษณ์ต้องส่งทนายไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหา ดูหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน
ขณะปฏิบัติหน้าที่ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
กลับไม่มีการกล่าวถึงเนื้อหาอันเป็นเท็จของปาฐกถาที่ถูกยิ่งลักษณ์บิดเบือนใส่ร้ายประเทศไทยเลย
หนำซ้ำ ยิ่งลักษณ์ยังยืนยันถึงสิ่งที่พูดว่าเป็นทั้ง “ความจริง”และ “อุทาหรณ์”
ทั้งในรายการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า
มีการประเมินหรือไม่หลังจากไปพูดในเวทีประชาธิปไตยที่ประเทศมองโกเลีย
เป็นผลบวกหรือผลลบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่าการไปชี้แจงนั้นพูดตามความจริง
อยากให้เป็นอุทาหรณ์ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ถ้าฟังดีๆ ไม่มีเจตนาใดๆ
เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาประเทศเราเสียหายไปเยอะ น่าจะมาร่วมในการช่วยกันแก้ไขปัญหา
ให้เดินหน้าต่อไป
“ดิฉันยืนยันทุกอย่างถ้าเป็นความจริง ทุกอย่างก็คือความจริง ก็เรียนว่าความจริงคือความจริง
แต่ถ้าเราเอาความจริงนั้นมาเป็นบทเรียน เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก ดิฉันว่าน่าจะดีกว่าการที่เรา
หลีกเลี่ยงความเป็นจริง”
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. เฟซบุ๊ค “สายตรงภาคสนาม” จึงได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นต่อปาฐกถา
ของยิ่งลักษณ์ โดยหยิบยก “ความจริง” ที่ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้พูดไว้ในปาฐกถามาแสดงต่อสาธารณชน
โดยได้หยิบยกส่วนหนึ่งของปาฐกถามาอ้างอิงคำพูดของยิ่งลักษณ์ว่า
“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี
2006 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่า ที่จะได้เสรีภาพ
แห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ดิฉันพูดถึงคือรัฐบาลที่
พี่ชายของดิฉัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
จากนั้นได้ชี้ประเด็น “ความจริงที่ยิ่งลักษณ์ไม่ได้พูด” ออกมาเป็นข้อๆ ว่า
1. ชัยชนะที่ทำให้ ทักษิณ ได้เสียงข้างมาก ไม่ได้มาโดยสุจริตแต่ใช้ช่องว่าง รธน. 40
ควบรวมพรรคการเมือง ซื้อ สส.เข้าพรรค ด้วยตัวเลขสูงถึงรายละ 50 ล้านบาท
2. รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่ได้โค่นอำนาจทักษิณเพราะในขณะนั้นเป็นเพียงแค่รักษาการ
นายกฯ ประเทศไทยอยู่ระหว่างรอการเลือกตั้งครั้งใหม่ หลังการเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549 เป็นโมฆะ
3. ทักษิณ แทรกแซง กกต. มีหลักฐานจากคำพูดของเสนาะ เทียนทอง
อ้างถึงคำพูดทักษิณไว้ว่า “จะกลัวอะไรพี่เหนาะ กกต.ก็ของเรา”
4. กกต. ยุคทักษิณเรืองอำนาจ ถูกเรียกว่า สามหนาห้าห่วงถูกศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 4 ปี
ไม่รอลงอาญา ตัดสิทธิการเมือง 10 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ช่วยเหลือพรรคไทยรักไทย
ในการเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549
5. ศาล รธน.ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย เพราะจ้างพรรคเล็กลงสมัคร เป็นอันตรายต่อ
ระบอบประชาธิปไตยย่างร้ายแรง กระทบความมั่นคงแห่งรัฐ”ประเด็นนี้ ผมเองได้เขียนลงเฟซบุ๊ค
ร่วมไปกับการที่หลานโอ๊คและขี้ข้าบริวารของยิ่งลักษณ์ แถไปสร้างกระแส “ดูถูกเพศแม่-รังแกผู้หญิง”
มากลบเกลื่อนความปลิ้นปล้อนของปาฐกถาว่า“อาปูกะหนูโอ๊คกี้ และขี้ข้าบุรุษสตรีทั้งหลายครับ
1. หยุดอ้างเรื่องการ “ดูถูกเพศแม่” เสียทีเถิดครับน่ารำคาญ
และไม่สะท้อนความมีปัญญาด้วย คนเขารู้สึกติดลบที่นายกรัฐมนตรีของประเทศ
ไปโป้ปดกับต่างประเทศ ด่าว่าบ้านเมืองของตัวเองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย
ถ้าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย แล้ว
“ยิ่งลักษณ์” มานั่งหน้าหนาเป็นนายกรัฐมนตรีทำอะไรอยู่ล่ะครับ
ก็มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นแท้ๆ
2. ดูตัวอย่างหลายพรรคการเมือง ที่ตอนทักษิณ (พี่คุณปูกับพ่อคุณโอ๊ค) ยุบสภา
แล้วตกลงกับ กกต. ชุดสามหนาห้าห่วงจัดการเลือกตั้งใน 30 วัน นั่นดูมั่ง
เมื่อเขารู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย เขาก็ไม่ลงเลือกตั้งด้วย
จนต้องไปจ้างพรรคเล็กมาลงสมัครแข่งกัน เพื่อเลี่ยงกติกาว่า ถ้ามีผู้สมัครรายเดียวต้องได้
คะแนนเกิน 20% จนถูกยุบพรรคไทยรักไทย ท่านนายกฯ เพศแม่ของพวกคุณ ก็ไปพูดครึ่งๆ กลางๆ
ที่มองโกเลีย ว่าพรรคถูกยุบ เพราะกติกาไม่เป็นประชาธิปไตย ขอโทษนะ เขายุบพรรคพี่เธอ
เพราะทำผิดกติกาประชาธิปไตยต่างหาก และพรรคอื่นๆ เขาก็ยอมเสียโอกาส ไม่ลงเลือกตั้ง
เพื่อประท้วง แต่พรรคเพื่อไทยไม่เห็นประท้วงด้วยการไม่ลงเลือกตั้งบ้างเลย
3. เช่นเดียวกับการยุบพรรคพลังประชาชน เพราะยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรค
ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งแทนที่จะด่าไอ้ยงยุทธ กลับมาด่ากติกา มาโทษรัฐธรรมนูญ ถามหน่อยเถอะ
(อยากรู้จริงๆ) ทั้งโคตรทั้งตระกูล ไม่ได้สอนให้ชื่นชมการ “ทำตามกติกา”กันมาบ้างเหรอ พอกติกา
ทำให้เสียประโยชน์ จึงทำหน้าหนามาโทษว่ากติกาไม่เป็นประชาธิปไตยกันแบบนี้ อธิบายมาหน่อยซิ
คนอื่นเขางงนะ
4. ใช่ อาปูของเธอเป็นผู้หญิง แต่คนเขาไม่ได้ตำหนิความเป็นผู้หญิงของอาเธอนี่โอ๊ค
ถ้าเขารุมด่าว่าอาเธอไปแย่งผัวหมออ้อม(นามสมมุติ) มีพฤติกรรม ทอดสะพาน
หนีงานเข้าโรงแรมกับผู้ชาย อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างนั้นค่อยมากรี๊ดๆๆๆๆ ว่ารังแกผู้หญิง
ดูถูกเพศแม่ ไม่จริ๊ง ไม่จริง อาฉันไม่เคยแย่งผัวใคร อาฉันเป็นกุลสตรีเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้
แต่นี่ไม่ใช่ครับ ไม่มีใครพูดเรื่องที่ผมยกตัวอย่างหรือสมมุติขึ้นมาเลย เขาถามว่า ควรแล้วหรือ
ที่นายกฯ ไปปาฐกถาด่าชาติตัวเอง แถมด่าด้วยความเท็จ เช่นนี้แล้ว จะถือเป็นพฤติกรรม
“ขายชาติ” หรือไม่ หรือจะให้คนเขาบอกว่าทำเช่นนี้เรียกว่า “รักชาติ?”
5. ตอนอาเธอ ส่งตาหวานให้โอบามา จนสื่อระดับโลกหลายประเทศเอาไปพาดหัวข่าวว่า
มีการตกหลุมรัก มีการทอดสะพาน (Flirt) บางประเทศทำเป็นแอนิเมชั่นออกมาดูถูกอาเธอ
ดูถูกหญิงไทย ไม่เห็นเธอกับขี้ข้าบริวารในพรรคพ่อเธอทั้งหลายออกมากรี๊ดเลยนี่
ไม่เห็นดำเนินการทางกฎหมายเลยนี่ อย่างนี้ 2 มาตรฐาน เลือกปฏิบัติหรือเปล่า
6. สุดท้าย ขอย้ำในหลักการว่า ทุกวันนี้ ชายหญิงมีความเสมอภาคกันหมดแล้ว
และความเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีความเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง มีแต่ความเป็นผู้นำ
มีแต่การกระทำที่ถูกหรือผิดชั่วหรือดี อย่าใช้ “โยนี” เป็นที่หลบภัย
ที่มีอะไรก็อ้างแต่คำว่า “ดูถูกเพศแม่” เพราะสำหรับคนอื่นๆ
ยิ่งลักษณ์ไม่ใช่แม่ของเขา และแม่เขาไม่ทำสิ่งที่น่าตำหนิ เช่น ยิ่งลักษณ์
แม้ยิ่งลักษณ์จะเพศเดียวกับแม่เขา แต่เขาต่างก็มีปัญญา รู้กันดีว่า
ผู้หญิงหรือเพศหญิงนั้น มีทั้งชั่วและดี มีทั้งกุลสตรีและหญิง ผู้หญิงดีๆ
เวลามีคำวิพากษ์วิจารณ์อะไร เขาก็จะชี้แจงกลับไปด้วยเหตุผลที่สะท้อนความมีปัญญา
ไม่มีใครวิ่งไปหลบหน้า อยู่หลังคำว่า “เพศหญิง” หรอก
และเครื่องเพศของสตรีมิใช่เครื่องซักผ้า
ที่จะนำมาซักฟอกให้การกระทำชั่วหรือผิดหายไปจนสะอาดโอโม่!!
7. ผู้หญิงดีๆ ทั่วไป ไม่ใช้ความเป็นเพศมา “กลบเกลื่อน”การกระทำของตนอย่างขี้ขลาด
และที่ร้ายแรงกว่านั้น คือ ผู้ชายที่เอาความเป็นเพศของผู้หญิงมาแห่แหน กลบเกลื่อน
“การกระทำที่ถูกวิจารณ์” นั้น แสนจะสุ่มเสี่ยง เพราะอาจจะถูกคนเขาด่า ว่า
“ไอ้หน้าเครื่องเพศ” เอาก็ได้ ระวังหน่อยนะ อิอิ ^^”กรณี “ชัย ราชวัตร” ที่เขียนข้อความโดนใจ
เราคนไทยควรให้กำลังใจ แต่ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่ยิ่งลักษณ์ใช้สิทธิแจ้งความดำเนินคดี
ด้วยคิดว่าข้อความของชัยทำให้ตนเสียหาย อย่าไปโกรธแค้นเธอในประเด็นนี้
ลองจินตนาการดูสิครับ เมื่อเรื่องนี้เข้าสู่การไต่สวนในศาล คงสนุกน่าดูเลย
เพราะต้องพิสูจน์กันว่า อะไรคือ อะไรเลวกว่า เร่ขายตัวจริงไหม
ยิ่งลักษณ์เป็นหรือไม่ แล้วใครคือหญิงคนชั่ว สิ่งที่เธอกระทำ เข้าข่ายเร่ขายชาติหรือไม่
หูย...อยากฟังการสู้คดีมาก อิอิ...ถ้าผมมีโอกาสเป็นพยานฝ่ายโจทก์ ผมจะยืนยันกับศาลว่า
เจ๊ปูว์ไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะ ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยรัฐธรรมนูญที่ถูกด่า
อยู่ตลอดเวลาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย!!แต่ถ้าต้องเป็นพยานฝ่ายจำเลย ผมก็ยินดีอย่างยิ่ง
ที่จะวิเคราะห์ต่อศาล ในฐานะที่เป็นนักอักษรศาสตร์ ว่าเนื้อหาในปาฐกถาของยิ่งลักษณ์มี
ลักษณะที่บ่งชี้ว่าเธอคนนี้ใส่ร้ายประเทศชาติด้วยความเท็จ ที่ทำให้คนกังขาว่าเธอ “ขายชาติ”
หรือไม่ อย่างไร ศาลนัดวันไหน ใส่ชื่อผมเป็นพยานในส่วนนี้ได้เลยครับ พี่ชัย ราชวัตร!!
http://www.naewna.com/politic/columnist/6564