#รีวิวที่ 86/2015 |
Avengers: Age of Ultron (2015)
(+) ชอบธีมหนังที่มันสะท้อนสงครามปัจจุบัน คืออย่าง Captain America เนี่ยเป็นฮีโร่ที่ทำหน้าที่ปกป้องโลกจากภัยคุกคามทั้งหลาย แต่ไม่ได้พัฒนาอาวุธเพื่อมาปกป้องสิ่งที่ยังไม่เกิดเหมือนอย่าง Iron Man ซึ่งพอดูธีมของมันแล้วนี่แทบจะเป็นการเสียดสีประเทศสหรัฐอเมริกาที่ชอบทำตัวเป็นตำรวจโลก
(+) ชอบที่ภาคนี้มุ่งเน้นการเป็นฮีโร่ไม่ใช่แค่ในมุมของการกำจัดตัวร้าย แต่ยังเพิ่มภารกิจให้ต้องปกป้องผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก แม้บางฉากมันจะดูยัดเยียดไปหน่อยราวกับว่าต้องมีเพื่อเป็นไว้ป้องกันคำครหา เช่น เห็นไหมเขายังไปต่อยกันในตึกร้างที่ไม่มีคนเลย
(+) ขอชมเลยว่าถึงแม้ตัวละครจะเยอะแต่กระจายบทแบ่งกันได้ดี ตัวละครไหนที่เด่น ๆ ก็ถูกลดบทบาทไม่ให้ยึดครองหนัง ตัวไหนที่ไม่ค่อยเด่นเช่น Hawkeye ก็ได้โอกาสเล่าเรื่องมากขึ้น รวมถึงตัวละครใหม่ทั้งหลายก็ได้รับการแบ่งพื้นที่ให้ตามความเหมาะสม
(+) ชอบการเล่นกับความกลัวในจิตใจของ Iron Man / ความกลัวในจิตใจประชาชนอเมริกันจนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของกองทัพ มันเสริมไปถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อป้องกันสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
(-) แต่การเล่นกับความทรงจำของฮีโร่คนอื่นมันเป็นส่วนเกินของหนังอย่างมาก เข้าใจว่าโดนหั่นออกไปเยอะ พอใส่เข้ามาเท่าที่เห็นจึงเป็นอะไรที่ชวนหงุดหงิดมากกว่าจะอินไปกับความอ่อนแอ/ความกลัวของตัวละคร
(+) จะว่าไปแล้ว Avengers มีคุณลักษณะยอดฮิตของหนังแอ็คชั่นเกรด B อยู่เหมือนกัน ด้วยการสร้างสถานการณ์บังคับให้ตัวละครพระเอกต้องมาสู้เพื่อเอาใจคนดู ในที่นี้คือฉาก Hulk vs. Iron Man ซึ่งทำออกมาได้ดีทีเดียว
(+) ชอบที่หนังไม่ดันทุรังกับฉากแอ็คชั่นเหมือน Avengers ภาคแรกที่ขาดความสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์ฉากแอ็คชั่นจึงได้แต่เน้นความวินาศสันตะโรเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ภาคนี้แม้จะยังคงขาดความสร้างสรรค์เหมือนเดิมแต่ข้อดีคือเขาเลือกจะแอ็คชั่นเท่าที่จำเป็น ไม่ได้บ้าประเคนฉากเดียวบู๊ยาว ๆ ซ้ำซากจนน่าเบื่อ (ตัวอย่างการทำฉากแอ็คชั่นที่ดีขอยกให้ฉากเปิดเรื่อง X-Men Days Of Future Past ที่รวมทีมเวิร์คสู้ได้ดีมาก หรือถ้าจะลากยาวก็ต้องเท่ต้องมีอะไรตื่นตาตื่นใจแบบ Man of Steel)
(-) อันที่จริงในเชิงสมองเราถือว่าอัลตรอนเป็นตัวร้ายที่ร้ายกาจมาก ๆ เพราะมันคือปัญญาประดิษฐ์แทรกซึมตามเน็ตเวิร์คได้เหมือนใน Transcendence แถมยังมีร่างทรงจำนวนมหาศาลที่สามารถบู๊ได้อีก ซึ่งเราเบื่อมากที่ให้หุ่นอัลตรอนจำนวนมากกลายมาเป็นเศษเหล็กไร้ทางสู้ เป็นได้เพียงหุ่นกระป๋องที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เหล่าฮีโร่พระเอกกำจัดอย่างง่ายดาย (แต่ว่าที่ต้องใช้ฮีโร่หลายคนเพราะมันมีจำนวนเยอะแค่นั้นเอง)
(+) ค้อนธอร์เป็นกิมมิคที่สุดยอดมาก ๆ ของหนัง โดยเฉพาะการถูกนำมาใช้เรียกเสียงหัวเราะอย่างต่อเนื่อง
(+) ชอบที่หนังยังคงรักษาอารมณ์ขันตามแบบฉบับ Marvel Cinematic Universe แต่มันถูกใช้ในระดับที่เหมาะสม ไม่ได้ยัดเยียดชงมุกตบมุกจนหนังไม่ได้เดินหน้าไปไหนสักทีเพราะมัวแต่เล่นตลกไร้สาระ
(-) เข้าใจเลยว่าทำไมคริส อีแวนส์กับเจเรมี่ เรนเนอร์ถึงหลุดปากบอกว่า Black Widow
คือปกติ 'นาตาชา โรมานอฟฟ์' มันควรจะให้ความรู้สึกแค่หว่านเสน่ห์ แต่นี่อยู่ดี ๆ กลายเป็นอ่อย 'บรูซ แบนเนอร์' เฉยเลย โดยหนังพยายามยัดเยียดให้คนดูรู้สึกให้ได้ว่าสองคนนี้เคมีเข้ากัน โดยเฉพาะการพยายามสร้างเคมีความสัมพันธ์ว่าคนหนึ่งมีปีศาจในตัว อีกคนก็ผลผลิตจากโซเวียต
(-) สิ่งที่ทำให้ Avengers หรือหนัง Marvel Studios ยังมีความเป็นเด็ก คือชะตาของ Iron Man และ Hulk ที่แม้กระทำผิดแต่ก็ยังลอยนวลเป็นฮีโร่ได้ตามปกติโดยไม่ถูกสอบสวน ด้วยตัวเนื้อหาของสตูดิโอนี้คงยากที่ก้าวผ่านจุดนี้ไปเล่นประเด็นวิพากษ์เหมือนค่ายอื่น
โดยรวมแล้ว Avengers: Age of Ultron มี story ที่ดีในระดับหนึ่ง แต่ถูก screenplay เฉิ่ม ๆ ฉุดหนังให้ด้อยลง เริ่มหยอดอารมณ์ขันได้ถูกจังหวะ เพิ่มความจริงจัง ไม่ฟุ่มเฟือยโชว์แอ็คชั่นจำเจซ้ำซาก และยกระดับหนังด้วยการให้ซูเปอร์ฮีโร่ทำหน้าที่มากกว่าการปราบตัวร้าย แต่ในภาพรวมแล้วยังไม่สามารถหลุดกรอบเดิม ๆ ของตัวเองสักที
วิจารณ์ Avengers: Age of Ultron (2015) เมื่อฮีโร่ไม่ใช่แค่กำจัดเหล่าร้าย แต่ยังต้องช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์
(+) ชอบธีมหนังที่มันสะท้อนสงครามปัจจุบัน คืออย่าง Captain America เนี่ยเป็นฮีโร่ที่ทำหน้าที่ปกป้องโลกจากภัยคุกคามทั้งหลาย แต่ไม่ได้พัฒนาอาวุธเพื่อมาปกป้องสิ่งที่ยังไม่เกิดเหมือนอย่าง Iron Man ซึ่งพอดูธีมของมันแล้วนี่แทบจะเป็นการเสียดสีประเทศสหรัฐอเมริกาที่ชอบทำตัวเป็นตำรวจโลก
(+) ชอบที่ภาคนี้มุ่งเน้นการเป็นฮีโร่ไม่ใช่แค่ในมุมของการกำจัดตัวร้าย แต่ยังเพิ่มภารกิจให้ต้องปกป้องผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก แม้บางฉากมันจะดูยัดเยียดไปหน่อยราวกับว่าต้องมีเพื่อเป็นไว้ป้องกันคำครหา เช่น เห็นไหมเขายังไปต่อยกันในตึกร้างที่ไม่มีคนเลย
(+) ขอชมเลยว่าถึงแม้ตัวละครจะเยอะแต่กระจายบทแบ่งกันได้ดี ตัวละครไหนที่เด่น ๆ ก็ถูกลดบทบาทไม่ให้ยึดครองหนัง ตัวไหนที่ไม่ค่อยเด่นเช่น Hawkeye ก็ได้โอกาสเล่าเรื่องมากขึ้น รวมถึงตัวละครใหม่ทั้งหลายก็ได้รับการแบ่งพื้นที่ให้ตามความเหมาะสม
(+) ชอบการเล่นกับความกลัวในจิตใจของ Iron Man / ความกลัวในจิตใจประชาชนอเมริกันจนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของกองทัพ มันเสริมไปถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อป้องกันสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
(-) แต่การเล่นกับความทรงจำของฮีโร่คนอื่นมันเป็นส่วนเกินของหนังอย่างมาก เข้าใจว่าโดนหั่นออกไปเยอะ พอใส่เข้ามาเท่าที่เห็นจึงเป็นอะไรที่ชวนหงุดหงิดมากกว่าจะอินไปกับความอ่อนแอ/ความกลัวของตัวละคร
(+) จะว่าไปแล้ว Avengers มีคุณลักษณะยอดฮิตของหนังแอ็คชั่นเกรด B อยู่เหมือนกัน ด้วยการสร้างสถานการณ์บังคับให้ตัวละครพระเอกต้องมาสู้เพื่อเอาใจคนดู ในที่นี้คือฉาก Hulk vs. Iron Man ซึ่งทำออกมาได้ดีทีเดียว
(+) ชอบที่หนังไม่ดันทุรังกับฉากแอ็คชั่นเหมือน Avengers ภาคแรกที่ขาดความสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์ฉากแอ็คชั่นจึงได้แต่เน้นความวินาศสันตะโรเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ภาคนี้แม้จะยังคงขาดความสร้างสรรค์เหมือนเดิมแต่ข้อดีคือเขาเลือกจะแอ็คชั่นเท่าที่จำเป็น ไม่ได้บ้าประเคนฉากเดียวบู๊ยาว ๆ ซ้ำซากจนน่าเบื่อ (ตัวอย่างการทำฉากแอ็คชั่นที่ดีขอยกให้ฉากเปิดเรื่อง X-Men Days Of Future Past ที่รวมทีมเวิร์คสู้ได้ดีมาก หรือถ้าจะลากยาวก็ต้องเท่ต้องมีอะไรตื่นตาตื่นใจแบบ Man of Steel)
(-) อันที่จริงในเชิงสมองเราถือว่าอัลตรอนเป็นตัวร้ายที่ร้ายกาจมาก ๆ เพราะมันคือปัญญาประดิษฐ์แทรกซึมตามเน็ตเวิร์คได้เหมือนใน Transcendence แถมยังมีร่างทรงจำนวนมหาศาลที่สามารถบู๊ได้อีก ซึ่งเราเบื่อมากที่ให้หุ่นอัลตรอนจำนวนมากกลายมาเป็นเศษเหล็กไร้ทางสู้ เป็นได้เพียงหุ่นกระป๋องที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เหล่าฮีโร่พระเอกกำจัดอย่างง่ายดาย (แต่ว่าที่ต้องใช้ฮีโร่หลายคนเพราะมันมีจำนวนเยอะแค่นั้นเอง)
(+) ค้อนธอร์เป็นกิมมิคที่สุดยอดมาก ๆ ของหนัง โดยเฉพาะการถูกนำมาใช้เรียกเสียงหัวเราะอย่างต่อเนื่อง
(+) ชอบที่หนังยังคงรักษาอารมณ์ขันตามแบบฉบับ Marvel Cinematic Universe แต่มันถูกใช้ในระดับที่เหมาะสม ไม่ได้ยัดเยียดชงมุกตบมุกจนหนังไม่ได้เดินหน้าไปไหนสักทีเพราะมัวแต่เล่นตลกไร้สาระ
(-) เข้าใจเลยว่าทำไมคริส อีแวนส์กับเจเรมี่ เรนเนอร์ถึงหลุดปากบอกว่า Black Widow คือปกติ 'นาตาชา โรมานอฟฟ์' มันควรจะให้ความรู้สึกแค่หว่านเสน่ห์ แต่นี่อยู่ดี ๆ กลายเป็นอ่อย 'บรูซ แบนเนอร์' เฉยเลย โดยหนังพยายามยัดเยียดให้คนดูรู้สึกให้ได้ว่าสองคนนี้เคมีเข้ากัน โดยเฉพาะการพยายามสร้างเคมีความสัมพันธ์ว่าคนหนึ่งมีปีศาจในตัว อีกคนก็ผลผลิตจากโซเวียต
(-) สิ่งที่ทำให้ Avengers หรือหนัง Marvel Studios ยังมีความเป็นเด็ก คือชะตาของ Iron Man และ Hulk ที่แม้กระทำผิดแต่ก็ยังลอยนวลเป็นฮีโร่ได้ตามปกติโดยไม่ถูกสอบสวน ด้วยตัวเนื้อหาของสตูดิโอนี้คงยากที่ก้าวผ่านจุดนี้ไปเล่นประเด็นวิพากษ์เหมือนค่ายอื่น
โดยรวมแล้ว Avengers: Age of Ultron มี story ที่ดีในระดับหนึ่ง แต่ถูก screenplay เฉิ่ม ๆ ฉุดหนังให้ด้อยลง เริ่มหยอดอารมณ์ขันได้ถูกจังหวะ เพิ่มความจริงจัง ไม่ฟุ่มเฟือยโชว์แอ็คชั่นจำเจซ้ำซาก และยกระดับหนังด้วยการให้ซูเปอร์ฮีโร่ทำหน้าที่มากกว่าการปราบตัวร้าย แต่ในภาพรวมแล้วยังไม่สามารถหลุดกรอบเดิม ๆ ของตัวเองสักที
Genre: superhero, action, adventure
7.5/10
หนังโปรดของข้าพเจ้า
https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms