สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
จากที่ไปอยู่ต่างประเทศมา15ปีนะครับ
1. อ่านเยอะๆ อ่านแล้วจะรู้รูปประโยค รู้ศัพท์ รู้การสะกด - เอาไว้ใช้ทั้งพูดและเขียน (เช่น จดหมายทางธุรกิจหรือเขียนโปรเจคส่ง)
- รู้รูปประโยคว่าเราจะต้องพูดแบบไหน อย่างไร
- รู้ศัพท์ว่าศัพท์นี้แปลว่าอะไร
- รู้การสะกด เพราะภาษาอังกฤษส่วนมากจะอ่านออกเสียงตามตัวสะกดเลย ยกเว้นคำที่มาจากภาษาอื่น เช่น Depot อ่านว่า ดีโป้ หรือ Chevrolet อ่านว่า เชฟโวเล+สำเนียงนิดนึง ไม่ใช่ เชฟโรเลต
- พยายามอ่านอะไรที่คุณมีความสนใจ เช่น ถ้าสนใจด้านการลงทุน ให้ลองอ่าน CNN Money อะไรแบบนี้นะครับ ส่วน Bangkok Post ผมว่าอ่านแล้วมันติดๆ ไม่ค่อยเหมือนฝรั่งเขียนเท่าไหร่ หรือคิดไปเองก็ไม่รู้
- *** อย่า *** จำภาษาที่ใช้ตาม Blog หรือ Article ทั่วไปมา เพราะถ้าเป็นหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารใหญ่ๆ เขาจะมีบรรณาธิการอยู่คอยแก้ภาษาที่ผิด
2. ดูข่าวหรือหนังเพื่อจะให้รู้ว่า คนเขาพูดอย่างไรกัน (ผมแนะนำให้ดูข่าวนะ)
- สำเนียง ไม่ต้องไปตามมาก คนแต่ล่ะชาติมีสำเนียงไม่เหมือนกัน แต่ต้องรู้วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง เช่น D ออกเสียงยาว เวลามี S อยู่ต้องออกเสียง Z หรือความแตกต่างระหว่าง R และ L ในคำว่า RICE และ LICE -หรือ- CH กับ SH ในคำว่า CHIP กับ SHIP เป็นต้น
- เพื่อให้เข้าใจเวลาใช้แสลง
- ดูข่าว เพราะสถานีข่าวในอเมริกา ส่วนใหญ่(มากๆ) ผู้ประกาศจะต้องพูดสำนียง Standard English เช่น CNN NBC CBS ABC WGN ตามภูมิภาคต่างๆ ลองสังเกตุว่าน้อยช่องมากๆ นอกจากจะท้องถิ่นจริงๆ ถึงจะใช้สำเนียงท้องถิ่น ****** แล้วจะไปหาฟังจากไหน*** ก็ตามเวปของสถานีโทรทัศน์เหล่านั้นแหละ
3. ฝึกแกรมม่า
- บอกได้เลยว่าฝรั่งส่วนใหญ่ไม่รู้แกรมม่า แต่ใช้ความชิน เหมือนคนไทยนี่แหละ ใช้ความเคยชิน ลองไปถามซิว่าอักษรตัวใดเป็นเสียงสูง ตกม้าตายกันเป็นแถว ฝึกให้รู้ว่า Tense มีอะไรบ้าง ใช้อะไรตอนไหน เพราะภาษาอังกฤษใช้ Tense ในการบอกเวลา ไม่เหมือนภาษาไทยที่จะบอกเวลาในตัวประโยค หรือบอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องไม่จริงก็ได้
4. ฝึกเขียน
- ถ้าไม่เขียนก็ได้แต่จำ เหมือนอ่านตำราท่องจำแต่ไม่เคยปฏิบัติ เหมือนนักวิชาการมาเล่นหุ้นแล้วก็เจ๊งกันไปเป็นแถบๆ การเขียนบ่อยๆเยอะๆทำให้เราคุ้น อาจจะส่งให้คนที่ชำนาญด้านภาษาช่วยแก้ให้ก็ได้ หลังจากเขียนเสร็จ ควรเว้นช่วงไว้สัก 1-2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน แล้วค่อยมาอ่านแล้วแก้ใหม่ อย่าพยายามนั่งอ่านไปอ่านมา มันแก้ไม่ได้หรอก ใจเย็นๆเอาไว้
ผมว่ามันต้องไปควบคู่กันนะถึงจะได้ผล เพราะแต่ละอย่างมันมีส่วนเกี่ยวเนื่องกัน
ปล ผมไม่แนะนำให้ศึกษาจากเนื้อเพลงนะครับ เพราะเนื้อเพลงไม่ได้ตรงรูปประโยคที่ถูกต้อง เพราะมันต้องมีสัมผ้สด้วย อาจะะตัดนู่นตัดนี่ไปแต่คนยังเข้าใจกันอยู่ แต่หากคุณต้องการรู้ภาษาเพื่อใช้งาน มันก็เหมือนอ่านภาษาแชทแล้วไปเขียนจดหมายธุรกิจ หรือเปิดเพลงโฟร์มด แล้วเอาคำมาเขียนนะ
1. อ่านเยอะๆ อ่านแล้วจะรู้รูปประโยค รู้ศัพท์ รู้การสะกด - เอาไว้ใช้ทั้งพูดและเขียน (เช่น จดหมายทางธุรกิจหรือเขียนโปรเจคส่ง)
- รู้รูปประโยคว่าเราจะต้องพูดแบบไหน อย่างไร
- รู้ศัพท์ว่าศัพท์นี้แปลว่าอะไร
- รู้การสะกด เพราะภาษาอังกฤษส่วนมากจะอ่านออกเสียงตามตัวสะกดเลย ยกเว้นคำที่มาจากภาษาอื่น เช่น Depot อ่านว่า ดีโป้ หรือ Chevrolet อ่านว่า เชฟโวเล+สำเนียงนิดนึง ไม่ใช่ เชฟโรเลต
- พยายามอ่านอะไรที่คุณมีความสนใจ เช่น ถ้าสนใจด้านการลงทุน ให้ลองอ่าน CNN Money อะไรแบบนี้นะครับ ส่วน Bangkok Post ผมว่าอ่านแล้วมันติดๆ ไม่ค่อยเหมือนฝรั่งเขียนเท่าไหร่ หรือคิดไปเองก็ไม่รู้
- *** อย่า *** จำภาษาที่ใช้ตาม Blog หรือ Article ทั่วไปมา เพราะถ้าเป็นหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารใหญ่ๆ เขาจะมีบรรณาธิการอยู่คอยแก้ภาษาที่ผิด
2. ดูข่าวหรือหนังเพื่อจะให้รู้ว่า คนเขาพูดอย่างไรกัน (ผมแนะนำให้ดูข่าวนะ)
- สำเนียง ไม่ต้องไปตามมาก คนแต่ล่ะชาติมีสำเนียงไม่เหมือนกัน แต่ต้องรู้วิธีออกเสียงที่ถูกต้อง เช่น D ออกเสียงยาว เวลามี S อยู่ต้องออกเสียง Z หรือความแตกต่างระหว่าง R และ L ในคำว่า RICE และ LICE -หรือ- CH กับ SH ในคำว่า CHIP กับ SHIP เป็นต้น
- เพื่อให้เข้าใจเวลาใช้แสลง
- ดูข่าว เพราะสถานีข่าวในอเมริกา ส่วนใหญ่(มากๆ) ผู้ประกาศจะต้องพูดสำนียง Standard English เช่น CNN NBC CBS ABC WGN ตามภูมิภาคต่างๆ ลองสังเกตุว่าน้อยช่องมากๆ นอกจากจะท้องถิ่นจริงๆ ถึงจะใช้สำเนียงท้องถิ่น ****** แล้วจะไปหาฟังจากไหน*** ก็ตามเวปของสถานีโทรทัศน์เหล่านั้นแหละ
3. ฝึกแกรมม่า
- บอกได้เลยว่าฝรั่งส่วนใหญ่ไม่รู้แกรมม่า แต่ใช้ความชิน เหมือนคนไทยนี่แหละ ใช้ความเคยชิน ลองไปถามซิว่าอักษรตัวใดเป็นเสียงสูง ตกม้าตายกันเป็นแถว ฝึกให้รู้ว่า Tense มีอะไรบ้าง ใช้อะไรตอนไหน เพราะภาษาอังกฤษใช้ Tense ในการบอกเวลา ไม่เหมือนภาษาไทยที่จะบอกเวลาในตัวประโยค หรือบอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องไม่จริงก็ได้
4. ฝึกเขียน
- ถ้าไม่เขียนก็ได้แต่จำ เหมือนอ่านตำราท่องจำแต่ไม่เคยปฏิบัติ เหมือนนักวิชาการมาเล่นหุ้นแล้วก็เจ๊งกันไปเป็นแถบๆ การเขียนบ่อยๆเยอะๆทำให้เราคุ้น อาจจะส่งให้คนที่ชำนาญด้านภาษาช่วยแก้ให้ก็ได้ หลังจากเขียนเสร็จ ควรเว้นช่วงไว้สัก 1-2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน แล้วค่อยมาอ่านแล้วแก้ใหม่ อย่าพยายามนั่งอ่านไปอ่านมา มันแก้ไม่ได้หรอก ใจเย็นๆเอาไว้
ผมว่ามันต้องไปควบคู่กันนะถึงจะได้ผล เพราะแต่ละอย่างมันมีส่วนเกี่ยวเนื่องกัน
ปล ผมไม่แนะนำให้ศึกษาจากเนื้อเพลงนะครับ เพราะเนื้อเพลงไม่ได้ตรงรูปประโยคที่ถูกต้อง เพราะมันต้องมีสัมผ้สด้วย อาจะะตัดนู่นตัดนี่ไปแต่คนยังเข้าใจกันอยู่ แต่หากคุณต้องการรู้ภาษาเพื่อใช้งาน มันก็เหมือนอ่านภาษาแชทแล้วไปเขียนจดหมายธุรกิจ หรือเปิดเพลงโฟร์มด แล้วเอาคำมาเขียนนะ
แสดงความคิดเห็น
มีใครเคยฝึกภาษาอังกฤษ ด้วยการอ่านหนังสือแบบนี้มั้งคะ แล้วได้ผลมากน้อยแค่ไหน