ถ้าเอาจริง Cpall จ่ายหนี้ 1.7 แสนล้านหมดใน 6 ปี แน่นอน โดยไม่เพิ่มทุน
ลองคิดดู
1.ส่วนของ Makro ปี 2012 Makro ได้กำไร 3555 ล้านบาท ย้อนหลังไป 4 ปี จะเห็นว่ากำไรเพิ่มขึ้นปีล่ะ 35 เปอร์เซ็น ดังนั้นปี 13 กำไรน่าจะประมาณ 3555*135/100 เท่ากับ 4799 ล้าน และปีที่เริ่มจ่ายดอกจริงๆคือปี 14 ตอนนั้นกำไร Makro ก็ประมาณ 4799 *135/100 เท่ากับ 6500 ล้านแล้ว
2.ส่วนของ Cpall ปี 2012 กำไร 11000 ล้าน ย้อนหลังไป 4 ปี กำไรโตปีล่ะประมาณ 20 -37 เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ยประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าปี 13 กำไรประมาณ 11000 *130/100 เท่ากับ 14300 ล้าน แต่ปีที่จ่ายดอกจริงๆคือปี 14 ตอนนั้นกำไรก็ประมาณ 14300*130/100 เท่ากับ 18500 ล้าน
3.กำไรจากการใช้ Makro เป็นจุดกระจายสินค้าให้ 7-11 มีเพิ่มอีกประมาณ 3-4 พันล้านต่อปี (ผู้บริหารแจ้งคือประหยัดค่าขนส่งได้ 3-4 พันล้านต่อปี) คิดว่าส่วนนี้เป็นส่วนได้ฟรีถ้าดีลสำเร็จอีกปีล่ะประมาณ 4 พันล้าน
4.กำไรจากอำนาจต่อรองผู้ผลิตเพิ่มขึ้น ของ Bigc เพิ่มเท่าตัว ของ Cpall ตีว่าประมาณ 4 พันล้านก่อน
ดังนั้นตอนที่ต้องจ่ายดอกเงินกู้ปีแรก Cpall จะมีกำลังจ่ายเต็มที่ประมาณ 6500 +18500+4000+4000 เท่ากับ 33000 ล้าน หักดอกไปประมาณ 6 พันล้าน (คิดดอกที่ 3.5 เปอร์เซ็นต์) จ่ายคืนเงินต้นอีก 27000 ล้าน เหลือเงินต้น 143000 ล้าน
ปี 15 คืนเงินต้นได้อีก 27000 *130/100 เท่ากับ 35100 ล้าน เงินต้นเหลือ 107900 ล้าน (คิดว่าหลังควบรวมกำไร 2 บริษัทจะโตอีกที่ประมาณปีล่ะ 30 เปอร์เซ็นต์)
ปี 16 คืนเงินต้นได้อีก 35100 *130/100 เท่ากับ 45630 ล้าน เงินต้นเหลือ 62270 ล้าน
ปี 17 คืนเงินต้นได้อีก 45630*130/100 เท่ากับ 59300 ล้าน เงินต้นเหลือ 3000 ล้าน
ดังนั้นถ้าเอาจริงๆ จะจ่ายหนี้หมดใน 4 ปี แต่ผมตีว่า 6 ปี เผื่อต้องเอากำไรไปลงทุนอย่างอื่นด้วย
และทั้ง 2 บริษัทมีค่าเสื่อมราคาในปี 12 ดังนี้ Makro เท่ากับ 1500 ล้าน Cpall ประมาณ 3500 ล้าน รวมกันประมาณ 5000 ล้าน สมมุติใช้ปรับปรุงสาขาเดิม ประมาณ 2500 ล้าน อีก 2500 ล้านก็ไปลงทุนขยายสาขาได้อีก
จะเห็นว่าตอน Bigc ซื้อ คาร์ฟูล หลังจากนั้นผู้ถือหุ้นแทบไม่ได้ปันผลเลย ในกรณีของ Cpall ก็เช่นกัน น่าจะได้ปันผลน้อยๆประมาณ 4 ปี แต่หลังจาก 4 ปี ปันผลเกิน 10 เปอร์เซ็นต์แน่นอน เหมือนกับลงทุนปลูกยางหรือปาล์มไว้รอเก็บผลผลิต ซึ่งต้องรอประมาณ 3-5 ปีไงครับ
ถ้าเอาจริง Cpall จ่ายหนี้ 1.7 แสนล้านหมดใน 6 ปี แน่นอน โดยไม่เพิ่มทุน
ลองคิดดู
1.ส่วนของ Makro ปี 2012 Makro ได้กำไร 3555 ล้านบาท ย้อนหลังไป 4 ปี จะเห็นว่ากำไรเพิ่มขึ้นปีล่ะ 35 เปอร์เซ็น ดังนั้นปี 13 กำไรน่าจะประมาณ 3555*135/100 เท่ากับ 4799 ล้าน และปีที่เริ่มจ่ายดอกจริงๆคือปี 14 ตอนนั้นกำไร Makro ก็ประมาณ 4799 *135/100 เท่ากับ 6500 ล้านแล้ว
2.ส่วนของ Cpall ปี 2012 กำไร 11000 ล้าน ย้อนหลังไป 4 ปี กำไรโตปีล่ะประมาณ 20 -37 เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ยประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าปี 13 กำไรประมาณ 11000 *130/100 เท่ากับ 14300 ล้าน แต่ปีที่จ่ายดอกจริงๆคือปี 14 ตอนนั้นกำไรก็ประมาณ 14300*130/100 เท่ากับ 18500 ล้าน
3.กำไรจากการใช้ Makro เป็นจุดกระจายสินค้าให้ 7-11 มีเพิ่มอีกประมาณ 3-4 พันล้านต่อปี (ผู้บริหารแจ้งคือประหยัดค่าขนส่งได้ 3-4 พันล้านต่อปี) คิดว่าส่วนนี้เป็นส่วนได้ฟรีถ้าดีลสำเร็จอีกปีล่ะประมาณ 4 พันล้าน
4.กำไรจากอำนาจต่อรองผู้ผลิตเพิ่มขึ้น ของ Bigc เพิ่มเท่าตัว ของ Cpall ตีว่าประมาณ 4 พันล้านก่อน
ดังนั้นตอนที่ต้องจ่ายดอกเงินกู้ปีแรก Cpall จะมีกำลังจ่ายเต็มที่ประมาณ 6500 +18500+4000+4000 เท่ากับ 33000 ล้าน หักดอกไปประมาณ 6 พันล้าน (คิดดอกที่ 3.5 เปอร์เซ็นต์) จ่ายคืนเงินต้นอีก 27000 ล้าน เหลือเงินต้น 143000 ล้าน
ปี 15 คืนเงินต้นได้อีก 27000 *130/100 เท่ากับ 35100 ล้าน เงินต้นเหลือ 107900 ล้าน (คิดว่าหลังควบรวมกำไร 2 บริษัทจะโตอีกที่ประมาณปีล่ะ 30 เปอร์เซ็นต์)
ปี 16 คืนเงินต้นได้อีก 35100 *130/100 เท่ากับ 45630 ล้าน เงินต้นเหลือ 62270 ล้าน
ปี 17 คืนเงินต้นได้อีก 45630*130/100 เท่ากับ 59300 ล้าน เงินต้นเหลือ 3000 ล้าน
ดังนั้นถ้าเอาจริงๆ จะจ่ายหนี้หมดใน 4 ปี แต่ผมตีว่า 6 ปี เผื่อต้องเอากำไรไปลงทุนอย่างอื่นด้วย
และทั้ง 2 บริษัทมีค่าเสื่อมราคาในปี 12 ดังนี้ Makro เท่ากับ 1500 ล้าน Cpall ประมาณ 3500 ล้าน รวมกันประมาณ 5000 ล้าน สมมุติใช้ปรับปรุงสาขาเดิม ประมาณ 2500 ล้าน อีก 2500 ล้านก็ไปลงทุนขยายสาขาได้อีก
จะเห็นว่าตอน Bigc ซื้อ คาร์ฟูล หลังจากนั้นผู้ถือหุ้นแทบไม่ได้ปันผลเลย ในกรณีของ Cpall ก็เช่นกัน น่าจะได้ปันผลน้อยๆประมาณ 4 ปี แต่หลังจาก 4 ปี ปันผลเกิน 10 เปอร์เซ็นต์แน่นอน เหมือนกับลงทุนปลูกยางหรือปาล์มไว้รอเก็บผลผลิต ซึ่งต้องรอประมาณ 3-5 ปีไงครับ