ภาคฤดูร้อน ซัมเมอร์! summer! surprise!
หลาย ๆ คน ที่เปิดนักเรียน นักศึกษา น่าจะไม่ค่อยชอบคำนี้เท่าไหร่ เพราะบ้านเราเมืองไทย ช่วงเวลานี้ คือช่วงที่ควรจะหยุดพักผ่อนยาว ๆ โอกาสที่เด็กหัวเกรียน จะได้ไว้ผมยาว ทำสีผมตามที่อยาก เลียนแบบ ฮิเดะ!
แต่ในมุมของผู้สอน จะถูกแบ่งออกได้สองกลุ่ม
กลุ่มที่ 1 เบื่อหน่าย
กลุ่มที่ 2 ผ่อนคลาย
กลุ่มที่ 1 ก่อน เป็นกลุ่มที่ต้องโดนสอนซัมเมอร์มาโดยตลอด อาจโดนบังคับโดยหลักสูตร ทำให้ช่วงเวลาที่ควรจะได้พักผ่อนหายไป อยากจะลา ก็ไม่อยากเพราะช่วงเวลาซัมเมอร์ ทุกอย่างต้อง x2 ทั้งหมด ด้วยเวลาที่มันสั้นกว่า เกิดลาไป ต้องกลับมาชดเชยกันอ่วม (ยกเว้นคนที่สอนเป็นงานอดิเรก แต่เบิกเต็ม)
กลุ่มที่ 2 ผ่อนคลาย เป็นกลุ่มที่สอนบ้าง ไม่สอนบ้าง หมายถึง มีซัมเมอร์บ้าง ไม่มีซัมเมอร์บ้าง ไม่ได้โดนบังคับโดยหลักสูตร แต่โดนบังคับโดยเด็กที่ตก หรือมีความประสงค์ขอเรียน กลุ่มนี้ไม่มีสอนก็ไม่เป็นไร มีสอนก็ดีกว่า เพราะมันหมายถึงรายได้ที่พึงได้รับพิเศษ นอกเหนือจากที่จะช่วยให้นักศึกษาเรียนผ่านเพิ่มขึ้น (หรือเปล่า) ซึ่งก็ถือเสียว่าเป็นผลประโยชน์ที่พึงได้รับ และต่างตอบแทนกันไป หยวนๆ
ที่จริงแล้ว นอกเหนือจากสองกลุ่มนี้ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเล็กน้อย ก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านจะนำไปเหมารวมกับกลุ่มใดในข้างต้น
พฤติกรรมบังคับให้อาจารย์สอน ซึ่งเกิดจากนักศึกษามาทำคำร้องขอให้เปิด เพื่อตัวเองจะได้เรียนรายวิชาลดลงในภาคเรียนถัดไป จะได้มีเวลาทุ่มเทกับโครงงานได้เต็มที่ขึ้น เหตุผลที่แสดงออกมา ถือว่าน่าฟังเพราะเป็นเหตุผลในทางบวก แต่พอลองกระซิบถามกันบอกว่า เอาจริงๆซิ ก็ได้คำตอบว่า เรียนซัมเมอร์แล้วมันน่าจะจบง่ายครับ วิชายาก ๆ ทั้งหลาย เอามาใส่ซัมเมอร์ซะ มันจะกลายเป็นวิชาที่ง่ายในบัดดล (ผู้สอนทั้งหลายที่ยังไม่ทราบ และที่ทราบแต่ทำเป็นเนียนไม่รู้ พึงรับรู้ไว้นะครับว่าเด็กส่วนหนึ่งเขาคิดแบบนี้) ผู้เรียนที่คาดหวังว่า ซัมเมอร์ คือช่วงเวลา ปลดปล่อยพันธนาการ จากความยาก เปรียบเสมือนช่วงวเลาแห่งทอง ในวงการนักศึกษา วิชาไหนที่ คนสอนเขี้ยว ๆ ก็จะได้ลดบทบาทความเขี้ยวลง ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร (เพราะสอนไม่พอ เลยไม่กล้าตัดตก หรือเพราะอารมณ์ดีเพราะมีค่าตอบแทน คริคริ)
อีกพฤติกรรมที่เกิดหลังจากข้างต้น คือ เนียน ๆ ขอเรียนด้วยนะค้าบพี่ หมายถึง กลุ่มนักศึกษารุ่นน้องที่ยังเดินผ่านหลักสูตรมาไม่ถึงหรอก แต่อยากเรียนก่อน เพราะได้ยินกิตติศัพท์ผู้สอนบางท่านว่า "โหดชิ่หัย" เมื่อเห็นว่าวิชานี้เปิด ไปลงซะเลยแล้วกัน ประมาณนั้น อันนี้ก็ไม่รู้จะห้ามได้ยังไง ในเมื่อ กลุ่มเรียนนั้นเปิดขึ้นมา จะมีการระบุจำนวนของนักศึกษาที่สามารถลงห้องเรียนได้ (ตามมาตรฐานของสถาบันการศึกษาที่มีมาตรฐาน จะมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าเรียนไว้ตามเกณฑ์อัตราส่วนผู้เรียน/ผู้สอนอยู่ครับ เรื่องจริ๊ง) แต่ก็มินำพา สำหรับสถาบันการศึกษาที่มีมาตรฐานหลอกๆ
ดังนั้น ในมุมมองของเค๊า (ออกตัวก่อน เดี๋ยวจะโดนรุมด่าหนัก) มองว่า
ซัมเมอร์มันมีทั้งประโยชน์และไร้ประโยชน์ทางวิชาการ แต่เราสามารถปรับแต่งให้มันมีประโยชน์เพียงอย่างเดียวได้
เพียงแค่ ควบคุมคุณภาพของการจัดการเรียนการสอน ไม่ให้หย่อนยานไปกว่าการเรียนการสอนภาคเรียนปกติ
แต่เชื่อเหอะ เค๊า เคยลองมาก่อน มันควบคุมคุณภาพยากมาก ใครทำได้ตบมือให้เลยว่าเก่ง เอ้า มือไม่พอ ตบเท้าให้ด้วยเอ๊า...
ภาคฤดูร้อน กับมุมมองของเค๊า ช่วงนี้คือ ซัมเมอร์
หลาย ๆ คน ที่เปิดนักเรียน นักศึกษา น่าจะไม่ค่อยชอบคำนี้เท่าไหร่ เพราะบ้านเราเมืองไทย ช่วงเวลานี้ คือช่วงที่ควรจะหยุดพักผ่อนยาว ๆ โอกาสที่เด็กหัวเกรียน จะได้ไว้ผมยาว ทำสีผมตามที่อยาก เลียนแบบ ฮิเดะ!
แต่ในมุมของผู้สอน จะถูกแบ่งออกได้สองกลุ่ม
กลุ่มที่ 1 เบื่อหน่าย
กลุ่มที่ 2 ผ่อนคลาย
กลุ่มที่ 1 ก่อน เป็นกลุ่มที่ต้องโดนสอนซัมเมอร์มาโดยตลอด อาจโดนบังคับโดยหลักสูตร ทำให้ช่วงเวลาที่ควรจะได้พักผ่อนหายไป อยากจะลา ก็ไม่อยากเพราะช่วงเวลาซัมเมอร์ ทุกอย่างต้อง x2 ทั้งหมด ด้วยเวลาที่มันสั้นกว่า เกิดลาไป ต้องกลับมาชดเชยกันอ่วม (ยกเว้นคนที่สอนเป็นงานอดิเรก แต่เบิกเต็ม)
กลุ่มที่ 2 ผ่อนคลาย เป็นกลุ่มที่สอนบ้าง ไม่สอนบ้าง หมายถึง มีซัมเมอร์บ้าง ไม่มีซัมเมอร์บ้าง ไม่ได้โดนบังคับโดยหลักสูตร แต่โดนบังคับโดยเด็กที่ตก หรือมีความประสงค์ขอเรียน กลุ่มนี้ไม่มีสอนก็ไม่เป็นไร มีสอนก็ดีกว่า เพราะมันหมายถึงรายได้ที่พึงได้รับพิเศษ นอกเหนือจากที่จะช่วยให้นักศึกษาเรียนผ่านเพิ่มขึ้น (หรือเปล่า) ซึ่งก็ถือเสียว่าเป็นผลประโยชน์ที่พึงได้รับ และต่างตอบแทนกันไป หยวนๆ
ที่จริงแล้ว นอกเหนือจากสองกลุ่มนี้ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเล็กน้อย ก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านจะนำไปเหมารวมกับกลุ่มใดในข้างต้น
พฤติกรรมบังคับให้อาจารย์สอน ซึ่งเกิดจากนักศึกษามาทำคำร้องขอให้เปิด เพื่อตัวเองจะได้เรียนรายวิชาลดลงในภาคเรียนถัดไป จะได้มีเวลาทุ่มเทกับโครงงานได้เต็มที่ขึ้น เหตุผลที่แสดงออกมา ถือว่าน่าฟังเพราะเป็นเหตุผลในทางบวก แต่พอลองกระซิบถามกันบอกว่า เอาจริงๆซิ ก็ได้คำตอบว่า เรียนซัมเมอร์แล้วมันน่าจะจบง่ายครับ วิชายาก ๆ ทั้งหลาย เอามาใส่ซัมเมอร์ซะ มันจะกลายเป็นวิชาที่ง่ายในบัดดล (ผู้สอนทั้งหลายที่ยังไม่ทราบ และที่ทราบแต่ทำเป็นเนียนไม่รู้ พึงรับรู้ไว้นะครับว่าเด็กส่วนหนึ่งเขาคิดแบบนี้) ผู้เรียนที่คาดหวังว่า ซัมเมอร์ คือช่วงเวลา ปลดปล่อยพันธนาการ จากความยาก เปรียบเสมือนช่วงวเลาแห่งทอง ในวงการนักศึกษา วิชาไหนที่ คนสอนเขี้ยว ๆ ก็จะได้ลดบทบาทความเขี้ยวลง ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร (เพราะสอนไม่พอ เลยไม่กล้าตัดตก หรือเพราะอารมณ์ดีเพราะมีค่าตอบแทน คริคริ)
อีกพฤติกรรมที่เกิดหลังจากข้างต้น คือ เนียน ๆ ขอเรียนด้วยนะค้าบพี่ หมายถึง กลุ่มนักศึกษารุ่นน้องที่ยังเดินผ่านหลักสูตรมาไม่ถึงหรอก แต่อยากเรียนก่อน เพราะได้ยินกิตติศัพท์ผู้สอนบางท่านว่า "โหดชิ่หัย" เมื่อเห็นว่าวิชานี้เปิด ไปลงซะเลยแล้วกัน ประมาณนั้น อันนี้ก็ไม่รู้จะห้ามได้ยังไง ในเมื่อ กลุ่มเรียนนั้นเปิดขึ้นมา จะมีการระบุจำนวนของนักศึกษาที่สามารถลงห้องเรียนได้ (ตามมาตรฐานของสถาบันการศึกษาที่มีมาตรฐาน จะมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าเรียนไว้ตามเกณฑ์อัตราส่วนผู้เรียน/ผู้สอนอยู่ครับ เรื่องจริ๊ง) แต่ก็มินำพา สำหรับสถาบันการศึกษาที่มีมาตรฐานหลอกๆ
ดังนั้น ในมุมมองของเค๊า (ออกตัวก่อน เดี๋ยวจะโดนรุมด่าหนัก) มองว่า
ซัมเมอร์มันมีทั้งประโยชน์และไร้ประโยชน์ทางวิชาการ แต่เราสามารถปรับแต่งให้มันมีประโยชน์เพียงอย่างเดียวได้
เพียงแค่ ควบคุมคุณภาพของการจัดการเรียนการสอน ไม่ให้หย่อนยานไปกว่าการเรียนการสอนภาคเรียนปกติ
แต่เชื่อเหอะ เค๊า เคยลองมาก่อน มันควบคุมคุณภาพยากมาก ใครทำได้ตบมือให้เลยว่าเก่ง เอ้า มือไม่พอ ตบเท้าให้ด้วยเอ๊า...