หากไม่นับเครดิตที่ว่าภาคแรกคือจุดเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างของหนังชุดนี้ แล้วมาวัดกันที่ความจัดจ้านในองค์ประกอบด้านต่างๆ ของตัวหนังเพียงอย่างเดียว Iron Man 3 คือผลงานที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็น "ภาคที่ดีที่สุด"
หนังเป็นทั้งเจ้าของฉากแอ็คชั่นที่ใหญ่โต อารมณ์ขันที่ล้นเหลือ พล็อตเรื่องที่ยอกย้อนแพรวพราว และการลำดับความสำคัญของตัวละครที่ทำออกมาได้ค่อนข้างลงตัว บรรดานักแสดงในภาคนี้เลยมีส่วนร่วมในการทำให้เรื่องราวคืบหน้าไปแทบทุกราย ใครเล่าจะเชื่อว่าเจ๊เพ็พเพอร์ (กวินเน็ธ พัลโทรว) นางเอกของเรื่องจะมีโอกาสได้บู๊ดุเดือดไม่แพ้ท่าน โทนี่ สตาร์ค หลังจากที่เธอเคยเป็นแค่ไม้ประดับในหนังสองภาคก่อนหน้า
ขณะที่ตัวร้ายอย่าง "แมนดาริน" ถือเป็นหนึ่งในทีเด็ดทีขาดของหนังภาคนี้ กับการมาในแบบ “ลับ ลวง พราง” ชนิดที่ผู้ก่อการร้ายตัวจริงอาจต้องชิดซ้ายตกขอบไปเลย เสียดายที่ผู้เขียนไม่ใช่แฟนหนังสือคอมิคเลยไม่อาจบอกได้ว่าตัวละครนี้ในหนังสือมันมีการ ลับ ลวง พราง อย่างที่เห็นกันในหนังหรือไม่? ถ้าไม่มี ก็ต้องชมไปที่คนเขียนบทว่า "กล้าที่จะเล่น" และเป็นอะไรที่ทำให้ส่วนหนึ่งของตัวร้ายภาคนี้มีความซับซ้อนในทางตลกร้ายอย่างถึงที่สุด ขณะที่อีกส่วนก็ถือเป็นความโฉดและเหี้ยมเกรียมที่สุดเท่าที่ Iron Man เคยเจอมาเช่นกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เป็นอย่างไรคงเปิดเผยตรงนี้ไม่ได้ แต่ถ้าจะให้สปอยด์เรียกน้ำย่อยกันเล็กๆ แบบไม่ทำลายอรรถรสของหนังก็ต้องบอกว่ามันเป็นตัวร้ายที่ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย และชวนให้นึกถึงหุ่น T1000 เสียเหลือเกิน
แต่จุดที่คิดว่ามีส่วนอย่างมากในการทำให้ Iron Man 3 กลายเป็นความพิเศษขึ้นมาจริงๆ น่าจะอยู่ที่ "อารมณ์ขันแบบเล่นๆ" กับ "งานแอ็คชั่นแบบขึงขัง" ที่ถูกนำมาขมวดรวมเข้าด้วยกันจนเนียนสนิทหมดจด แล้วก็ไหลลื่นชนิดที่ว่าบอกลามุกฝืดๆ และฉากไคลแม็กซ์เห่ยๆ แบบที่เคยเห็นในหนังภาค 2 ไปได้เลย เพราะนอกจากศึกนี้ของ Iron Man จะหนักหนาสาหัสจนต้องพะบู๊กันหนักหน่วงกว่าทุกครั้งแล้ว ในส่วนของอารมณ์ขันก็ถูกเพิ่มให้มีบทบาทกับตัวหนังมากกว่าเดิมหลายเท่า และก็ไม่ได้ถูกใส่มาเพื่อทำให้หนังดูผ่อนคลายลงเท่านั้น แต่มันถูกควบรวมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินเรื่องก็ว่าได้
อาทิ ในฉากที่พระเอกกับผู้ร้ายห้ำหั่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย อยู่ดีๆ หนังก็ตัดฉับหักอารมณ์คนดูด้วยการตบมุกฮาเข้ามาหน้าตาเฉย และที่สำคัญมันได้ผล คือเรียกเสียงหัวเราะครืนขึ้นมาแบบเฉียบพลัน โดยที่อารมณ์รวมของซีนนั้นยังคงความขึงขังไว้อยู่ ไม่ได้สะดุด ชะงัก หรือก่อให้เกิดความรู้สึกผิดที่ผิดทางขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย มองเผินๆ การคุมอารมณ์หนังในลักษณะนี้เหมือนจะง่าย แต่จริงๆ แล้วทำยาก และไม่ใช่ใครที่ไหนนึกจะทำก็ทำได้ ไม่มั่นใจ ไม่แม่นจริงเรื่องจังหวะหนัง ผลลัพธ์ที่รออยู่ตรงหน้า ถ้าไม่กลายไปเป็นหนังแอ็คชั่นตลกล้อเลียน ก็มีแต่คำว่า “เละ” สถานเดียว
ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับ เชน แบล็ค ผู้กำกับหนังภาคนี้ไปแบบเต็มๆ (ร่วมเขียนบทด้วย) ที่นอกจากจะทำออกมาได้แบบห่างไกลจากคำว่าเละแล้ว ยังอยู่ในข่ายดีที่เรียกได้ว่า… Amazing!
คะแนน : สี่ดาวจ้า
(ใครที่ได้ดูรอบสื่อเมื่อวานมาแล้วมีความคิดเห็นยังไงมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน)
Ps. หรือใครชอบอ่านรีวิวหนังสั้นบ้าง ยาวบ้าง ฝากกด like แฟนเพจด้วยจ้า
http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518
(ไปดูมาแล้ว) Iron Man 3 (2013) : สั้นๆ ง่ายๆ ว่า "ภาคนี้ดีที่สุด"
หากไม่นับเครดิตที่ว่าภาคแรกคือจุดเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างของหนังชุดนี้ แล้วมาวัดกันที่ความจัดจ้านในองค์ประกอบด้านต่างๆ ของตัวหนังเพียงอย่างเดียว Iron Man 3 คือผลงานที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็น "ภาคที่ดีที่สุด"
หนังเป็นทั้งเจ้าของฉากแอ็คชั่นที่ใหญ่โต อารมณ์ขันที่ล้นเหลือ พล็อตเรื่องที่ยอกย้อนแพรวพราว และการลำดับความสำคัญของตัวละครที่ทำออกมาได้ค่อนข้างลงตัว บรรดานักแสดงในภาคนี้เลยมีส่วนร่วมในการทำให้เรื่องราวคืบหน้าไปแทบทุกราย ใครเล่าจะเชื่อว่าเจ๊เพ็พเพอร์ (กวินเน็ธ พัลโทรว) นางเอกของเรื่องจะมีโอกาสได้บู๊ดุเดือดไม่แพ้ท่าน โทนี่ สตาร์ค หลังจากที่เธอเคยเป็นแค่ไม้ประดับในหนังสองภาคก่อนหน้า
ขณะที่ตัวร้ายอย่าง "แมนดาริน" ถือเป็นหนึ่งในทีเด็ดทีขาดของหนังภาคนี้ กับการมาในแบบ “ลับ ลวง พราง” ชนิดที่ผู้ก่อการร้ายตัวจริงอาจต้องชิดซ้ายตกขอบไปเลย เสียดายที่ผู้เขียนไม่ใช่แฟนหนังสือคอมิคเลยไม่อาจบอกได้ว่าตัวละครนี้ในหนังสือมันมีการ ลับ ลวง พราง อย่างที่เห็นกันในหนังหรือไม่? ถ้าไม่มี ก็ต้องชมไปที่คนเขียนบทว่า "กล้าที่จะเล่น" และเป็นอะไรที่ทำให้ส่วนหนึ่งของตัวร้ายภาคนี้มีความซับซ้อนในทางตลกร้ายอย่างถึงที่สุด ขณะที่อีกส่วนก็ถือเป็นความโฉดและเหี้ยมเกรียมที่สุดเท่าที่ Iron Man เคยเจอมาเช่นกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่จุดที่คิดว่ามีส่วนอย่างมากในการทำให้ Iron Man 3 กลายเป็นความพิเศษขึ้นมาจริงๆ น่าจะอยู่ที่ "อารมณ์ขันแบบเล่นๆ" กับ "งานแอ็คชั่นแบบขึงขัง" ที่ถูกนำมาขมวดรวมเข้าด้วยกันจนเนียนสนิทหมดจด แล้วก็ไหลลื่นชนิดที่ว่าบอกลามุกฝืดๆ และฉากไคลแม็กซ์เห่ยๆ แบบที่เคยเห็นในหนังภาค 2 ไปได้เลย เพราะนอกจากศึกนี้ของ Iron Man จะหนักหนาสาหัสจนต้องพะบู๊กันหนักหน่วงกว่าทุกครั้งแล้ว ในส่วนของอารมณ์ขันก็ถูกเพิ่มให้มีบทบาทกับตัวหนังมากกว่าเดิมหลายเท่า และก็ไม่ได้ถูกใส่มาเพื่อทำให้หนังดูผ่อนคลายลงเท่านั้น แต่มันถูกควบรวมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินเรื่องก็ว่าได้
อาทิ ในฉากที่พระเอกกับผู้ร้ายห้ำหั่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย อยู่ดีๆ หนังก็ตัดฉับหักอารมณ์คนดูด้วยการตบมุกฮาเข้ามาหน้าตาเฉย และที่สำคัญมันได้ผล คือเรียกเสียงหัวเราะครืนขึ้นมาแบบเฉียบพลัน โดยที่อารมณ์รวมของซีนนั้นยังคงความขึงขังไว้อยู่ ไม่ได้สะดุด ชะงัก หรือก่อให้เกิดความรู้สึกผิดที่ผิดทางขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย มองเผินๆ การคุมอารมณ์หนังในลักษณะนี้เหมือนจะง่าย แต่จริงๆ แล้วทำยาก และไม่ใช่ใครที่ไหนนึกจะทำก็ทำได้ ไม่มั่นใจ ไม่แม่นจริงเรื่องจังหวะหนัง ผลลัพธ์ที่รออยู่ตรงหน้า ถ้าไม่กลายไปเป็นหนังแอ็คชั่นตลกล้อเลียน ก็มีแต่คำว่า “เละ” สถานเดียว
ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับ เชน แบล็ค ผู้กำกับหนังภาคนี้ไปแบบเต็มๆ (ร่วมเขียนบทด้วย) ที่นอกจากจะทำออกมาได้แบบห่างไกลจากคำว่าเละแล้ว ยังอยู่ในข่ายดีที่เรียกได้ว่า… Amazing!
คะแนน : สี่ดาวจ้า
(ใครที่ได้ดูรอบสื่อเมื่อวานมาแล้วมีความคิดเห็นยังไงมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน)
Ps. หรือใครชอบอ่านรีวิวหนังสั้นบ้าง ยาวบ้าง ฝากกด like แฟนเพจด้วยจ้า http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518