ข้อคิดจาก พระมหาชนก ผู้ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี
ครั้นเมื่อพระมหาชนกออกเรือเดินทางไปได้ ๗ วัน ๗ คืนแล้ว ก็ปรากฏมรสุมใหญ่ที่กลางทะเลโหมกระหน่ำทำให้เรือบรรทุกสินค้าอับปางลง ท่ามกลางเสียงร้องคร่ำครวญโหยไห้ของบรรดาลูกเรือที่ขวัญเสียตื่นตระหนกตกอยู่ในความหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าความตายใกล้จะมาถึงแล้ว พระมหาชนกนั้นทรงตั้งสติมั่นมิได้คร่ำครวญด้วยความหวาดหวั่นเสียขวัญแต่อย่างใด ทรงพยายามเสวยอาหารไว้เพื่อให้อิ่มท้องแล้วเตรียมผ้าชุบน้ำมันมานุ่งไว้เพื่อมิให้ผ้าอุ้มน้ำ แล้วพระมหาชนกก็ทรงปีนขึ้นอยู่บนยอดเสากระโดงในขณะที่เรือโคลงเคลงใกล้จะคว่ำลง ครั้นเมื่อเรือคว่ำแล้วก็กระโจนจากยอดเสากระโดงไปไกลได้ถึง ๑ เส้นกับ ๑๕ วา ด้วยพละกำลังอันวิเศษจึงสามารถว่ายอยู่ห่างไกลในบริเวณที่กระแสน้ำกำลังดูดเรือจมลงไปใต้มหาสมุทร ในขณะที่บรรดาผู้ลอยคออยู่กลางทะเลต่างก็เสียชีวิตไปกันหมดสิ้นแล้ว แต่ทว่าพระมหาชนกยังทรงพยายามว่ายน้ำและลอยคออยู่ได้กลางทะเลนานถึง ๗ วัน ๗ คืน
ในวันที่ ๗ นั้นยังทรงระลึกได้ว่าเป็นวันอุโบสถ พระมหาชนกได้ทรงสมาทานโดยอธิฐานอุโบสถ ในขณะลอยคออยู่ในทะเล แม้ขณะกำลังรอความตายที่ใกล้เข้ามาแทบทุกทีนั้นด้วย
ด้วยบุญบารมีแต่ปางบรรพ์ของเจ้ามหาชนกได้ทำไว้ให้ ร้อนถึงนางมณีเมขลาเทพธิดาแห่งท้องสมุทรผู้มีแก้วประจำตัวอยู่ ๑ ดวง เป็นผู้รักษาสมุทร เผอิญวันเรือแตกนั้นนางมณีเมขลากำลังไปประชุมอยู่กับเทพบุตรนางฟ้า จวบจนถึงวันที่ ๘ จึงกลับมา
ขณะนั้นนางมณีเมขลา ได้เห็นความอดทนของพระมหาชนกจึงได้กล่าวว่า "ใครหนอ พยายามว่ายน้ำในมหาสมุทร อันแลไม่เห็นฝั่งอยู่เช่นนี้ ท่านเห็นประโยชน์อะไร จึงได้ พยายามว่ายอยู่อย่างนี้ ?"
พระมหาชนกตอบว่า "ดูกรเทพธิดา เราได้พิจารณาเห็นธรรมเนียมของ
โลก และผลของความพยายาม จึงได้พยายามว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรอันแลไม่เห็นฝั่งนี้"
นางมณีเมขลาถามอีกว่า "ฝั่งของมหาสมุทรไม่ปรากฏแก่ท่าน ถึงท่านจะ
พยายามว่ายน้ำไป ก็จะต้องตายเสียก่อนที่จะถึงฝั่งแน่แท้"
พระมหาชนกตอบว่า "ดูกรเทพธิดา เมื่อบุคคลทำความเพียรอยู่ ถึงจะตาย
ไปก็ได้ชื่อว่าไม่เป็นที่ติเตียนของบิดา-มารดาวงศาคณาญาติตลอดถึงเทพยดาทั้งหลาย อีกประการ
หนึ่ง เมื่อบุคคลตั้งใจทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถแล้ว ย่อมจะไม่เสียใจภายหลัง"
นางมณีเมขลากล่าวว่า "การพยายามทำงานอันใดแล้วยังไม่สำเร็จ แต่เกิด
อุปสรรคถึงกับเสียชีวิตไปก่อน ก็ไม่ควรทำความพยายามนั้นเลย เพราะความพยายามที่ทำมาทั้ง
หมด สูญเปล่า"
พระมหาชนกตอบว่า "ผู้ใดรู้ว่าการงานที่ทำไปจะไม่สำเร็จ แล้วไม่รีบหา
ทางป้องกันภัยอันตราย บุคคลนั้นชื่อว่าไม่รักษาชีวิตตน ถ้าบุคคลนั้นละความเพียรเสีย ก็จะได้รับ
ผลแห่งความเกียจคร้านของตน บางคนได้เห็นผลแห่งความประสงค์ของตน แล้วตั้งใจทำงาน ถึง
การงานจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เห็นผลงานประจักษ์แก่ตน ท่านจงดูคนทั้งหลายที่มาในสำเภา
เดียวกับเราเถิด คนพวกนั้นพากันย่อท้อต่ออันตราย ไม่พยายามว่ายน้ำจนสุดความสามารถก่อน จึง
พากันจมน้ำตายในมหาสมุทรทั้งสิ้น เหลือแต่เราผู้เดียวที่สู้ทนว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรอยู่ถึง ๗ วันเข้า
แล้ว บัดนี้ เราได้เห็นผลของความเพียรนั้นแล้ว คือเราได้เห็นท่านซึ่งเป็นเทวดาที่เราไม่เคยเห็นมา
ก่อนเลย ท่านจะมาบอกว่าความพยายามของเราสูญเปล่าได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้นเราจักพยายาม
ว่ายน้ำอีกต่อไป จนกว่าจะถึงฝั่งแห่งมหาสมุทรให้จงได้"
นางมณีเมขลาได้ฟังดังนั้นก็เกิดความเลื่อมใส สรรเสริญพระมหาชนกว่า "ท่านได้เพียรสู้ทนว่ายน้ำข้ามทะเลทั้งใหญ่ทั้งลึกหาประมาณมิได้ จนถึงกับไม่จมน้ำตาย บุรุษเช่นท่านหาได้ยากในโลก ท่านประสงค์จะไปที่ใด เราจะไปส่ง" แล้วจึงอุ้มพระมหาชนกไปส่ง ณ ที่ที่พระองค์ประสงค์จะไป คือเมืองมิถิลานคร
ข้อคิดจาก พระมหาชนก ผู้ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี
ครั้นเมื่อพระมหาชนกออกเรือเดินทางไปได้ ๗ วัน ๗ คืนแล้ว ก็ปรากฏมรสุมใหญ่ที่กลางทะเลโหมกระหน่ำทำให้เรือบรรทุกสินค้าอับปางลง ท่ามกลางเสียงร้องคร่ำครวญโหยไห้ของบรรดาลูกเรือที่ขวัญเสียตื่นตระหนกตกอยู่ในความหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าความตายใกล้จะมาถึงแล้ว พระมหาชนกนั้นทรงตั้งสติมั่นมิได้คร่ำครวญด้วยความหวาดหวั่นเสียขวัญแต่อย่างใด ทรงพยายามเสวยอาหารไว้เพื่อให้อิ่มท้องแล้วเตรียมผ้าชุบน้ำมันมานุ่งไว้เพื่อมิให้ผ้าอุ้มน้ำ แล้วพระมหาชนกก็ทรงปีนขึ้นอยู่บนยอดเสากระโดงในขณะที่เรือโคลงเคลงใกล้จะคว่ำลง ครั้นเมื่อเรือคว่ำแล้วก็กระโจนจากยอดเสากระโดงไปไกลได้ถึง ๑ เส้นกับ ๑๕ วา ด้วยพละกำลังอันวิเศษจึงสามารถว่ายอยู่ห่างไกลในบริเวณที่กระแสน้ำกำลังดูดเรือจมลงไปใต้มหาสมุทร ในขณะที่บรรดาผู้ลอยคออยู่กลางทะเลต่างก็เสียชีวิตไปกันหมดสิ้นแล้ว แต่ทว่าพระมหาชนกยังทรงพยายามว่ายน้ำและลอยคออยู่ได้กลางทะเลนานถึง ๗ วัน ๗ คืน
ในวันที่ ๗ นั้นยังทรงระลึกได้ว่าเป็นวันอุโบสถ พระมหาชนกได้ทรงสมาทานโดยอธิฐานอุโบสถ ในขณะลอยคออยู่ในทะเล แม้ขณะกำลังรอความตายที่ใกล้เข้ามาแทบทุกทีนั้นด้วย
ด้วยบุญบารมีแต่ปางบรรพ์ของเจ้ามหาชนกได้ทำไว้ให้ ร้อนถึงนางมณีเมขลาเทพธิดาแห่งท้องสมุทรผู้มีแก้วประจำตัวอยู่ ๑ ดวง เป็นผู้รักษาสมุทร เผอิญวันเรือแตกนั้นนางมณีเมขลากำลังไปประชุมอยู่กับเทพบุตรนางฟ้า จวบจนถึงวันที่ ๘ จึงกลับมา
ขณะนั้นนางมณีเมขลา ได้เห็นความอดทนของพระมหาชนกจึงได้กล่าวว่า "ใครหนอ พยายามว่ายน้ำในมหาสมุทร อันแลไม่เห็นฝั่งอยู่เช่นนี้ ท่านเห็นประโยชน์อะไร จึงได้ พยายามว่ายอยู่อย่างนี้ ?"
พระมหาชนกตอบว่า "ดูกรเทพธิดา เราได้พิจารณาเห็นธรรมเนียมของ
โลก และผลของความพยายาม จึงได้พยายามว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรอันแลไม่เห็นฝั่งนี้"
นางมณีเมขลาถามอีกว่า "ฝั่งของมหาสมุทรไม่ปรากฏแก่ท่าน ถึงท่านจะ
พยายามว่ายน้ำไป ก็จะต้องตายเสียก่อนที่จะถึงฝั่งแน่แท้"
พระมหาชนกตอบว่า "ดูกรเทพธิดา เมื่อบุคคลทำความเพียรอยู่ ถึงจะตาย
ไปก็ได้ชื่อว่าไม่เป็นที่ติเตียนของบิดา-มารดาวงศาคณาญาติตลอดถึงเทพยดาทั้งหลาย อีกประการ
หนึ่ง เมื่อบุคคลตั้งใจทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถแล้ว ย่อมจะไม่เสียใจภายหลัง"
นางมณีเมขลากล่าวว่า "การพยายามทำงานอันใดแล้วยังไม่สำเร็จ แต่เกิด
อุปสรรคถึงกับเสียชีวิตไปก่อน ก็ไม่ควรทำความพยายามนั้นเลย เพราะความพยายามที่ทำมาทั้ง
หมด สูญเปล่า"
พระมหาชนกตอบว่า "ผู้ใดรู้ว่าการงานที่ทำไปจะไม่สำเร็จ แล้วไม่รีบหา
ทางป้องกันภัยอันตราย บุคคลนั้นชื่อว่าไม่รักษาชีวิตตน ถ้าบุคคลนั้นละความเพียรเสีย ก็จะได้รับ
ผลแห่งความเกียจคร้านของตน บางคนได้เห็นผลแห่งความประสงค์ของตน แล้วตั้งใจทำงาน ถึง
การงานจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เห็นผลงานประจักษ์แก่ตน ท่านจงดูคนทั้งหลายที่มาในสำเภา
เดียวกับเราเถิด คนพวกนั้นพากันย่อท้อต่ออันตราย ไม่พยายามว่ายน้ำจนสุดความสามารถก่อน จึง
พากันจมน้ำตายในมหาสมุทรทั้งสิ้น เหลือแต่เราผู้เดียวที่สู้ทนว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรอยู่ถึง ๗ วันเข้า
แล้ว บัดนี้ เราได้เห็นผลของความเพียรนั้นแล้ว คือเราได้เห็นท่านซึ่งเป็นเทวดาที่เราไม่เคยเห็นมา
ก่อนเลย ท่านจะมาบอกว่าความพยายามของเราสูญเปล่าได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้นเราจักพยายาม
ว่ายน้ำอีกต่อไป จนกว่าจะถึงฝั่งแห่งมหาสมุทรให้จงได้"
นางมณีเมขลาได้ฟังดังนั้นก็เกิดความเลื่อมใส สรรเสริญพระมหาชนกว่า "ท่านได้เพียรสู้ทนว่ายน้ำข้ามทะเลทั้งใหญ่ทั้งลึกหาประมาณมิได้ จนถึงกับไม่จมน้ำตาย บุรุษเช่นท่านหาได้ยากในโลก ท่านประสงค์จะไปที่ใด เราจะไปส่ง" แล้วจึงอุ้มพระมหาชนกไปส่ง ณ ที่ที่พระองค์ประสงค์จะไป คือเมืองมิถิลานคร