หลังจากอินกับหนังที่จบไป ดันไปอ่านเจอเรื่องเจ้าหญิงทอหูกที่โกซังเล่าให้อังซังฟังมา ขอบอกซึ้ง! ไม่แพ้คู่ของโกซังกับอังซังเลยคร่าา T^T ...
เลยขออนุญาติ ก๊อป(เว็ปชาวบ้าน) เอาช่วงบทนำ กับ ช่วงตอนจบ(ซึ้งมว๊าก>.<) มาแชร์ให้สาวกสาวท้องร่องได้อินกันต่อไป... อ่านแล้วคิดถึงโกซังมากมายคร่าาาาาาToT
อมตะรักนิรันดร์ เจ้าหญิงทอหูกแสนสวย กับ ชายหนุ่มเลี้ยงแกะ
บทนำ
เทศกาลทานาบาตะ หรือวันแห่งความรักและความสุขสมหวัง ต้นกำเนิดจากเจ้าหญิงทอหูก กับ ชายหนุ่มเลี้ยงแกะ การรอคอยที่พลัดพรากของดวงดาว 2 ดวง คือ "โอริ ฮิเมะ" (ดวงดาวสุกสว่าง) และ "ฮิโกโบชิ" (สายน้ำกระจ่างใส) ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นที่ได้เล่าสืบต่อกันมาเนิ่นนาน ซึ่งในทุก ๆ ปี ของวันที่ ๗ เดือน ๗ (กรกฏาคม) เป็นวันที่ดาราจักรทางช้างเผือกจะออกมาปรากฏอย่างสว่างไสวบนท้องฟ้าของประเทศญี่ปุ่น บนทางช้างเผือกจะมีดวงดาวนับร้อยนับพันดวงมารวมกันเป็นทางยาวสวยงามระยิบระยับ เมื่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้าในยามราตรี จะเห็นเสมือนเป็น แม่น้ำสายใหญ่ หรือที่คนญี่ปุ่นสมัยโบราณตั้งชื่อให้ว่า "อามาโนคาว่า" (สายน้ำแห่งสรวงสวรรค์) ต้นกำเนิดเรื่องเล่าขานตำนานแห่งความรักระหว่างดวงดาวสองดวงที่ต้องพลัดพรากจากกันโดยมีทางช้างเผือก ดุจดั่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่กั้นขวางทั้งคู่ และพวกเขาทั้งสองจะมาพบกันได้ปีละครั้งเดียวเท่านั้น คือในวันที่ ๗ เดือน ๗ นั้นเอง
"ทานาบาตะ" วันแห่งความสุขสมหวัง ที่ชาวญี่ปุ่นได้เล่าขานบอกสู่ลูกหลานว่า "ให้ไปตัดต้นไผ่ นำมาปักไว้ในรั้ว บ้าน และให้เขียนคำอธิษฐานใส่กระดาษ นำไปผูกไว้ที่ต้นไผ่ที่ตัดมา แล้วคำอธิษฐานต่อสิ่งนั้นจะได้ผลสมประสงค์สมดังใจปรารถนาเหมือน ๆ กับ "โอริ ฮิเมะ" และ "ฮิโกโบชิ" ที่ได้สมหวัง และได้พบกันในวันนั้น..
... เนื้อเรื่องจริงๆก็ยาวมว๊ากก อิชั้นก็ขอตัดเอาตอนจบที่ชอบที่สุด มาแปะ เลยแล้วกันนะเจ้าค่ะ!!!!!!! สดุดกับชื่อ "โกโบชิ" ที่เหมือนกับ "โกโบริ"ของเราค่ะ
...คืนวันที่ ๗ เดือน ๗ นี้เอง สายลมได้ผัดผ่านหมู่บ้านเล็กๆที่สวยงามและสงบสุข หลายๆบ้านได้แขวนโคมกระดาษที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามให้โค้งเข้าหากันพร้อมทั้งปักกิ่งไผ่ไว้ด้วย เพื่อลำลึกถึงการจากไปด้วยความรักอันบริสุทธิ์ของชายหนุ่มเลี้ยงแกะที่มีต่อเจ้าหญิงทอหูกผู้งดงาม สายลมอันบางเบาได้พัดกิ่งไผ่ที่ปักไว้หน้าบ้านหลังหนึ่ง บนกิ่งไผ่แต่ละกิ่งมีกระดาษแผ่นเล็กๆที่เขียนคำอธิฐานไว้ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งพยายามยื่นแขนสุดเอื้อมเพื่อแขวนคำอธิฐานของเขาไว้บนกิ่งไผ่ สตรีหน้าตาใจดีได้เดินมาด้านหลังและช่วยแขวนคำอธิฐานของเด็กชายผู้นั้นไว้บนยอดที่สูงที่สุด "อย่าลืมอธิฐานกลับให้เขาทั้งคู่ได้พบกัน บนดวงดาวแสนสวยที่อยู่ตรงนั้นด้วยนะจ๊ะลูก" นางบอกเด็กชายเบาๆด้วยความรักพร้อมชี้ไปที่กลุ่มดวงดาวบนทางช้างเผือก เด็กชายยิ้มกว้างให้กับคุณแม่ผู้ใจดีก่อนมองไปที่กลุ่มดวงดาวที่ส่งแสงระยิบระยับ
ณ ใจกลางแม่น้ำใหญ่ หากมองไปยังบนท้องฟ้าในยามราตี ก็จะเห็นหมูดาวจากทางช้างเผือกที่ส่องแสงสว่างสุกใสนับพันที่เรียงรายกันเป็นทางพาดยาวจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของแม่น้ำ แสงของดวงดาวที่เป็นทางยาวบนฟากฟ้าได้สาดแสงกระทบกับพื้นแม่น้ำเบื้องล่างทอแสงเป็นประกายระยิบระยับงดงามจับใจ บัดนี้ใจกลางของแม่น้ำไม่ได้เวิ้งว้างว่างเปล่าอย่างเช่นเคย แต่กลับมีสะพานไม้ใหญ่ที่แข็งแรงปรากฏขึ้นทอดตัวยาวเชื่อมระหว่างทั้งสองฟากของแม่น้ำไว้ หากมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ทันสังเกต จะเห็นดาวหางทางตอนปลายด้านใต้ของทางช้างเผือกส่องแสงและตกลงมายังบริเวณปลายสะพานใหญ่ ปรากฏเป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายกำยำงามสะง่าในชุดยูคาตะโบราณ ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความสุขที่เจือรอยยิ้มบางๆไว้ ร่างอันโปร่งใสของเขาส่องแสงสว่างจางๆออกมา เขาค่อยๆเดินขึ้นมาหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางสะพาน และทอดสายตาที่สดใสมองไปยังผืนน้ำที่มีเงาของดวงดาวส่องแสงล้อกับคลื่นน้ำ เขาท้าวแขนทั้งสองข้างไว้ที่ราวสะพานและมองตรงไปยังสารธารที่อยู่เบื้องหน้าอย่างจดจ่อเพื่อรอใครสักคน
และในขณะเดียวกันอีกฟากหนึ่งของสะพาน ดาวหางที่ตกลงมาจากทางด้านปลายตอนเหนือของทางช้างเผือกได้ตกลงมายังอีกฟากของสะพาน ปรากฏเป็นรูปร่างของดรุณีที่สวมชุดผ้าทออย่างงามระหงส์ ร่างบางนั้นโปร่งแสงยืนอยู่ที่ปลายสะพานของฝั่งด้านเหนือ ก่อนที่จะค่อยๆก้าวขึ้นสะพานขึ้นมา ชายหนุ่มได้หันกลับไปมองตามเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา ร่างอันโปร่งใสของ โอริ หรือเจ้าหญิงทอหูกได้หยุดยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา นางมีรอยยิ้มที่สวยงามและสดใส ดวงตาดูเปี่ยมไปด้วยความสุขไม่แพ้ดวงตาของ โกโบชิ หรือชายหนุ่มเลี้ยงแกะเลย ชายหนุ่มจึงส่งรอยยิ้มกว้างและยื่นมือข้างหนึ่งไปหาเธอ เธอส่งมือมาประสานกับเขา ความรู้สึกอันอบอุ่น ความไว้วางใจ ความสุขที่ได้รอมาเนิ่นนานได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างอันโปร่งแสงบางเบาของทั้งสอง เวลานี้ทั้งคู่ได้ยืนอยู่ ณ กึ่งกลางของสะพานและจับมือกันไว้ เพียงแค่สบตา ไม่มีแม้แต่ถ้อยคำที่ปริออกมาเป็นเสียงพูด อาศัยเพียงเสียงของหัวใจที่กระซิบว่า ...
"ไม่ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปนานสักเพียงใด จะหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี ก็ไม่มีวันที่จะพรากความรักของเขาทั้งคู่ได้ ความห่างไกลไม่ใช่อุปสรรค์ต่อความรักที่ทั้งคู่มีให้กันเลยแม้แต่น้อย"
ความรักของเขาทั้งสองมีมากจนเปี่ยมล้นเสมือนกับแม่น้ำ"อามาโนคาว่า" (หรือสายน้ำแห่งสรวงสวรรค์บนทางช้างเผือก)ที่ทอดยาวและไหลรินอย่างไม่มีวันหยุด ไม่มีวันจบสิ้น
...
การที่คนรักทั้งสองคน ได้มาเจอกันเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น ฟังดูอาจเป็นเรื่องที่เศร้าอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สำหรับบางคนแล้ว การที่ได้มีความหวัง ว่าจะได้พบเจอคนที่เขารัก แม้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นต่างหาก ที่เป็นหัวใจสำคัญโดยแท้ และทำให้การมีชีวิตอยู่ มีคุณค่าและเพิ่มความหมายมากมายเกินจะพรรณนาได้หมดสิ้น ...
... ในวันที่ ๗ เดือน ๗ ปีนี้ คงมีอย่างน้อยสามคู่รัก ที่จะได้มาพบกัน ณ ทางช้างเผือก อันไกลโพ้น ...
เจ้าหญิงทอหูกกับชายหนุ่มเลี้ยงแกะ
อังศุมาลินกับโกโบริ
และ ...
... ผู้ที่มีหัวใจรักโดยปราศจากเหตุผล ที่ใช้ทั้งใจรอใครสักคนที่เป็นคู่แท้ให้กลับมา ...
(เห็นว่าแต่ละท้องถิ่นจะเล่าและแปลงเนื้อเรื่องต่างกันไป แต่เราว่าที่เราอ่านเจอเรื่องนี้ มันตรงกับที่พ่อโกได้เล่าให้อังซังฟังมากที่สุด ที่ทั้งคู่ถูกพ่อแม่กีดกัน สุดท้ายพระเอกก็ตายก่อนฝากวิญญานให้เทวดาพาไปอยู่ด้านทิศใต้ของทางช้างเผือก อ่านไปอ่านมาจิ้นหน้าโกโบชิ เป็นโกโบริ ซะงั้น เหอะๆๆๆ)... เนื้อเรื่องตอนท้ายๆเศร้าเหมือนพี่โกโบ้เลยอ่ะ Y^Y
เรื่องเล่าของพ่อดอกมะลิ สู่ ฮิเดโกะซัง...
เลยขออนุญาติ ก๊อป(เว็ปชาวบ้าน) เอาช่วงบทนำ กับ ช่วงตอนจบ(ซึ้งมว๊าก>.<) มาแชร์ให้สาวกสาวท้องร่องได้อินกันต่อไป... อ่านแล้วคิดถึงโกซังมากมายคร่าาาาาาToT
อมตะรักนิรันดร์ เจ้าหญิงทอหูกแสนสวย กับ ชายหนุ่มเลี้ยงแกะ
บทนำ
เทศกาลทานาบาตะ หรือวันแห่งความรักและความสุขสมหวัง ต้นกำเนิดจากเจ้าหญิงทอหูก กับ ชายหนุ่มเลี้ยงแกะ การรอคอยที่พลัดพรากของดวงดาว 2 ดวง คือ "โอริ ฮิเมะ" (ดวงดาวสุกสว่าง) และ "ฮิโกโบชิ" (สายน้ำกระจ่างใส) ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นที่ได้เล่าสืบต่อกันมาเนิ่นนาน ซึ่งในทุก ๆ ปี ของวันที่ ๗ เดือน ๗ (กรกฏาคม) เป็นวันที่ดาราจักรทางช้างเผือกจะออกมาปรากฏอย่างสว่างไสวบนท้องฟ้าของประเทศญี่ปุ่น บนทางช้างเผือกจะมีดวงดาวนับร้อยนับพันดวงมารวมกันเป็นทางยาวสวยงามระยิบระยับ เมื่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้าในยามราตรี จะเห็นเสมือนเป็น แม่น้ำสายใหญ่ หรือที่คนญี่ปุ่นสมัยโบราณตั้งชื่อให้ว่า "อามาโนคาว่า" (สายน้ำแห่งสรวงสวรรค์) ต้นกำเนิดเรื่องเล่าขานตำนานแห่งความรักระหว่างดวงดาวสองดวงที่ต้องพลัดพรากจากกันโดยมีทางช้างเผือก ดุจดั่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่กั้นขวางทั้งคู่ และพวกเขาทั้งสองจะมาพบกันได้ปีละครั้งเดียวเท่านั้น คือในวันที่ ๗ เดือน ๗ นั้นเอง
"ทานาบาตะ" วันแห่งความสุขสมหวัง ที่ชาวญี่ปุ่นได้เล่าขานบอกสู่ลูกหลานว่า "ให้ไปตัดต้นไผ่ นำมาปักไว้ในรั้ว บ้าน และให้เขียนคำอธิษฐานใส่กระดาษ นำไปผูกไว้ที่ต้นไผ่ที่ตัดมา แล้วคำอธิษฐานต่อสิ่งนั้นจะได้ผลสมประสงค์สมดังใจปรารถนาเหมือน ๆ กับ "โอริ ฮิเมะ" และ "ฮิโกโบชิ" ที่ได้สมหวัง และได้พบกันในวันนั้น..
... เนื้อเรื่องจริงๆก็ยาวมว๊ากก อิชั้นก็ขอตัดเอาตอนจบที่ชอบที่สุด มาแปะ เลยแล้วกันนะเจ้าค่ะ!!!!!!! สดุดกับชื่อ "โกโบชิ" ที่เหมือนกับ "โกโบริ"ของเราค่ะ
...คืนวันที่ ๗ เดือน ๗ นี้เอง สายลมได้ผัดผ่านหมู่บ้านเล็กๆที่สวยงามและสงบสุข หลายๆบ้านได้แขวนโคมกระดาษที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามให้โค้งเข้าหากันพร้อมทั้งปักกิ่งไผ่ไว้ด้วย เพื่อลำลึกถึงการจากไปด้วยความรักอันบริสุทธิ์ของชายหนุ่มเลี้ยงแกะที่มีต่อเจ้าหญิงทอหูกผู้งดงาม สายลมอันบางเบาได้พัดกิ่งไผ่ที่ปักไว้หน้าบ้านหลังหนึ่ง บนกิ่งไผ่แต่ละกิ่งมีกระดาษแผ่นเล็กๆที่เขียนคำอธิฐานไว้ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งพยายามยื่นแขนสุดเอื้อมเพื่อแขวนคำอธิฐานของเขาไว้บนกิ่งไผ่ สตรีหน้าตาใจดีได้เดินมาด้านหลังและช่วยแขวนคำอธิฐานของเด็กชายผู้นั้นไว้บนยอดที่สูงที่สุด "อย่าลืมอธิฐานกลับให้เขาทั้งคู่ได้พบกัน บนดวงดาวแสนสวยที่อยู่ตรงนั้นด้วยนะจ๊ะลูก" นางบอกเด็กชายเบาๆด้วยความรักพร้อมชี้ไปที่กลุ่มดวงดาวบนทางช้างเผือก เด็กชายยิ้มกว้างให้กับคุณแม่ผู้ใจดีก่อนมองไปที่กลุ่มดวงดาวที่ส่งแสงระยิบระยับ
ณ ใจกลางแม่น้ำใหญ่ หากมองไปยังบนท้องฟ้าในยามราตี ก็จะเห็นหมูดาวจากทางช้างเผือกที่ส่องแสงสว่างสุกใสนับพันที่เรียงรายกันเป็นทางพาดยาวจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของแม่น้ำ แสงของดวงดาวที่เป็นทางยาวบนฟากฟ้าได้สาดแสงกระทบกับพื้นแม่น้ำเบื้องล่างทอแสงเป็นประกายระยิบระยับงดงามจับใจ บัดนี้ใจกลางของแม่น้ำไม่ได้เวิ้งว้างว่างเปล่าอย่างเช่นเคย แต่กลับมีสะพานไม้ใหญ่ที่แข็งแรงปรากฏขึ้นทอดตัวยาวเชื่อมระหว่างทั้งสองฟากของแม่น้ำไว้ หากมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ทันสังเกต จะเห็นดาวหางทางตอนปลายด้านใต้ของทางช้างเผือกส่องแสงและตกลงมายังบริเวณปลายสะพานใหญ่ ปรากฏเป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายกำยำงามสะง่าในชุดยูคาตะโบราณ ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความสุขที่เจือรอยยิ้มบางๆไว้ ร่างอันโปร่งใสของเขาส่องแสงสว่างจางๆออกมา เขาค่อยๆเดินขึ้นมาหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางสะพาน และทอดสายตาที่สดใสมองไปยังผืนน้ำที่มีเงาของดวงดาวส่องแสงล้อกับคลื่นน้ำ เขาท้าวแขนทั้งสองข้างไว้ที่ราวสะพานและมองตรงไปยังสารธารที่อยู่เบื้องหน้าอย่างจดจ่อเพื่อรอใครสักคน
และในขณะเดียวกันอีกฟากหนึ่งของสะพาน ดาวหางที่ตกลงมาจากทางด้านปลายตอนเหนือของทางช้างเผือกได้ตกลงมายังอีกฟากของสะพาน ปรากฏเป็นรูปร่างของดรุณีที่สวมชุดผ้าทออย่างงามระหงส์ ร่างบางนั้นโปร่งแสงยืนอยู่ที่ปลายสะพานของฝั่งด้านเหนือ ก่อนที่จะค่อยๆก้าวขึ้นสะพานขึ้นมา ชายหนุ่มได้หันกลับไปมองตามเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา ร่างอันโปร่งใสของ โอริ หรือเจ้าหญิงทอหูกได้หยุดยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา นางมีรอยยิ้มที่สวยงามและสดใส ดวงตาดูเปี่ยมไปด้วยความสุขไม่แพ้ดวงตาของ โกโบชิ หรือชายหนุ่มเลี้ยงแกะเลย ชายหนุ่มจึงส่งรอยยิ้มกว้างและยื่นมือข้างหนึ่งไปหาเธอ เธอส่งมือมาประสานกับเขา ความรู้สึกอันอบอุ่น ความไว้วางใจ ความสุขที่ได้รอมาเนิ่นนานได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างอันโปร่งแสงบางเบาของทั้งสอง เวลานี้ทั้งคู่ได้ยืนอยู่ ณ กึ่งกลางของสะพานและจับมือกันไว้ เพียงแค่สบตา ไม่มีแม้แต่ถ้อยคำที่ปริออกมาเป็นเสียงพูด อาศัยเพียงเสียงของหัวใจที่กระซิบว่า ...
"ไม่ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปนานสักเพียงใด จะหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี ก็ไม่มีวันที่จะพรากความรักของเขาทั้งคู่ได้ ความห่างไกลไม่ใช่อุปสรรค์ต่อความรักที่ทั้งคู่มีให้กันเลยแม้แต่น้อย"
ความรักของเขาทั้งสองมีมากจนเปี่ยมล้นเสมือนกับแม่น้ำ"อามาโนคาว่า" (หรือสายน้ำแห่งสรวงสวรรค์บนทางช้างเผือก)ที่ทอดยาวและไหลรินอย่างไม่มีวันหยุด ไม่มีวันจบสิ้น
...
การที่คนรักทั้งสองคน ได้มาเจอกันเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น ฟังดูอาจเป็นเรื่องที่เศร้าอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สำหรับบางคนแล้ว การที่ได้มีความหวัง ว่าจะได้พบเจอคนที่เขารัก แม้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นต่างหาก ที่เป็นหัวใจสำคัญโดยแท้ และทำให้การมีชีวิตอยู่ มีคุณค่าและเพิ่มความหมายมากมายเกินจะพรรณนาได้หมดสิ้น ...
... ในวันที่ ๗ เดือน ๗ ปีนี้ คงมีอย่างน้อยสามคู่รัก ที่จะได้มาพบกัน ณ ทางช้างเผือก อันไกลโพ้น ...
เจ้าหญิงทอหูกกับชายหนุ่มเลี้ยงแกะ
อังศุมาลินกับโกโบริ
และ ...
... ผู้ที่มีหัวใจรักโดยปราศจากเหตุผล ที่ใช้ทั้งใจรอใครสักคนที่เป็นคู่แท้ให้กลับมา ...
(เห็นว่าแต่ละท้องถิ่นจะเล่าและแปลงเนื้อเรื่องต่างกันไป แต่เราว่าที่เราอ่านเจอเรื่องนี้ มันตรงกับที่พ่อโกได้เล่าให้อังซังฟังมากที่สุด ที่ทั้งคู่ถูกพ่อแม่กีดกัน สุดท้ายพระเอกก็ตายก่อนฝากวิญญานให้เทวดาพาไปอยู่ด้านทิศใต้ของทางช้างเผือก อ่านไปอ่านมาจิ้นหน้าโกโบชิ เป็นโกโบริ ซะงั้น เหอะๆๆๆ)... เนื้อเรื่องตอนท้ายๆเศร้าเหมือนพี่โกโบ้เลยอ่ะ Y^Y