ชักจากไข้สูงในเด็ก ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีความรู้

สวัสดีครับวันนี้เรามาพูดเรื่องของเด็กๆตัวน้อยๆกันบ้างนะครับ ต้องออกตัวก่อนว่าไม่ใช่หมอเด็กแต่เจอเคสอยู่ตลอดและรักษาเคสไข้ชัก
อยู่บ่อยๆ และอ่านหนังสือเพิ่มเติมด้วย ผมคิดว่าเรื่องนี้หลายๆคนคงสนใจและมีความกังวลเลยมาเล่าให้ฟังนะครับ

เชื่อได้เลยว่าคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกตัวน้อยๆ ต้องเคยเจอปัญหาลูกไข้ ไม่สบาย และสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มักจะกังวลกันมากที่สุด
คือ"กลัวลูกชักเวลาไข้ขึ้น" วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กันครับ



อาการชักจากไข้สูงเป็นอาการนำที่พาคนไข้เด็กมาโรงพยาบาลบ่อยอาการหนึ่ง โดยพบได้ประมาณ 3% ในเด็กอายุ
ในช่วงอายุ 6 เดือน-6 ขวบ ส่วนมากจะพบอาการชักเมื่อไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส (จำตรงนี้ไว้ให้ดีเลยครับเป็นจุดสำคัญเลย
ชื่อบอกว่าชักจากไข้สูง ดังนั้นถ้าเราไม่ปล่อยให้ไข้ขึ้นสูงโอกาสชักก็จะน้อยนะครับ)
การวินิจฉัยว่าลูกน้อยของคุณเป็นอาการชักจากไข้สูงต้องดูจากประวัติสำคัญๆ เหล่านี้ เพื่อแยก อาการชักจากสาเหตุอื่นๆออกไป ได้แก่
1. ไม่เคยมีอาการชักเมื่อไม่มีไข้มาก่อน
2. ไม่มีความผิดปกติทางด้านสมองและระบบประสาททั้งโดยกำเนิดและเกิดขึ้นทีหลัง
3. ไม่มีลักษณะของการติดเชื้อในระบบประสาท เช่น ไข้สมองอักเสบ ไข้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (ซึ่งจะทราบได้จากการตรวจน้ำไขสันหลังในกรณีที่สงสัยครับ)



สาเหตุของการชักจากไข้สูงนั้นยังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าน่าจะเกิดจากการที่ระบบสมองของเด็กเล็กยังไม่พัฒนาสมบูรณ์
เมื่อมีสิ่งกระตุ้นคือการติดเชื้อและไข้สูงจึงทำให้เกิดการชักได้ และอาจเกี่ยวข้องกับประวัติการชักในครอบครัวครับ
ลักษณะอาการชักจากไข้สูงโดยยทั่วไป คือ อาการชักเกร็งกระตุกทั้งตัว (generalised tonic-clonic)เป็นระยะเวลาน้อยกว่า 15 นาที
หลังชักการรู้สึกตัวกลับมาปกติใน 1 ชม.และมักไม่ชักซ้ำอีกในการป่วยครั้งนั้น ซึ่งถ้าเด็กมีอาการชักจากไข้แบบธรรมดานี้ ไม่มีความจำเป็นต้องหาสาเหตุการชักเพิ่มเติม
แต่หากเด็กมีอาการชักแบบซับซ้อนไม่ตรงตามที่บอกข้างต้น เช่น มีอาการชักเป็นจุดๆ ไม่เกร็งทั้งตัว เช่น แขน หรือ ขา ข้างใดข้างหนึ่ง (focal seizure)
ชักนานเกิน 15 นาที มีการชักซ้ำในการป่วย 1 ครั้ง และภายใน 1 ชม.เด็กยังซึมๆ ไม่ค่อยรู้สึกตัว ไม่พูดไม่ร้องเท่าไหร่ อาการเหล่านี้ต้องหาสาเหตุเพิ่มเติมทางระบบประสาทครับ อาจใช้การเจาะหลังเพื่อเอาน้ำไขสันหลังไปตรวจหาการติดเชื้อในระบบประสาท ตรวจ x-ray คอมพิวเตอร์สมอง หรือคลื่นไฟฟ้าสมอง

ความรู้เบื้องต้นเป็นประมาณนี้ก่อนนะครับ ดังนั้นกลับมาที่จุดที่อยากเน้นย้ำที่สำคัญที่สุดคือ "อย่าปล่อยให้ลูกไข้ขึ้นสูงครับ" หลายๆครั้งจากประสบการณ์ที่เจอเคส
เด็กชักจากไข้สูงคือ คุณพ่อคุณแม่ ไม่รู้วิธีการลดไข้ที่ถูกต้อง จนในที่สุดไข้สูงมากจนชักและพอเด็กชักก็มักตกใจทำอะไรไม่ถูก อ่านบทความนี้แล้วสติสำคัญที่สุดนะครับ
มาย้ำเติอนวิธีการลดไข้กันอีกครับ สิ่งสำคัญคือการเช็ดตัวลดไข้และการกินยาแก้ไขครับ
- ยาแก้ไข้พาราเซตามอลกินได้ทุก 4 ชม.ยาน้ำขนาด 120 มก./5มล. ให้ใช้ขนาดตามน้ำหนักตัวนะครับ 10 กิโลกรัม/1ช้อนชาหรือ5มล.
20 กิโลกรัมก็2ช้อนชา ครับ สำหรับยาลดไข้สูงเช่น Ibuprofen หรือบรูเฟนที่เรียกกันนั้นถ้าไม่จำเป็นไม่แนะนำให้ให้เด็กครับเพราะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาได้หลายอย่าง และโดยส่วนใหญ่ถ้าเช็ดตัวลดไข้ดีๆ ไข้ก็จะลงเยอะแล้วครับ
- cool pack/cold pad ที่ชอบใช้แปะหน้าผากกันไม่มีประโยชน์ครับ พื้นที่ผิวหน้าผากน้อยเกินไปกับการระบายความร้อน
บางคนคิดว่าแปะแล้วไข้จะลด ไม่เช็ดตัว อันตรายนะครับ ไข้อาจขึ้นสูงได้มาก
- การเช็ดตัวหรืออาบน้ำใช้น้ำปกติเลยครับไม่ต้องใช้น้ำเย็น การเช็ดตัวที่ถูกต้องสำคัญมาก!!!!! จะช่วยลดไข้ได้เร็ว
- สิ่งที่ต้องเตรียม อ่างน้ำใส่น้ำปกติ ผ้าขนหนู3-4ผืน



- ถอดผ้าให้หมดครับ การเช็ดตัวให้เช็ดย้อนรูขุมขนตามแขนขาก็จะเป็นการเช็ดขึ้นนะครับ จากปลายแขนปลายขามาหาลำตัว เช็ดด้วยแรงพอสมควรให้ตัวเริ่มแดงๆ เพื่อเป็นการเปิดรูขุมขนและให้เส้นเลือดที่ผิวหนังขยายตัวคายความร้อนครับ คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่จะกลัวลูกเจ็บกลัวลูกร้อง เลยแค่ลูบๆเบาๆ นั่นไม่ค่อยได้ช่วยอะไรนะครับ ประสบการณ์ส่วนตัวผมมีน้องตัวเล็กๆ ครับ ตอนน้องป่วยผมนี่แหละเป็นคนเช็ดตัวให้จนตัวแดงเลยไข้ลงดี ส่วนน้องน่ะร้องจ๊ากตลอด แต่ตอนนั้นต้องไม่สนใจนะครับ เอาไข้ให้ลงสำคัญที่สุด
- วางผ้าหมาดๆตามบริเวณข้อพับแขนขาเพื่อช่วยระบายความร้อนนะครับ
- ขอย้ำ"เช็ดตัวอย่ากลัวลูกเจ็บครับ" กลัวเจ็บเช็ดไม่ถูกไข้ไม่ลด ในเด็กเล็กๆไข้สูงจนชักได้นะครับ เช็ดเสร็จก็วัดไข้ใหม่ถ้าไข้ไม่ลงก็เช็ดไปเรื่อยๆจนกว่าไข้จะลงนะครับ
เช็ดตัวไปประมาณ 10-15 นาทีแล้ววัดไข้ครั้งนึงก็ได้ครับ



เมื่อพยายามลดไข้แล้วแต่ไข้ไม่ลงจริงๆจนลูกชักในที่สุด สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือ"มีสติ" ครับ อย่าตกใจ
ดูนาฬิกาเวลาที่ลูกเริ่มชัก จำไว้ รีบโทรตามรถพยาบาลหรือรีบมาโรงพยาบาลทันทีครับระหว่างทางไปโรงพยาบาล ยังคงเช็ดตัวตามวิธีที่บอกไปเรื่อยๆ นะครับตะแคงตัวเด็กเพื่อป้องกันการอาเจียนแล้วสำลัก ไม่ต้องหาอะไรยัดปากนะครับ จะทำให้เกิดการบาดเจ็บในปากเพิ่มเติมอีก ถ้าหยุดชักระหว่างทางมาโรงพยาบาลให้ดูเวลาอีกครั้งว่าลูกชักไปนานแค่ไหน



เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วเด็กยังชักอยู่คุณหมอจะฉีดยากันชัก ทันที ให้น้ำเกลือ เก็บเลือดไปตรวจแล้วซักถามอาการ ประวัติต่างๆจากคุณพ่อคุณแม่ ระยะเวลาที่ชัก อาการไข้อาการต่าง ประวัติโรคประจำตัว ประวัติลมชักในครอบครัวเป็นต้น และทำการตรวจร่างกาย
คุณพ่อคุณแม่ต้องมีสติดีๆครับอย่าตกใจ ให้ประวัติให้ครบถ้วนเพราะประวัติต่างๆเหล่านี้มีผลในการช่วยการรักษาและวินิจฉัยได้มากครับ
ในเคสทั่วๆไป เมื่อให้ยากันชักทางเส้นเลือดเด็กก็มักจะหยุดชักทันที
และจะกลับมาร้อง มีสติตามปกติภายใน 1 ชม.นะครับ (ถ้ายังไม่หยุดชักซึ่งพบได้น้อยก็จะมีวิธีการรักษาต่อไปครับ)

อาการชักจากไข้สูงมีสาเหตุของไข้ได้หลากหลายครับ โดยส่วนมากก็เป็นการติดเชื้อไวรัส ในทางเดินหายใจทางเดินอาหาร
มีไอ น้ำมูก เจ็บคอ ท้องเสีย อาเจียนร่วมด้วย สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งในเด็กเค้าจะบอกอาการเราไม่ได้
อย่างในผู้ใหญ่จะมีอาการ เช่น ปัสสาวะแสบขัด ปวดหลังเวลาเคาะ จึงต้องตรวจปัสสาวะในทุกเคสที่มีอาการชักจากไข้สูงครับ
ซึ่งการหาสาเหตุของไข้นี้จะทำได้จากการตรวจร่างกาย ตรวจ lab ดูผลเลือด ผลปัสสาวะ ตามอาการป่วยของเด็กนะครับ

จากข้างบนการวินิจฉัยชักจากไข้สูง ผมบอกว่าต้องแยกการติดเชื้อในระบบประสาท/สมองออกด้วย
การแยกนี้ในเด็กที่โตหน่อย ตั้งแต่ 1-2 ขวบจะสามารถทำได้ด้วยการตรวจร่างกาย โดยจะพบลักษณะเช่น คอแข็ง (neck stiffness)
ในเด็กที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือไข้สมองอักเสบบางอย่าง ซึ่งต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาเชื้อโดยการเจาะหลังเอาน้ำไขสันหลังไปตรวจเพาะเชื้อครับ แต่ในเด็กเล็กๆ เช่นอายุน้อยกว่า 12-18 เดือนการตรวจร่างกายทำได้ยาก ดังนั้นหากสงสัยคุณหมออาจจะพิจารณาขอคุณพ่อคุณแม่ เจาะหลังน้องเพื่อเอาน้ำเลี้ยงไขสันหลังไปตรวจเพื่อแยกว่าไม่มีการติดเชื้อในสมองนะครับ ซึ่งเป็นหัตการปกติอันตรายมีน้อยและเป็นสิ่งที่จำเป็นครับไม่ต้องกังวลไป เพราะหากมีการติดเชื้อในระบบประสาทและสมองแล้วได้รับการรักษาช้า จะส่งผลกับสมองและพัฒนาการระยะยาวได้



การรักษาหลังหยุดชักก็จะเป็นการรักษาสาเหตุของไข้ตามที่ตรวจพบครับ เช่น การให้ยาฆ่าเชื้อตามชนิดของเชื้อ ให้สารน้ำทางเส้นเลือดในช่วงที่เด็กยังกินได้น้อยให้ยาลดไข้เมื่อมีไข้ เมื่อไข้ลงดีเรียบร้อย เด็กกินได้ตามปกติ ให้ยาฆ่าเชื้อครบก็สามารถกลับบ้านได้ครับ ^^

FAQ มาถึงคำถามที่เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายๆคนคงอยากรู้และเป็นคำถามที่เจอบ่อยๆครับ

แล้วการชักจากไข้สูงจะมีอันตรายอะไรในระยะยาวหรือไม่?
- สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่กลัวและถามกันมากคือการชักจากไข้สูงจะส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของลูกหรือไม่ ? คำตอบคือ"ไม่" ครับ ถ้าการชักนั้นเป็นการชักจากไข้สูงแบบปกติ ไม่มีสาเหตุอื่นๆในสมอง เพราะระยะเวลาการชักจากไข้สูงอย่างที่บอกไป คือ ไม่เกิน 15 นาที โดยมากมักจะหยุดชักใน 3-5 นาที ไม่ได้ส่งผลกับสมองในระยะยาวครับ แต่ถ้าพบว่าสาเหตุการชักเกิดจากความผิดปกติในสมองเช่น ไข้สมองอักเสบ หรือมีการชักต่อเนื่องยาวนานผิดปกติ เกิน 30 นาที โดยไม่ได้รับการรักษา ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของสมองและพัฒนาการได้ครับ

มีโอกาสชักซ้ำได้อีกมั้ยถ้ามีไข้สูงอีกและจะต้องกินยากันชักเพื่อป้องกันการชักครั้งต่อไปมั้ย?
- โอกาสชักซ้ำสามารถเกิดได้ตลอดนะครับหลังมีการชักครั้งแรก ถ้ามีไข้สูงอีก ยิ่งอายุตอนชักครั้งแรกน้อยแค่ไหน โอกาสชักซ้ำก็จะมีมาก พบว่าเมื่อชักครั้งแรกที่อายุ < 1 ขวบ มีโอกาสชักซ้ำ 50 % และเมื่อชักกครั้งแรกที่อายุ < 2 ขวบ มีโอกาสชักซ้ำ 30 %
- การให้ยากันชักกินเป็นประจำเพื่อป้องกันการชักจากไข้สุงมีหลายกรณีที่ต้องพิจารณาครับ ในกรณีที่ชักจากไข้สูงแบบปกติ 1-2 ครั้ง ไม่จำเป็นต้องให้ยากันชักกลับไปกินต่อเนื่อง
ในกรณีที่ชักจากไข้สูงแบบปกติ (ชักเกร็งทั้งตัวไม่เกิน 15 นาที นะครับ)เกิน 3 ครั้ง ขึ้นไป พิจารณาให้กินยากันชักดักเอาไว้เวลามีไข้ เป็นต้นส่วนกรณีอื่นๆต้องพิจารณาตามความเสี่ยง และลักษณะการชักแนะนำปรึกษาคุณหมอเด็กเป็นรายๆไปนะครับ

แล้วจะทำให้เป็นโรคลมชักเป็นโรคประจำตัวตามมารึป่าว?
- โดยทั่วไปชักจากไข้สูงกับโรคลมชัก ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกันครับ ยกเว้น ในกรณีที่เด็กมีความเสี่ยงทางพันธุกรรม ความผิดปกติทางสมองและพัฒนาการร่วมด้วยอยู่ก่อนแล้ว
หรือการชักจากไข้นั้นเป็นแบบซํบซ้อน (ชักนานเกิน 15 นาที ชักแขนหรือขาข้างใดข้างนึง)ซึ่งถ้าไม่มีความเสี่ยงดังกล่าวนี้โอกาสที่จะกลายเป็นโรคลมชักก็เท่าๆกับคนทั่วไปครับ คือ น้อยกว่า 1%
มีความเสี่ยง 1 อย่าง โอกาสกลายเป็นโรคลมชักอยู่ที่ 1%
มีความเสี่ยง 2 อย่างขึ้นไปโอกาสกลายเป็นโรคลมชักอยู่ที่ 10%



โดยสรุปแล้วไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่กังวลมากในกรณีที่เด็กชักจากไข้ เพราะโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือการเป็นการเจ็บป่วยระยะยาวนั้นแม้จะมีอยู่บ้างแต่ก็น้อยแต่คุณพ่อคุณแม่ควรจะมีความรู้ในการดูแลเบื้องต้นเมื่อลูกมีไข้ป้องกันไว้ก่อนอย่าให้ไข้สูงมากจนชัก แต่เมื่อชักแล้วก็สามารถดูแลเบื้องต้นได้อย่างมีสติและรีบพาส่งโรงพยาบาลครับ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการดูแลลูกเวลาเป็นไข้ และคลายกังวลคุณพ่อคุณแม่เมื่อลูกมีอาการชักจากไข้ได้บ้างนะครับ

ป.ล.เพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับการวัดอุณหภูมิและเกณฑ์ในการบอกว่าเป็นไข้ตามคำแนะนำของความเห็น 4 ขอบคุณมากครับ

อุณหภูมิปกติของร่างกายคือ 36.5-37.5 องศาเซลเซียส ดังนั้นอุณหภูมิที่วัดได้สูงกว่านี้ถือว่าเป็นไข้ครับ โดยตัวเลข 36.5-37.5 องศาเซลเซียสนี้เป็นการวัดอุณหภูมิแกนกลางร่างกาย (core temperature) ซึ่งวัดได้ทางหูผ่านแก้วหูและทางก้น เหมือนในเด็กๆที่เวลาวัดไข้แล้วเราเอาเทอร์โมมิเตอร์เสียบก้นน่ะครับ

แต่ในทางปฏิบัติก็ยากที่จะวัดอุณหภูมิทางก้นจริงมั้ยครับถ้าทำไม่ถูกวิธีก็ไม่ค่อยแนะนำ แแล้วทางหูล่ะ? บางโรงพยาบาลจะมีที่วัดอุณหภูมิทางหู แต่บางแห่งก็ไม่มี ดังนั้นวิธีสะดวกสุดที่เห็นและใช้อยู่ทั่วไป คือการวัดทางปากและทางการเหน็บรักแร้ แต่อุณหภูมิที่ได้จะเป็นอุณหภูมิพื้นผิว ที่จะต่างจากอุณหภูมิแกนกลาง ดังนั้นเกณฑ์ในการบอกว่าเป็นไข้สำหรับการใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดตามช่องทางต่างๆ คือ
1. เมื่อวัดอุณหภูมิทางก้นได้มากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส
2. เมื่อวัดอุณหภูมิทางปากได้มากกว่า 37.7องศาเซลเซียส
3. เมื่อวัดอุณหภูมิทางรักแร้ได้มากกว่า 37.2 องศาเซลเซียส
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่