บ่ายแก่ ๆ วันที่ 8 พ.ค. 56 กำลังนั่งคุยกับลูกค้าอยู่ที่ร้านกาแฟ มี msg. จากเพื่อนคนหนึ่งส่งเข้ามาแจ้งข่าวว่าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เตรียมอำลาตำแหน่ง ผจก. ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจบฤดูกาลนี้
นิ่ง สตันไป 3 วินาที จนลูกค้าถามว่าเป็นอะไร....หลังจากเสร็จงานกับลูกค้าก็เข้ามาเช็คข่าวทางอินเตอร์เน็ต ก็ได้ทราบว่าเป็นเรื่องจริง ก็นั่งถอนใจอยู่นาน จนนึกอยากเขียนกระทู้ระบายความรู้สึก
เคยเล่าไปหลายหนแล้วว่า ผมเป็นเด็กหงส์ที่มีผีแดงเป็นกิ๊กแบบเปิดเผยมานานแล้ว เริ่มเชียร์หงส์ปี 84 และเชียร์ผีปี 85 มีนอร์แมน ไวท์ไซด์เป็นไอดอลคนแรก และมีเสื้อแมนฯ ยูไนเต็ดปัก SHARP ด้านหน้า ปักเบอร์ 7 ด้านหลัง เป็นเสื้อบอลตัวแรกในชีวิต และใส่เล่นบอลจนขาดวิ่น
รู้จักชายที่ชื่อ "อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" ครั้งแรกในศึกฟุตบอลโลกปี 1986 ที่เม็กซิโก ด้วยความที่ตอนนั้นเชียร์ทีมชาติสก๊อตแลนด์แบบลับ ๆ เพราะมีนักเตะหงส์อย่างอลัน แฮนเซ่น, เคนนี่ เดลกลิช และแกรม ซูเนสส์ เล่นอยู่ แม้ว่าฟุตบอลโลกครั้งนั้นจะไม่มีคิงเคนนี่ แต่ก็อดเอาใจช่วยทีมตาร์ตันไม่ได้ จนจบศึกฟุตบอลโลกและอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้เข้ามาคุมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ต่อจากรอน แอ็ตกินสัน ก็รู้สึกยินดี แม้ว่าลึก ๆ จะชอบใจสไตล์บอลของบิ๊กรอนอยู่ก็ตามที
ช่วงนั้นเรียกว่าผมเอาใจช่วยแมนฯ ยูไนเต็ดมากกว่าหงส์แดงด้วยซ้ำ เพราะเบื่อกับความสำเร็จแบบ (เกือบ) ผูกขาดของหงส์แดง และมีนักเตะผีที่แอบเอาใจช่วยอยู่เยอะมาก ทั้ง เจสเปอร์ โอลเซ่น, ปีเตอร์ ดาเวนปอร์ต, นีล เว็บบ์ รวมถึงตัวเดิม ๆ จากรุ่นก่อน อย่างนอร์แมน ไวท์ไซด์, แกรี่ แบลี่ย์, ไบรอัน ร๊อบสัน, เคลย์ตัน แบล็คมอร์ ฯลฯ
หลังจากคิงเคนนี่ประกาศวางมือไปรอบแรก พร้อมกับความพังพินาศของหงส์แดงหลังการเข้ามาของแกรม ซูเนสส์ เพียงไม่นานผมก็อิ่มเอม และปลื้มปลิ่มกับความสำเร็จของแมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยเฉพาะกับนักเตะที่ผมเคยไม่ชอบขี้หน้าอย่าง เอริค คันโตน่า และเด็ก ๆ ที่ผมมองเห็นการเติบโตมาตลอดอย่าง ไรอัน วิลสัน และพอล สโคลส์
ปี 1999 ในวินาทีที่โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ตวัดยิงประตูบาเยิร์นเข้าไป ผมกระโดดดีใจอยู่บนเตียงเหมือนคนบ้า ตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยดีใจอะไรขนาดนี้มาก่อน มันบรรยายความรู้สึกไม่ถูก อิ่ม ปลื้ม ตื้นตันจนอยากตะโกนดัง ๆ ออกมา ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2005 ที่อิสตันบูล บอกไม่ได้ว่าครั้งไหนยิ่งใหญ่กว่ากัน แต่ทั้งสองครั้งมันจบเหมือนกันคืออาการตาค้าง นอนไม่หลับ และหุบยิ้มไม่ลงในวันต่อมา
ผมเลิกเชียร์แมนฯ ยูไนเต็ดและกลายเป็นกองแช่งเต็มตัวเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง สาเหตุส่วนใหญ่เพราะเบื่อความสำเร็จแบบไม่รู้จบ และอยากได้ใครซักคนมาโค่นบัลลังก์เซอร์อเล็กซ์ แต่จนแล้วจนรอด ทั้งอาร์แซน เวนเกอร์, โชเซ่ มูริญโญ่ หรือแม้แต่โรแบร์โต้ มานชีนี่ ก็ทำได้แค่เพียงยืดอายุความเร้าใจ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้แก่สุดยอดกุนซือคนนี้เท่านั้น แต่ไม่มีใครทำให้เซอร์อเล็กซ์ต้องหลุดจากวงโคจรแชมป์ได้ซักคน
สิ่งที่ผมประหลาดใจและประทับใจเซอร์อเล็กซ์ คือการสร้างทีมเจนเนอเรชั่นใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา เทียบกับหงส์ กุนซือแต่ละคนอย่างปู่แชงค์, ลุงบ๊อบ, ป๋าโจ และคิงเคนนี่ ต่างก็มีทีมในยุคของตัวเอง พอจบแล้วก็จบกัน หรือแม้แต่เวนเกอร์ หรือเฮียมู ต่างก็มีทีมที่ดีที่สุดในยุคของตัวเอง แต่กับเซอร์อเล็กซ์แล้วมันไม่ใช่
หลังจากสร้าง Class of '92 จนโด่งดัง ก็มาสร้างทีมใหม่ ภายใต้แกนอย่างรูนี่ย์, ริโอ, รุด ฟานฯ และโรนัลโด้ เป็นเจนฯ ที่สอง ก่อนมาถึงยุคที่สามในปัจจุบัน ที่ยังมีรูนีย์เป็นแกนหลัก ร่วมกับ RVP และเด็ก ๆ อย่าง ราฟาเอล, เด เกอา, เคลฟเวอร์ลีย์, โจนส์, สมอลลิ่ง ฯลฯ เซอร์อเล็กซ์ สร้างทีมของตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ตลอดเวลา และไม่ยอมปล่อยให้ความสำเร็จวันนี้มาทำลายความสำเร็จในวันหน้า
ผมภาวนามาตลอดว่าอยากให้เซอร์อเล็กซ์ประกาศวางมือ รีไทร์ตัวเองจากตำแหน่งนี้ และเลื่อนขึ้นไปเป็นบอร์ดบริหารทีมอย่างถาวร ไม่ใช่เพราะอาการอิจฉาหรืออยากเห็นยูไนเต็ดล้มเหลว แต่ผมไม่อยากได้ยินข่าวร้ายกว่านี้ เพราะตำแหน่งนี้มันเครียด และกดดัน รวมทั้งสร้างความอันตรายให้กับหัวใจของผู้ชายอายุเกิน 70 ปีอย่างนี้
แต่เมื่อวันนี้มาถึง ผมก็อดสะท้อนใจและเสียดายไม่ได้ว่า หากผู้ชายที่ชื่อ "เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" อายุน้อยกว่านี้ซัก 10 ปี แมนฯ ยูไนเต็ดจะยิ่งใหญ่กว่านี้ได้อีกซักแค่ไหนในอนาคต...
ไม่ว่าคนที่มาแทนเซอร์อเล็กซ์ จะเป็นใคร จะเป็นเดวิด มอยส์ หรือโชเซ่ มูริญโญ่ หรือต่อให้เป็นเจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ตาม แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าจะมีใครเป็นแชมป์โดยไม่ได้โค่นบัลลังก์ หรือประมือกับสุดยอดกุนซืออย่าง "เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน"
ในนามของเด็กหงส์เลือดข้นนะครับ คุณคือสุดยอดคนที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ครับ "เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน"
In the name of the KOP : สดุดีชายผู้ยิ่งใหญ่ จากใจเด็กหงส์...
นิ่ง สตันไป 3 วินาที จนลูกค้าถามว่าเป็นอะไร....หลังจากเสร็จงานกับลูกค้าก็เข้ามาเช็คข่าวทางอินเตอร์เน็ต ก็ได้ทราบว่าเป็นเรื่องจริง ก็นั่งถอนใจอยู่นาน จนนึกอยากเขียนกระทู้ระบายความรู้สึก
เคยเล่าไปหลายหนแล้วว่า ผมเป็นเด็กหงส์ที่มีผีแดงเป็นกิ๊กแบบเปิดเผยมานานแล้ว เริ่มเชียร์หงส์ปี 84 และเชียร์ผีปี 85 มีนอร์แมน ไวท์ไซด์เป็นไอดอลคนแรก และมีเสื้อแมนฯ ยูไนเต็ดปัก SHARP ด้านหน้า ปักเบอร์ 7 ด้านหลัง เป็นเสื้อบอลตัวแรกในชีวิต และใส่เล่นบอลจนขาดวิ่น
รู้จักชายที่ชื่อ "อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" ครั้งแรกในศึกฟุตบอลโลกปี 1986 ที่เม็กซิโก ด้วยความที่ตอนนั้นเชียร์ทีมชาติสก๊อตแลนด์แบบลับ ๆ เพราะมีนักเตะหงส์อย่างอลัน แฮนเซ่น, เคนนี่ เดลกลิช และแกรม ซูเนสส์ เล่นอยู่ แม้ว่าฟุตบอลโลกครั้งนั้นจะไม่มีคิงเคนนี่ แต่ก็อดเอาใจช่วยทีมตาร์ตันไม่ได้ จนจบศึกฟุตบอลโลกและอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้เข้ามาคุมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ต่อจากรอน แอ็ตกินสัน ก็รู้สึกยินดี แม้ว่าลึก ๆ จะชอบใจสไตล์บอลของบิ๊กรอนอยู่ก็ตามที
ช่วงนั้นเรียกว่าผมเอาใจช่วยแมนฯ ยูไนเต็ดมากกว่าหงส์แดงด้วยซ้ำ เพราะเบื่อกับความสำเร็จแบบ (เกือบ) ผูกขาดของหงส์แดง และมีนักเตะผีที่แอบเอาใจช่วยอยู่เยอะมาก ทั้ง เจสเปอร์ โอลเซ่น, ปีเตอร์ ดาเวนปอร์ต, นีล เว็บบ์ รวมถึงตัวเดิม ๆ จากรุ่นก่อน อย่างนอร์แมน ไวท์ไซด์, แกรี่ แบลี่ย์, ไบรอัน ร๊อบสัน, เคลย์ตัน แบล็คมอร์ ฯลฯ
หลังจากคิงเคนนี่ประกาศวางมือไปรอบแรก พร้อมกับความพังพินาศของหงส์แดงหลังการเข้ามาของแกรม ซูเนสส์ เพียงไม่นานผมก็อิ่มเอม และปลื้มปลิ่มกับความสำเร็จของแมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยเฉพาะกับนักเตะที่ผมเคยไม่ชอบขี้หน้าอย่าง เอริค คันโตน่า และเด็ก ๆ ที่ผมมองเห็นการเติบโตมาตลอดอย่าง ไรอัน วิลสัน และพอล สโคลส์
ปี 1999 ในวินาทีที่โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ตวัดยิงประตูบาเยิร์นเข้าไป ผมกระโดดดีใจอยู่บนเตียงเหมือนคนบ้า ตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยดีใจอะไรขนาดนี้มาก่อน มันบรรยายความรู้สึกไม่ถูก อิ่ม ปลื้ม ตื้นตันจนอยากตะโกนดัง ๆ ออกมา ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2005 ที่อิสตันบูล บอกไม่ได้ว่าครั้งไหนยิ่งใหญ่กว่ากัน แต่ทั้งสองครั้งมันจบเหมือนกันคืออาการตาค้าง นอนไม่หลับ และหุบยิ้มไม่ลงในวันต่อมา
ผมเลิกเชียร์แมนฯ ยูไนเต็ดและกลายเป็นกองแช่งเต็มตัวเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง สาเหตุส่วนใหญ่เพราะเบื่อความสำเร็จแบบไม่รู้จบ และอยากได้ใครซักคนมาโค่นบัลลังก์เซอร์อเล็กซ์ แต่จนแล้วจนรอด ทั้งอาร์แซน เวนเกอร์, โชเซ่ มูริญโญ่ หรือแม้แต่โรแบร์โต้ มานชีนี่ ก็ทำได้แค่เพียงยืดอายุความเร้าใจ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้แก่สุดยอดกุนซือคนนี้เท่านั้น แต่ไม่มีใครทำให้เซอร์อเล็กซ์ต้องหลุดจากวงโคจรแชมป์ได้ซักคน
สิ่งที่ผมประหลาดใจและประทับใจเซอร์อเล็กซ์ คือการสร้างทีมเจนเนอเรชั่นใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา เทียบกับหงส์ กุนซือแต่ละคนอย่างปู่แชงค์, ลุงบ๊อบ, ป๋าโจ และคิงเคนนี่ ต่างก็มีทีมในยุคของตัวเอง พอจบแล้วก็จบกัน หรือแม้แต่เวนเกอร์ หรือเฮียมู ต่างก็มีทีมที่ดีที่สุดในยุคของตัวเอง แต่กับเซอร์อเล็กซ์แล้วมันไม่ใช่
หลังจากสร้าง Class of '92 จนโด่งดัง ก็มาสร้างทีมใหม่ ภายใต้แกนอย่างรูนี่ย์, ริโอ, รุด ฟานฯ และโรนัลโด้ เป็นเจนฯ ที่สอง ก่อนมาถึงยุคที่สามในปัจจุบัน ที่ยังมีรูนีย์เป็นแกนหลัก ร่วมกับ RVP และเด็ก ๆ อย่าง ราฟาเอล, เด เกอา, เคลฟเวอร์ลีย์, โจนส์, สมอลลิ่ง ฯลฯ เซอร์อเล็กซ์ สร้างทีมของตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ตลอดเวลา และไม่ยอมปล่อยให้ความสำเร็จวันนี้มาทำลายความสำเร็จในวันหน้า
ผมภาวนามาตลอดว่าอยากให้เซอร์อเล็กซ์ประกาศวางมือ รีไทร์ตัวเองจากตำแหน่งนี้ และเลื่อนขึ้นไปเป็นบอร์ดบริหารทีมอย่างถาวร ไม่ใช่เพราะอาการอิจฉาหรืออยากเห็นยูไนเต็ดล้มเหลว แต่ผมไม่อยากได้ยินข่าวร้ายกว่านี้ เพราะตำแหน่งนี้มันเครียด และกดดัน รวมทั้งสร้างความอันตรายให้กับหัวใจของผู้ชายอายุเกิน 70 ปีอย่างนี้
แต่เมื่อวันนี้มาถึง ผมก็อดสะท้อนใจและเสียดายไม่ได้ว่า หากผู้ชายที่ชื่อ "เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" อายุน้อยกว่านี้ซัก 10 ปี แมนฯ ยูไนเต็ดจะยิ่งใหญ่กว่านี้ได้อีกซักแค่ไหนในอนาคต...
ไม่ว่าคนที่มาแทนเซอร์อเล็กซ์ จะเป็นใคร จะเป็นเดวิด มอยส์ หรือโชเซ่ มูริญโญ่ หรือต่อให้เป็นเจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ตาม แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าจะมีใครเป็นแชมป์โดยไม่ได้โค่นบัลลังก์ หรือประมือกับสุดยอดกุนซืออย่าง "เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน"
ในนามของเด็กหงส์เลือดข้นนะครับ คุณคือสุดยอดคนที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ครับ "เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน"