สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีจริงต่อให้มีจริงก็ไม่น่ากลัวเชื่อไหม ผมพิสูจน์มาแล้วจะเล่าให้ฟัง

ผมจะเล่าเรื่องจริงให้ฟัง เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาประมาณ4ปีแล้ว ตอนนั้นแฟนเก่าบอกเลิก ผมโมโหผมก็เลยคว้า องค์พิฆเนศมาขว้างลงพื้น แล้วก็กระทืบๆๆๆ ให้หายแค้น (แค้นแฟนเก่านะ) ทำต่อหน้าแฟนเก่า เพราะผมเป็นสุภาพบุรุษครับ ผมไม่ทำร้ายร่างกายผู้หญิง
ผลที่ได้คือ ความสะใจครับ มีแค่นั้นจริงๆครับ เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วผมยังอยู่ปกติสุขดีครับ

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ผมมีสมมุติฐานอยู่ 2 ข้อคือ

1. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีจริง เพราะถ้ามีจริง องค์พิฆเนศก็จะต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ สั่งสอนให้ผมสำนึกแล้วล่ะ เหตุการณ์มันผ่านมานานแล้วนะ แล้วไม่ต้องมาแถหาว่าท่านทำให้ชีวิตไม่เจริญนะ เพราะคุณจะเอาอะไรมาเป็นตัวชี้วัด เพราะถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงก็แสดงฤทธิ์ปราบกันให้เห็นชัดๆเลยง่ายกว่าไหม

2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง แต่เราซึ่งเป็นคนธรรมดามีฤทธิ์มากกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงทำอะไรเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัว นับถือหรือติดสินบน(บนบานศาลกล่าว)

พวกคุณเห็นด้วยกับผมไหม

ปล. อธิบายเพิ่มเติม
1. เหตุการณ์ตอนนั้นผมไม่ได้ทำไปเพราะอยากลบหลู่หรือพิสูจน์นะครับ แต่ทำไปเพราะอารมย์โมโหชั่ววูบ แล้วในภายหลังผมจึงนำเหตุการณ์ครั้งนั้นมาวิเคราะห์ในเรื่องความมีอยู่จริงของไสยศาสตร์ครับ
2. ผมเป็นชาวพุทธ100% ครับ แต่ผมเชื่อในแนวปรัชญาคำสอน และปฏิเสธปาฏิหารย์ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 43
ในการปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธ ๕ แสนคน เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙นั้น มีพระภิกษุอยู่ในพิธี ร่วมเป็น สักขีพยาน ด้วย ๓ รูป คือ ท่านพระสังฆรัตนเถระ (Ven. M. Sangharatana Thera) พระสัทธราติสสะเถระ (Ven. S. Saddratissa Thera) และพระปัญญานันทะเถระ (Ven. Pannanand Thera) ในพิธีมีการประดับธงธรรมจักรและสายรุ้งอย่างงดงาม ในพิธีนั้น ผู้ ปฏิญาณตนได้กล่าวคำปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ และคำปฏิญญา ๒๒ ข้อ ของท่านอัมเดก้าร์

๑. ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป

๒. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป

๓. ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป

๔. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป

๕. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าคืออวตารของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้น คือคนบ้า

๖. ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูต่อไป

๗.ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า

๘. ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างไป

๙. ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน

๑๐. ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน

๑๑. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วน

๑๒. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ โดยครบถ้วน

๑๓. ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก

๑๔. ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น

๑๕. ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม

๑๖. ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด

๑๗. ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา

๑๘. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา

๑๙. ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ

๒๐.ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง

๒๑. ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง

๒๒. ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด

  หลังจากปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะแล้ว ดร.อัมเบดการ์กล่าวว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นฮินดู เพราะข้าพเจ้าควบคุมไม่ได้  แต่จะไม่ขอตายในฐานะฮินดู  แต่ขอตายในฐานะชาวพุทธ"

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
เท่าที่อ่านข้อมูลจากกระทู้นี้ ผมสรุปได้ว่า
ตกลงสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ต้องอาศัยคน(ที่งมงาย)มาปกป้องตัวสิ่งศักดิ์สิทธ์เองใช่ไหม
ดังนั้น ถ้าไม่มีคนเชื่อ คนนับถือ สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายก็ไม่ศักด์สิทธ์นะซิ
ความคิดเห็นที่ 1
ผมว่าคุณไร้สาระ และสมเพชตัวเองที่เสียเวลาเข้ามาอ่าน
ความคิดเห็นที่ 6
แฟนบอกเลิก แทนที่จะถามว่าทำไมถึงเลิก ดันไปกระทืบรูปปั้นพระพิฆเนศ
เพราะเหตุผลว่าเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ทำร้ายผู้หญิง

ตกลงพระพิฆเนศวร์เกี่ยวอะไรด้วยหว่า?

แถมยังมาภูมิอกภูมิใจว่าทำแล้วไม่เห็นมีอะไรเกิดขี้น?

ไม่ว่าพระพิฆเนศวร์มีหรือไม่มี ท่านคงนึกในใจว่า ตกลงข้าไปเกี่ยวอะไรด้วยฟระเนี่ย
ข้าอยู่หน้ารถดีๆ เอ็งหยิบข้ามากระทืบโดยไม่มีเหตุผลเองนะเฟร้ย
ความคิดเห็นที่ 91
ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่เชื่อในศักยภาพของมนุษย์ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ "ด้วยความเพียรของตน"

กล่าวคือ ศาสนาพุทธสอนให้มนุษย์บันดาลชีวิตของตนเองด้วยผลแห่งการกระทำของตน ตาม กฎแห่งกรรม "มิได้มาจากการอ้อนวอนขอจาก

พระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย" คือ ให้พึ่งตนเอง เพื่อพาตัวเองออกจากกอง ทุกข์ มีจุดมุ่งหมายคือการสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์

ทั้งปวงในโลกด้วยวิธีการสร้าง ปัญญา ในการอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริง วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนา คือ การหลุดพ้นจาก

ความทุกข์ทั้งปวงและวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด เช่นเดียวกับที่พระศาสดาทรงหลุดพ้นได้ด้วยกำลังสติปัญญาและความเพียรของพระองค์เอง ใน

ฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์ มิใช่เทพเจ้าหรือทูตของพระเจ้าองค์ใด

พุทธองค์สอนว่า มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถูกความกลัวคุกคามเอาแล้ว ย่อมยึดถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง สวนศักดิ์สิทธิ์บ้าง รุกขเจดีย์บ้างว่าเป็นที่พึ่งของตน ๆ : นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันทำความเกษมให้ได้เลย, นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด; ผู้ใดถือเอาสิ่งนั้น ๆ เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง ได้.

ส่วนผู้ใด ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว
เห็นอริยสัจทั้งสี่ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง คือ เห็นทุกข์, เห็นเหตุเป็นเครื่องให้เกิดขึ้นของทุกข์ เห็นความก้าวล่วงเสียได้ซึ่งทุกข์, และเห็นมรรค ประกอบด้วยองค์แปด อันประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงความเข้าไปสงบรำงับแห่งทุกข์ : นั่นแหละคือ ที่พึ่งอันเกษม. นั่นคือ ที่พึ่งอันสูงสุด
ผู้ใดถือเอาที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นไปจาทุกข์ทั้งปวง ได้แท้

ตามนั้นครับ
ความคิดเห็นที่ 24
คนเชื่อก็ว่าคนไม่เชื่อสติไม่ดี

คนไม่เชื่อก็ว่าคนเชื่อสติไม่ดี

เอาเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่ามั๊ย

เชื่อก็เชื่อไป ไม่ต้องมาว่าคนไม่เชื่อว่าเป็นคนไม่ดี

ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อไป แต่ก็ไม่ต้องไปลบหลู่ต่อหน้าคนที่เชื่อ

ปล.ผมไม่เชื่อและต่อต้านอย่างรุนแรง ทุกสิ่งทุกอย่างให้ชีวิตมนุษย์ อยู่ที่ มือ เท้า ความพยายาม สิ่งศักดิ์สิทธ์ไม่ได้หาเลี้ยงผมและครอบครับ มือเท้าผมเนี่ยแหละ ที่หาเลี้ยงครอบครัว ตัวผมเองไม่เคยไหว้พระ ไม่เคยไหว้อะไรที่คนอื่นไหว้เลย ชีวิตผมก็ปรกติสุขดีนะ
ตอนนี้ผมไม่มีศาสนาครับ ยังหาที่มันโดนใจไม่ได้เลยครับ นับถือตัวเอง ไม่ดูถูกคนอื่น พอหละ ฮี่ ฮี่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่