บนความสัมพันธ์ทวิภาคี /เรื่องระดับชาติ ปนซับซ้อน ปนงอนง้อ

ถ้าผมเป็นคนดีจริง ผู้หญิงคงมาขอผมแต่งงานไปแล้วแหละครับ นี่เป็นคำตอบประจำตัวผม เวลาที่เจ้านายหรือ เพื่อนๆ ถามว่า ทำไม ผมยังไม่มีใครเสียที อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว

“พี่ทุย ชอบผู้หญิง รึปล่าวเนี่ย”

“ชอบอวบๆ หรือ หุ่นนางแบบ”

เพื่อนรุ่นน้องมักแซวและรบเร้าด้วยน้ำเสียงออดอ้อนไปตามปะสา ว่าอยากรู้จักสาวในสเปคของผมเสียเหลือเกิน

ถ้าขี้เกียจจะตอบคำถามเจ้าพวกนี้หนักเข้า ผมก็จะทำตาหวานใส่พวกมันทีละคน ให้มันสับสนกันไป ไม่รู้มันจะอยากรู้ไปทำไม รู้ไปก็ไม่ทำให้พวกมันเลิกเที่ยวได้หรอก

ยามกรึ่มๆ หลังเงินเดือนออก ลูกน้องผมเหมือนพยัคฆ์ติดปีกขี่จรวด พวกมันก็จะเฮฮา อารมณ์ดีต่อเนื่องมาแต่เช้า ไม่ละความพยายามจะชักชวนผมไปสังสรรค์ ทั้งๆที่รู้ว่าผมไม่มีทางไปอีกแล้ว เพราะพวกมันสรุปว่าผมกลัวผู้หญิง

ที่ผมปฏิเสธ การไปเที่ยวต่อ หลังจากดื่มกินยามเย็นในร้านประจำข้างๆ บริษัท แล้วนั้น เป็นเพราะ หนึ่ง ผมอิ่มมื้อเย็นแล้ว สอง ผมมักทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าสาวๆ ในร้านรวงยามราตรี พวกนี้ พวกเธอใส่ชุดรัดรูป มีผ่าส่วนเว้า ส่วนโค้ง ถ้าไม่ผ่าเว้า ก็บางเบาเสียจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน ถ้าอยากกลับไปตอบคำถามเจ้านายตอนแรก ที่ว่าเมื่อไรจะมีใครเสียที ก็คงเป็นผมเสียกระมังที่จะเสียทีคราวที่เมารูปเมารสไปกับพวกนี่แหละ

ผมเอาชนะสิ่งเย้ายั่ว ด้วยความทื่อ อันเป็นคุณสมบัติประจำตัวดั้งเดิมของผมเอง ไม่ต้องประดิษฐ์ ไม่ต้องแสแสร้ง ได้แต่นั่งเคาะนิ้วไปตามจังหวะเพลง แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นการเย้ายั่วให้พวกเธอมาสุงสิง กับวัตถุซื่อบื้อ กลายเป็นตุ๊กตาหมีแสนน่ารัก ให้พวกเธอ นั่งเบียดกระแซะ จับโน่น จับนี่ บางทีเล็บยาวๆสีสด ของพวกเธอ ก็มาเกี่ยวเอาคอของผมเป็นแผล ยามผมฝืนไม่อยากถูกสตรีเพศกอดหอม ในที่มืดๆ แบบนี้

ผมไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรกับสาวอย่างพวกเธอ ไม่ได้รักนวลสงวนตัวเพื่อมอบความหนุ่มให้คนรักในวันวิวาห์ แต่ผมไม่ชอบมีงานหรือต้องการจะสานต่อกิจกรรมที่มันอาจจะเป็นไปตามอารมณ์วัยหนุ่ม ที่ผสมสารตั้งต้นสีอำพัน และต้องกลับไปบ้านพร้อมน้ำหอมกลิ่นแปลกๆ ติดเนื้อตัวเสื้อผ้า มันเริ่มมาจากตรงนี้ต่างหาก

“น้า เสื้อซักรีด หมดแล้ว กลิ่นน้ำหอมฟุ้งเลย”

กระดาษชิ้นเล็กๆ ตัวอักษรโตเท่าหม้อแกง ติดอยู่ที่หน้าประตูห้องเช่าของผม ผมดึงมันยัดใส่กระเป๋าเสื้อ และไขกุญแจเข้าห้องเล็กๆ ยังกะรูหนูของหนุ่มโสดเข้าไปเหมือนทุกกัน

วันไหนที่ ดารา มาส่งเสื้อผ้า เธอจะเก็บกวาดห้องหับผมจนสะอาด สะอ้านเรียบร้อย ห้องน้ำนี่เรียกได้ว่าเอี่ยมอ่อง ทุกซอกทุกมุม โหลใส่พลูด่างสีเขียวอ่อน ก็ถูกเปลี่ยนน้ำจนเห็นรากใสแจ๋ว

ถ้วยกาแฟ จาน ช้อน ที่ผมกินแล้วกองๆเอาไว้ ถูกล้างจนหมดซิ้งค์ ที่เขี่ยบุหรี่ก็ถูกล้างจนแวววับ ราวกับโรงแรมหรูหราชั้นหนึ่ง

ผมควักบุหรี่ออกมาจะจุดสูบตอนจะถอดรองเท้า แต่ก็เปลี่ยนใจกลัวห้องที่ถูกทำจนสะอาด ต้องกลับมาอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่อีกรอบหนึ่ง ก็เหลือบไปเจอโน้ตเล็กๆ อีกชิ้น วางอยู่บนโต๊ะข้างเก้าอี้ที่ มีจานกระเบื้องใส่ใบเตยหอมหั่นกองใหญ่วางทับอยู่ เนื้อความเขียนไว้ว่า

“น้า เมื่อไรจะเลิกสุบุรีสักที เสียร่างกายหมด”

ผมยิ้มให้กับโน้ตแผ่นเล็กๆนั่น ยิ้มให้กับความพยายามในการเขียนภาษาไทยของดารา

ดารา อายุย่าง 20 ปี ทำงานเป็นลูกจ้างในร้านซักรีด ใต้ถุนแฟลตที่ผมพักอยู่ ผมเห็นเธอหนแรกราว 3 ปีก่อน รูปลักษณ์ที่ดูปอนๆ น่าสงสาร ซื่อๆ พูดรู้เรื่อง ขยันอดทน แต่ตอนนี้ เค้าหน้าเธอดูคมคาย มีแววสวยพอสมควร และอีกอย่างทีผมเห็นได้ก็คือ เธอเป็นคนใฝ่ดี ใฝ่รู้

เธอเป็นคนเขมรครับ ผิวสีน้ำผึ้ง หน้ากลม แต่กรามกว้าง จมูกมีสัน คิ้วเข้ม ตาโต เหมือนสาวเขมรในภาพจำหลักตามปราสาทหินนั้นเชียว ที่สำคัญเป็นคนเขมรคนแรก คนเดียวที่ผมรู้จัก

.................................................................................................................................................................................

“น้า สอนหนู เขียน อ่านหนังสือภาษาไทยบ้างสิ” เธอจะขอร้องผมเสมอเมื่อเจอหน้ากัน

“ได้ ว่างๆ ก่อนนะ” ผมเคยบอกเธอไปแบบนั้นทุกครั้ง

ในเย็นวันเสาร์ ที่ผมหอบงานกลับมาทำที่ห้อง เจอดาราที่ชั้นล่าง ขณะที่ผมกำลังจอดรถมอเตอร์ไซด์

“น้า พรุ่งนี้หนูหยุด สอนภาษาไทยให้หนูนะ”

"อื้มม" ผมรับปากไปส่งๆ

"จริงๆ นะ" เธอตะโกนถามไล่หลัง มา ผมกดปิดลิฟท์ หลับตาคิด ผมนี่นะ จะสอนหนังสือให้เด็กเขมรรู้เรื่อง

คืนนั้นผมหลับไปกับกองงานที่หอบมาทำ ที่สำคัญ ไอ้คู่มือที่เจ้านายให้มาเป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม ผมอ่านไม่กะดิกสักคำ ได้แต่ดูและทำความเข้าใจกับภาพเท่านั้น

ราว 10 โมงเช้าของวันอาทิตย์ ผมได้ยินเสียงคนทำอะไร ก๊อกแก๊ก อยู่แถวๆเคาน์ตอร์ครัว จึงคว้าผ้าเช็ดตัวนุ่งเดินออกไปดู

เห็นดารากำลังทอดปลาอยู่ เธอเห็นหน้าผมแล้วทำหน้าย่น ที่เห็นผมในสภาพกึ่งๆ เปลือยแบบนั้น ในขณะผมไม่ได้แปลกใจที่เห็นเธอหรอกครับ เพราะ ดารา เป็นคนเดียวที่ผมให้กุญแจห้องเอาไว้ เพื่อให้เธอเอาเสื้อผ้ามาส่ง แต่อยากรู้เธอมาทำอะไร

          “น้า กาแฟไหม” เธอทักทายขณะกำลังทอดปลาไปด้วย

          “อื้ม  ทอดปลาอะไรหอมจริง”

เธอตอบอะไรไล่หลังมาก็ฟังไม่ได้ยินถนัด เพราะเสียงฝักบัวอาบน้ำ กำลังทำงานไล่ความง่วงให้ตัวผมอยู่อย่างแข็งขัน เสื้อยืด กางเกงบอล ชุดอยู่บ้านที่กันอุจาดพร้อม ก็ออกมาจิบกาแฟที่ ดารา วางเอาไว้บนตู้เย็น เห็นเด็กเขมรกำลังจัดโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ วางกับข้าวอยู่

          “ปลาอะไรนะ บอกอีกทีไม่ได้ยิน” ผมถามเธออีกรอบหนึ่งที่เห็นปลาทอดฝ่ากลางวางอยู่เต็มจาน ตัวโตกว่าที่ผมเคยซื้อกินอยู่มาก

          “โห น้า เคยสนใจอะไรหนูมั่งเนี่ย” เธอประชดประชัน ทำนองว่าไม่เห็นถามว่าหายไปไหนมาสามสี่วัน อะไร ทำนองนั้น

          “ปลาช่อนจากโตนที่บ้านหนู แกงส้มหนูทำเอง” เธอบอก

          “โตนคืออะไร ปลาช่อนน่ะพอรู้จัก” ผมถามจริงจังแบบไม่รู้จริงๆ

          “โตนก็คือหนองน้ำใหญ่แถวบ้านหนูแหละ แม่ฝากมาให้พี่ เอ๊ย น้า ”

ผมแทบสำลักแกงส้ม แปลกใจว่าแม่ดารา มารู้จักผมได้ไง ถึง ต้องฝากปลาช่อนยักษ์แดดเดียวมาให้กิน ไล่เรียงเข้า เธอก็บอกว่า ที่บ้านเธอที่เขมร ครอบครัวเธอทำประมงอยู่ติดทะเลสาบใหญ่ มีเรือหาปลาหลายลำ แม่เธอฝากปลาแดดเดียวและปลาแห้งมาให้เจ๊ เจ้านายของดารา และฝากปลามาให้ผมในฐานะที่ผมเป็นครูสอนภาษาไทยให้เธอ

ดาราอธิบายแจ่มชัด ผมเป็นครูของดาราในความรับรู้ของแม่เธอที่เขาไปแล้วหรือนี่ ผมนึกไปก็ขำๆ ปลาอร่อยมาก แกงส้มสายบัวที่เธอทำก็เป็นรสชาติที่ถูกใจผม เหมือนตอนเด็กๆที่เคยกินแกงส้มฝีมือแม่

          “อร่อย ขอบใจนะ” ผมเติมข้าวเป็นจานที่สอง เธอนั่งยิ้มแป้น

          “ไม่มากินด้วยกัน” ผมชวน

          “หนูกินแต่เช้าแล้ว ไม่ตื่นสายอย่างน้า” ว่าที่ลูกศิษย์ของผมคนนี้ยอกย้อนไม่เบา

          “อีกอย่าง แม่ไม่ให้แกบกินข้าวกับผู้ชาย” สิ้นเสียงเธออธิบายเพิ่ม ผมก็หัวเราะอย่างเต็มที่ ขำในความไร้เดียงสาของเธอ แต่อะไรไม่รู้ทำให้ผมต้องมองดาราแปลกออกไป

          “ใครคือแกบ” ผมถามเธออีก

          “หนูเอง ชื่อเล่นหนู” ผมหัวเราะครั้งที่สอง เห็นเธอทำหน้างอ

          “แกบ ก็คือ กบ นั่นแหละ แต่ ไม่ใช่กบ สุวนันท์ นะ”

          คราวนี้ผมรวบช้อน เพื่อหัวเราะอย่างดังกว่าสองครั้งแรก แต่แปลกใจที่เธอร่วมหัวเราะด้วย สายๆวันอาทิตย์ของผมที่เคยเงียบเหงา กลับอบอวลไปด้วย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเป็นระยะ

พอผมอิ่มข้าว  ผมบอกดาราว่าจะลงไปซื้อของที่เซเว่น แต่อันที่จริงจะหลบลงไปสูบบุหรี่ ทั้งที่ปกติผมก็จะสูบอยู่ในห้องนั่นเอง จะหลบไปไหนทำไม ไม่รู้                                                                

“จะเอาอะไรไหมแกบ”  

ผมถามเธอยิ้มๆ เธอบอกว่าให้ผมช่วยซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับภาษอังกฤษให้ฉบับหนึ่ง นั่นทำเอาผมอึ้ง แม้จะเคยเห็นเธอพูดคุยกับฝรั่ง หรือพวกคนต่างชาติที่พักอาศัยในแฟลตนี้อยู่บ้าง

ภาษาอังกฤษของเธออยู่ในขั้นดี และขั้นดีมากเมื่อเทียบกับผม เมื่อผมทดสอบกับเธอตอนบ่าย

ในหนังสือพิมพ์ที่เธออยากได้นั้น เธอบอกว่าเธอติดตามอ่านข่าวกรณีพิพาทของไทยกับเขมร กลางคืนบางคืนก็ไปเนตคาเฟ่ เพื่อติดตามข่าวทางอินเตอร์เนต

“ฟัง พูด ภาษาไทยออกจะคล่องขนาดนี้ ทำไมไม่ดูข่าวในทีวีล่ะ ข่าวมีทุกวัน”

เธอตอบภาษาซื่อแบบทำให้ชายไทยอย่างผมสะอึกว่า

“ทีวีไทย ข่าวไทย ก็เสนอข่าวเข้าข้างไทยน่ะสิ”

เออจริงแฮะ บ่ายวันนั้น แทนที่ผมจะสอนเธอเขียนภาษาไทย ก็ กลับเป็นการนั่งพูดคุยถึงเรื่องราวของเธอเป็นส่วนใหญ่ ผมให้เธอใช้โน๊ตบุ๊คเล่นเนตได้เวลาเธอมาที่ห้อง และผมให้เธอช่วยแปลคู่มือรถยนต์รุ่นใหม่ให้ผมในบ่ายวันนั้น ด้วยการแปลไป ผมพิมพ์ใส่โน๊ตบุ๊คไปจนสำเร็จ หัวหน้าช่างยนต์อย่างผมสามารถเทรนลูกน้องได้คราวนี้

รุ่งขึ้นผมตะเวนกวาดหนังสือการเขียนภาษาไทยจากร้านหนังสือ เกือบทั้งหมดที่มี มาให้ดารา ฝึกเขียน โดยไปฝากเจ๊ ข้าวของร้านซักรีดเอาไว้ ผมไม่เจอหน้าดาราเลย พอดึกกลับมาถึงหน้าห้อง เจอโน้ตเล็กๆแปะ บทสนทนาภาษาอังกฤษ พร้อมขนมอยู่ ไว้ให้ทุกวัน หัวใจผมมันแช่มชื่นขึ้นมาอย่างประหลาด

หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ที่ผมและลูกน้องต้องเตรียมงานกันหนัก โอทีทุกวัน จากนั้นบริษัทแม่จากยุโรป ก็มาตรวจศูนย์บริการของเจ้านายผม พอนายช่างฝรั่งเข้ามาทักทาย ลูกน้องที่ก๋ากั่น ปากกล้าพากันทำตัวลีบ กันหมด ผมยืนยิ้ม เซย์ทักทาย ไป ตามที่ดาราสอน ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี วันรุ่งขึ้นเจ้านายชมเชยพวกผมไม่ขาดปาก ศูนย์เรา ผ่านการประเมิน

เจ้านายให้รางวัลเป็นเงินสดและจะพาพวกเราไปเที่ยวต่างจังหวัดพร้อมครอบครัวในเดือนหน้า ลูกน้องผมเฮฮากันใหญ่

ผมนึกถึงดารา พรุ่งนี้ วันอาทิตย์ ผมอยากเลี้ยงข้าวตอบแทนเธอ   ผมรอเธอตั้งแต่เช้า พอ 7 โมงครึ่ง ประตูห้องผมถูกไขแก๊กเข้ามาเบาๆ ร่างเล็กๆ ก็ยืนประจันหน้าผม

ไม่รู้ทำไม เช้านี้ ผมว่า ดารา ดู สวยกว่าทุกวัน

เธอจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ แขวนราวให้ผมเสร็จสรรพ ผมก็พาเธอซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ไปเที่ยวกันที่บางปู

มื้อกลางวันมื้อนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมได้กินข้าวกับดารา เธอแต่งตัวธรรมดาๆ แต่ไหงดูน่ารักแตกต่างจากทุกวันที่ผมเคยเห็น

นกนางนวลหนาตา บินโฉบอาหารจากนักท่องเที่ยว เป็นฉากหลังที่ดูงดงามหมดจด



          “แม่ไม่ว่าเหรอ แกบมากินข้าวกับน้า” ผมถาม

          “แม่ ไม่รู้” เธอยิ้มเห็นฟัน ทำทีให้ความสำคัญกับนกมากกว่าผม

          “น้าไม่สูบบุหรี่แล้วเหรอ” ดาราหันหน้ากลับมาถาม

          “เลิกแล้ว มีคนบอกให้เลิก” ผมตอบแล้วมองหน้าเธอ

          “เป็นคนดี จริงๆ นะเนี่ย” เธอทำเสียงล้อเลียน

          “ถ้าน้าเป็นผู้หญิง หนู เป็นผู้ชาย หนูจะมาขอน้า” น้ำเสียงเธอดูล้อเลียนน้อยลง

          “มาขอสิ น้ายอม” ผมตอบยิ้มๆ แล้วเราสองคนก็หัวเราะ



ทริปสิ้นเดือนที่ทางศูนย์จัดให้พวกผมไปเที่ยว ผมไปขอเจ๊ พาดาราไปเที่ยวด้วย เจ๊ฝากฝังให้ดูแลดารา ที่เธอรักเหมือนน้องนุ่งให้ดีๆ ผมรับปากเธออย่างเต็มใจ

เช้านั้นก่อนขึ้นบัส ลูกน้องผมทำสีหน้างง ๆ ระคนอิจฉา ที่เห็นดารา ผู้หญิงคนแรกที่ผมพามาให้ทุกคนรู้จัก และพามาสวัสดีเจ้านาย

พอเจ้านายรู้ว่าผมจะขอลาพักร้อนไปเที่ยวพนมเปญบ้านของดารา เพื่ออะไรบางอย่าง ลูกน้องและเพื่อนๆ ต่างก็มาโอบล้อมและแสดงความยินดีกับผม  มีเสียงแซวมาจากเจ้านายผมเบาๆว่า

“แหม ชอบต่างชาติก็ไม่บอก” พวกเราทุกคนที่ สงบเงี่ยมกันที่สุดยามอยู่หน้าเจ้านาย หัวเราะลั่นกันอย่างพร้อมเพรียง..
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่