สมัคร pantip มาเพื่อการนี้เลยค่ะ ตอนนี้รำคาญมาก เรื่องของเรื่องก็คือ เรามีเพื่อนอยู่คนนึง รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยค่ะ ตอนเรียนก็คุยๆกันมาตลอดเรื่องเรียนจบแล้วจะหางานทำสักสามสี่ปีแล้วไปเรียนต่อ MBA อเมริกาด้วยกัน เพื่อนเราคนนี้ชอบแข่งขันอยู่ลึกๆค่ะ เรารำคาญมาก คือตอนเรียนได้เกรดเท่าไหร่ก็เอามาเทียบกับของเรา แรกๆก็เฉยๆนะ แต่หลังๆนี่ทำไมถามตลอดแม้กระทั่งอ่านหนังสือถึงไหนแล้ว
พอเรียนจบ ทั้งเราและเค้าก็ต่างได้ที่ทำงานที่ดีทั้งคู่ เป็นบริษัทต่างชาติทั้งสองบริษัท เงินเดือนเราได้เยอะกว่านิดนึง (อย่างที่บอกเพื่อนเราคนนี้ชอบเปรียบเทียบเรากับตัวเค้ามาก ทำให้เรารู้เงินเดือนของเค้า) จนทำงานมาได้เกือบๆสี่ปี ก็เริ่มสอบวัดภาษาอังกฤษกัน เราสอบ ielts ครั้งแรกได้ 7 ครั้งสองก็ยังได้ 7.5 ก็โอเค คิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว แต่เพื่อนของเราคนนี้สอบสามครั้งก็ยังได้ 6.5 (สอบที่เดียวกัน วันเดียวกัน ด้วย คุณเธอ request เองเลย --)
พอมาถึงตรงนี้ ทำให้เป้าหมายองเพื่อนเราเปลี่ยนไป เพราะว่าคะแนนภาษาอังกฤษเท่าที่รู้ทางอเมริกาค่อนข้างซีเรียสมาก และไม่มี pre-sessional course เหมือนฝั่งอังกฤษ ทำให้เพื่อนเราเลือกสมัครเรียนที่อังกฤษแทน ทั้งๆที่เราได้พร่ำบอกว่าให้มาเรียนอเมริกา พยายามอีกนิดเดียวเอง (ทางมหาลัยต้องการ 7) แต่เธอก็บอกว่าเธออยากเรียนอังกฤษมากกว่า เนี่ยะ ดู world ranking สิ ดีกว่ามหาลัยที่เราอยากจะเข้าอีก แต่เราไม่ได้สนใจ เพราะเป้าหมายเราคืออเมริกาเท่านั้น จากนั้นเธอก็ไม่แคร์บอกไปอังกฤษแทน (อ้อ อีกเรื่องคือเธอไม่ได้สมัครสาขา MBA นะคะ เปลี่ยนใจไปสมัครทางด้าน Marketing แทน)
ถ้าใครเคยเตรียมตัวสมัครเรียน MBA ที่อเมริกาจะรู้ว่าคะแนนภาษาอังกฤษอย่างเดียวไม่พอ ยังจะต้องมี GMAT อีก เราเลยตัดสินใจลาออกจากงานมาเพื่อเตรียมตัวเต็มที่ (เพื่อนเรายังทำอยู่เพราะใช้คะแนน IELTS ยื่นอย่างเดียว) เราให้เวลากับ GMAT สามเดือนแล้วก็ไปสอบ ได้คะแนนไม่เยอะมาก ประมาณหกร้อยนิดๆ ซึ่งเรามองว่าก็น่าจะเพียงพอที่จะสมัครมหาลัยระดับกลางๆของอเมริกาได้แล้ว หลังจากนั้นเราก็ต้องเตรียมเขียน essay และอย่างที่รู้ๆกันค่ะ essay แต่ละมหาลัยก็มีคำถามที่แตกต่างกันไป บางที่ต้องส่งสามฉบับ ทำให้เราค่อนข้างเครียดมากๆ
ระหว่างที่เราเตรียมตัวพวกนี้ เพื่อนเราก็ได้ conditional offer มาจากยูฝั่งอังกฤษ โดยต้องไปเรียน pre-sessional course ก่อนแล้วทำคะแนนให้ผ่าน (ไม่มีสัมภาษณ์) เราก็เลยบอกว่า ยินดีด้วยยยนะ ยังไงก็ลองสอบฝั่งไทยให้ได้ก่อนจะได้ไม่ต้องไปเรียนพรีคอร์ส เธอก็อืมๆเหมือนไม่สนใจสิ่งที่เราพูด แต่สิ่งที่ทำให้เราจี๊ดก็คือ เธอตอบกลับมาว่า "แล้วของแกละ ได้ยูบ้างรึยัง นี่ชั้นได้แล้วนะ"
ณ ตอนนั้นเราแอบท้อนิดนึงตรงที่ว่าเพื่อนเราสบายแล้ว เรายังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย essay ก็ยังไม่สมบูรณ์ดี ก็เลยตอบไปประมาณว่า "essay ยังไม่ดีเลย อ่านแล้วมันไม่น่าดึงดูด" แต่เรื่องจริงๆมันมาเกิดขึ้นหลังจากที่เพื่อนเราเที่ยวไปโม้กับเพื่อนๆค่ะ เราไม่ได้อะไรมากนะแต่เรารำคาญที่เพื่อนเรา(คนอื่น)คอยถามเราว่า "แกยังไม่ได้มหาลัยอีกเหรอ xxx มันได้ตั้งนานแล้วนะ" เราก็ไม่รู้จะตอบยังไง เราก็บอกว่าเราเตรียมตัวอยู่ วุ่นวายพอสมควรเลย อะไรประมาณนี้
เรามีเพื่อนเยอะค่ะ แล้วบางครั้งก็เหนื่อยที่ต้องมานั่งตอบคำถามเพื่อนทีละคนว่าเราต้องเตรียมโน่นเตรียมนี่ คือคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า process ในการสมัครมหาลัยของ US กับ UK นั้นเหมือนกัน (แต่เราไม่เคยพูดนะคะว่าเพื่อนเราติด conditional offer,ไม่ต้องสอบ GMAT, essay เขียนนิดเดียว มี agency review ให้, ไม่ต้องมี interview เพราะเรามองว่าบอกไปมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา) อย่างล่าสุดไปดูหนังกับเพื่อนสี่คน ก็ได้แต่บอกว่าอยู่ในช่วงเวลาเตรียมตัวอยู่ ... คิดในใจ "แกลองมาสมัครเองบ้างแล้วแกจะรู้ TwT"
ตั้งกระทู้มาก็ไม่ได้อะไรมากหรอกค่ะ เพียงแต่อยากระบายว่ามันเหนื่อย เซ็ง เครียด กับการที่มีคนมาคอยถาม มีคนมาคอยทับถม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเพื่อนเราด้วยที่ชอบทำตัวเปรียบเทียบกับเราตลอดตั้งแต่มหาลัยแล้ว ทำให้เวลาพูดถึงเพื่อนเราคนอื่นๆก็จะนึกถึงเราด้วย เพราะมีแพลนจะไปเรียนต่อเหมือนกัน
ตอนนี้เราก็มีเรียกสัมภาษณ์สองที่ (เราเลือกช่วงมหาลัยอยู่ที่ top 50-100 จาก USNEWS ปีล่าสุดค่ะ) ก็ยังต้องมานั่งเตรียมสัมภาษณ์อีก ชีวิตหนอชีวิต TwT นี่เราคาดการณ์ไว้เลยว่าถ้าสมมติเราได้มหาลัยมา ก็ถูกเอามาเปรียบเทียบเรื่อง ranking อีก -.-
ปล บางครั้งเรายังสงสัยเลยนะ ที่คนไปจบ MBA อเมริกามาปาวๆเนี่ยะ ทำไมบางคนได้ไปง่ายๆ บอกตามตรงว่าตอนแรกเราค่อนข้างประมาทกับขั้นตอนการสมัครไปหน่อย เพราะเห็นเพื่อนเราที่ไปเรียนก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากเท่าไหร่ แต่ทำไมพอมาทำเองมันยุ่งยากกว่าที่คิดไว้มาก ทั้ง ielts/gmat/essay/interview ยังไม่นับพวก VISA อีกฮืออออ
เคยไหมคะ เพื่อนชอบเปรียบเทียบตัวเรากับเค้า ชอบแข่งขันกับเราอยู่เสมอ
พอเรียนจบ ทั้งเราและเค้าก็ต่างได้ที่ทำงานที่ดีทั้งคู่ เป็นบริษัทต่างชาติทั้งสองบริษัท เงินเดือนเราได้เยอะกว่านิดนึง (อย่างที่บอกเพื่อนเราคนนี้ชอบเปรียบเทียบเรากับตัวเค้ามาก ทำให้เรารู้เงินเดือนของเค้า) จนทำงานมาได้เกือบๆสี่ปี ก็เริ่มสอบวัดภาษาอังกฤษกัน เราสอบ ielts ครั้งแรกได้ 7 ครั้งสองก็ยังได้ 7.5 ก็โอเค คิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว แต่เพื่อนของเราคนนี้สอบสามครั้งก็ยังได้ 6.5 (สอบที่เดียวกัน วันเดียวกัน ด้วย คุณเธอ request เองเลย --)
พอมาถึงตรงนี้ ทำให้เป้าหมายองเพื่อนเราเปลี่ยนไป เพราะว่าคะแนนภาษาอังกฤษเท่าที่รู้ทางอเมริกาค่อนข้างซีเรียสมาก และไม่มี pre-sessional course เหมือนฝั่งอังกฤษ ทำให้เพื่อนเราเลือกสมัครเรียนที่อังกฤษแทน ทั้งๆที่เราได้พร่ำบอกว่าให้มาเรียนอเมริกา พยายามอีกนิดเดียวเอง (ทางมหาลัยต้องการ 7) แต่เธอก็บอกว่าเธออยากเรียนอังกฤษมากกว่า เนี่ยะ ดู world ranking สิ ดีกว่ามหาลัยที่เราอยากจะเข้าอีก แต่เราไม่ได้สนใจ เพราะเป้าหมายเราคืออเมริกาเท่านั้น จากนั้นเธอก็ไม่แคร์บอกไปอังกฤษแทน (อ้อ อีกเรื่องคือเธอไม่ได้สมัครสาขา MBA นะคะ เปลี่ยนใจไปสมัครทางด้าน Marketing แทน)
ถ้าใครเคยเตรียมตัวสมัครเรียน MBA ที่อเมริกาจะรู้ว่าคะแนนภาษาอังกฤษอย่างเดียวไม่พอ ยังจะต้องมี GMAT อีก เราเลยตัดสินใจลาออกจากงานมาเพื่อเตรียมตัวเต็มที่ (เพื่อนเรายังทำอยู่เพราะใช้คะแนน IELTS ยื่นอย่างเดียว) เราให้เวลากับ GMAT สามเดือนแล้วก็ไปสอบ ได้คะแนนไม่เยอะมาก ประมาณหกร้อยนิดๆ ซึ่งเรามองว่าก็น่าจะเพียงพอที่จะสมัครมหาลัยระดับกลางๆของอเมริกาได้แล้ว หลังจากนั้นเราก็ต้องเตรียมเขียน essay และอย่างที่รู้ๆกันค่ะ essay แต่ละมหาลัยก็มีคำถามที่แตกต่างกันไป บางที่ต้องส่งสามฉบับ ทำให้เราค่อนข้างเครียดมากๆ
ระหว่างที่เราเตรียมตัวพวกนี้ เพื่อนเราก็ได้ conditional offer มาจากยูฝั่งอังกฤษ โดยต้องไปเรียน pre-sessional course ก่อนแล้วทำคะแนนให้ผ่าน (ไม่มีสัมภาษณ์) เราก็เลยบอกว่า ยินดีด้วยยยนะ ยังไงก็ลองสอบฝั่งไทยให้ได้ก่อนจะได้ไม่ต้องไปเรียนพรีคอร์ส เธอก็อืมๆเหมือนไม่สนใจสิ่งที่เราพูด แต่สิ่งที่ทำให้เราจี๊ดก็คือ เธอตอบกลับมาว่า "แล้วของแกละ ได้ยูบ้างรึยัง นี่ชั้นได้แล้วนะ"
ณ ตอนนั้นเราแอบท้อนิดนึงตรงที่ว่าเพื่อนเราสบายแล้ว เรายังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย essay ก็ยังไม่สมบูรณ์ดี ก็เลยตอบไปประมาณว่า "essay ยังไม่ดีเลย อ่านแล้วมันไม่น่าดึงดูด" แต่เรื่องจริงๆมันมาเกิดขึ้นหลังจากที่เพื่อนเราเที่ยวไปโม้กับเพื่อนๆค่ะ เราไม่ได้อะไรมากนะแต่เรารำคาญที่เพื่อนเรา(คนอื่น)คอยถามเราว่า "แกยังไม่ได้มหาลัยอีกเหรอ xxx มันได้ตั้งนานแล้วนะ" เราก็ไม่รู้จะตอบยังไง เราก็บอกว่าเราเตรียมตัวอยู่ วุ่นวายพอสมควรเลย อะไรประมาณนี้
เรามีเพื่อนเยอะค่ะ แล้วบางครั้งก็เหนื่อยที่ต้องมานั่งตอบคำถามเพื่อนทีละคนว่าเราต้องเตรียมโน่นเตรียมนี่ คือคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า process ในการสมัครมหาลัยของ US กับ UK นั้นเหมือนกัน (แต่เราไม่เคยพูดนะคะว่าเพื่อนเราติด conditional offer,ไม่ต้องสอบ GMAT, essay เขียนนิดเดียว มี agency review ให้, ไม่ต้องมี interview เพราะเรามองว่าบอกไปมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา) อย่างล่าสุดไปดูหนังกับเพื่อนสี่คน ก็ได้แต่บอกว่าอยู่ในช่วงเวลาเตรียมตัวอยู่ ... คิดในใจ "แกลองมาสมัครเองบ้างแล้วแกจะรู้ TwT"
ตั้งกระทู้มาก็ไม่ได้อะไรมากหรอกค่ะ เพียงแต่อยากระบายว่ามันเหนื่อย เซ็ง เครียด กับการที่มีคนมาคอยถาม มีคนมาคอยทับถม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเพื่อนเราด้วยที่ชอบทำตัวเปรียบเทียบกับเราตลอดตั้งแต่มหาลัยแล้ว ทำให้เวลาพูดถึงเพื่อนเราคนอื่นๆก็จะนึกถึงเราด้วย เพราะมีแพลนจะไปเรียนต่อเหมือนกัน
ตอนนี้เราก็มีเรียกสัมภาษณ์สองที่ (เราเลือกช่วงมหาลัยอยู่ที่ top 50-100 จาก USNEWS ปีล่าสุดค่ะ) ก็ยังต้องมานั่งเตรียมสัมภาษณ์อีก ชีวิตหนอชีวิต TwT นี่เราคาดการณ์ไว้เลยว่าถ้าสมมติเราได้มหาลัยมา ก็ถูกเอามาเปรียบเทียบเรื่อง ranking อีก -.-
ปล บางครั้งเรายังสงสัยเลยนะ ที่คนไปจบ MBA อเมริกามาปาวๆเนี่ยะ ทำไมบางคนได้ไปง่ายๆ บอกตามตรงว่าตอนแรกเราค่อนข้างประมาทกับขั้นตอนการสมัครไปหน่อย เพราะเห็นเพื่อนเราที่ไปเรียนก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากเท่าไหร่ แต่ทำไมพอมาทำเองมันยุ่งยากกว่าที่คิดไว้มาก ทั้ง ielts/gmat/essay/interview ยังไม่นับพวก VISA อีกฮืออออ