ความอัศจรรย์ใจของคนนอกศาสนาที่มีต่อพระพุทธศาสนาจนทำให้ คนนอกศาสนามารับใช้พระพุทธศาสนา

โดย ดร. ดาราวรรณ เด่นอุดม
                  บารมีพระศาสนา
ชีวิต ของข้าพเจ้ารอดพ้นความตายมาได้อย่างเหลือเชื่อก็เพราะบารมีของพระพุทธศาสนา เมื่อองค์หลวงตามหาบัวได้เมตตาต่อชีวิตให้ ด้วยเหตุผลว่า “คนๆ นี้เขาเป็นกำลังหลักของพระศาสนา” ( อ่านรายละเอียดได้จาก “หลวงตา...วัดป่าบ้านตาด ๑ฯ” หน้า ๔๒๓ “ความอัศจรรย์มีจริง” )              
                     คำ พูดของหลวงตาข้างต้นนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้ได้ยินกับหูของตัวเอง เพราะช่วงนั้นหมดสติและอาการอยู่ในขั้นโคม่า ท่านปิ๋วได้เล่าให้ฟังในภายหลัง ต่อมาจึงได้ยินด้วยตัวเองที่สวนแสงธรรมในคืนหนึ่ง หลังจากฟังเทศน์เสร็จ ผู้คนกลับเกือบหมดแล้ว เหลือแต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเพียง ๗-๘ คน ข้าพเจ้าจึงเข้าไปกราบเรียนท่านว่าจะกลับโคราชแล้ว ท่านชี้มาที่ข้าพเจ้า แล้วพูดกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ว่า “คนนี้เขาเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนานะ สำคัญมากด้วย เป็นด็อกเตอร์ด้วย แล้วยังมาช่วยงานพระศาสนา”
                       คำ พูดของหลวงตาไม่ได้ทำให้จิตของข้าพเจ้าฟูด้วยความลิงโลดหลงตัวเองแต่อย่างใด หากแต่ทำให้มีกำลังใจที่จะมุ่งหน้ารับใช้พระศาสนาโดยไม่หวั่นไหวต่อปัญหา อุปสรรคทั้งปวง แต่อีกจิตหนึ่งนึกสงสัยอยู่ว่าหลวงตาทราบได้อย่างไรว่างานหลักในชีวิตของ ข้าพเจ้าคืองานรับใช้พระศาสนา เพราะเท่าที่นึกได้ ข้าพเจ้าแทบไม่เคยมีโอกาสได้กราบเรียนถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่อง เป็นราวสักที ถ้ามีโอกาสได้พูดคุยกับท่าน ก็มักจะกราบเรียนถามเกี่ยวกับการภาวนา (ซึ่งแม้โอกาสเช่นนี้ก็มีเพียงไม่กี่ครั้งและไม่ได้สนทนานานนัก รีบถามรีบจบ และหลวงตาก็ตอบสั้นๆ รีบตอบรีบจบเหมือนกัน ไม่ยืดเยื้อแต่อย่างใด)      นึกทบทวนคำพูดของหลวงตาและชีวิตการทำงานด้าน พระศาสนาของข้าพเจ้าแล้ว ก็นึกแปลกใจในชะตาชีวิตของตัวเอง เหมือนชะตากรรมเล่นตลก ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องรับบทบาทสำคัญนี้ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้เกิดมาแล้วนับถือพระพุทธศาสนา เพิ่งจะมารู้คุณค่าและเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาเมื่ออายุ ๒๙ ปี แล้วก็ ไม่เคยมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะอุทิศชีวิตเพื่อทำงานรับใช้พระศาสนามาก่อน เลย
                     ฝันบอกเหตุ
ความฝันนี้น่าจะเป็นนิมิตบอกเหตุ มันไม่ใช่ฝันธรรมดาที่ตื่นมาแล้วก็ลืมไป แต่ข้าพเจ้ายังจำความฝันนี้ได้ติดตาติดใจ แม้ว่าเวลาจะผ่านไป ๕๐ กว่าปีแล้ว
ตอน นั้นข้าพเจ้าอายุยังไม่ถึง ๑๐ ขวบ นับถือศาสนาที่เป็นเทวนิยม (นับถือพระเจ้า) เป็นเด็กที่มีนิสัยใฝ่ใจในเรื่องศาสนา ชอบไปฟังการบรรยายธรรม ชอบการสวดมนต์ สนใจศึกษาเกี่ยวกับศาสนา จนได้เป็นตัวแทนโรงเรียน (เป็นโรงเรียนสอนศาสนา) ไปตอบปัญหาธรรมะและปาฐกถาธรรมได้รางวัลมาบ่อยๆ
               คืนหนึ่ง ฝันไปว่า ข้าพเจ้าเข้าไปร่วมสวดมนต์กับผู้คนจำนวนมาก ทุกคนหันหน้าไปทางทิศตะวันตก (ตามหลักศาสนา เวลาสวดมนต์ต้องหันหน้าไปทางทิศซึ่งเป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ เป็นศูนย์รวมใจของศาสนิกชนของศาสนานี้ ซึ่งในประเทศไทยกำหนดเป็นทิศตะวันตก) มีข้าพเจ้าเพียงคนเดียวที่นั่งหันหลังให้ทิศนี้ ข้าพเจ้าตื่นจากความฝันด้วยความกลัว เพราะคิดว่าการหันหลังให้ทิศนี้ เหมือนเป็นการปฏิเสธพระเจ้า เราต้องตกนรกแน่ๆ แม้จะเป็นความฝันก็ยังกลัวอยู่ดี
           อีกครั้ง ฝันเห็นเทวดา ปรากฏเงาลงบนผ้าปูที่นอนที่นอนอยู่ ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นมากราบเทวดา ความรู้สึกตอนนั้น (ยังจำได้ไม่ลืม) เหมือนไม่ใช่ฝัน แต่ลุกขึ้นมากราบจริงๆ ตื่นเช้ามา ใจสั่น หวาดกลัว กลัวตกนรก เพราะได้รับคำสอนมาว่า ไม่ให้กราบสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้า ถ้าใครล่วงละเมิดถือว่าออกนอกศาสนาและต้องตกนรกเวลาผ่านไป ๒๐ กว่าปี ข้าพเจ้าต้องหันหลังให้ศาสนาเดิมและพระเจ้าที่เคยนับถือและเกรงกลัวเป็น อย่างยิ่งไปจริงๆ และมารับพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกตราบจนทุกวันนี้
     ทำไมจึงเปลี่ยนศาสนา
ข้าพเจ้า คงมีบุญเก่าอยู่บ้าง เมื่อยามมีทุกข์จึงได้มีโอกาสพบธรรม ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต” ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุ ๒๙ ปี มีความทุกข์สาหัสจากเรื่องความรักที่ไม่เคยคิดว่าจะล่มสลาย ในท่ามกลางความทุกข์นั้น จิตบอกว่า “ไปทำสมาธิเหมือนพระเซ็นที่เราเคยอ่านในหนังสือสิ แล้วเราจะมีความสุขสงบเหมือนท่าน”
    หนังสือที่ว่าคือ กุญแจเซ็น และ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ซึ่งท่านติช นัท ฮันห์ พระภิกษุชาวเวียดนามเป็นผู้เขียน ข้าพเจ้าได้อ่านตั้งแต่ก่อนพบความทุกข์ประมาณ ๔ ปี มีความประทับใจมาก แต่ตอนนั้นยังไม่กล้าปฏิบัติตาม เพราะเห็นว่าเป็นแนวปฏิบัติของพระพุทธศาสนา ถ้าข้าพเจ้าปฏิบัติตามคงจะตกนรก เพราะไม่ใช่คำสอนของพระเจ้า  ความประทับ ใจนี้คงจะมีพลังมาก ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก จึงมากระตุ้นเตือนในยามนี้ และเพราะความทุกข์หนักหน่วงมากจนสุดจะทน สัญชาตญาณของการเอาตัวรอดจึงสั่งว่า อะไรก็ตามที่สามารถทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากห้วงทุกข์นี้ก็จะขอยึดเอาไว้ก่อน พอเอาตัวให้รอด ข้าพเจ้าจึงกลายเป็นขบถต่อพระเจ้า จากที่เคยเฝ้าสวดอ้อนวอนต่อท่านทุกครั้งที่มีทุกข์มีปัญหา โดยไม่ได้รู้สึกว่าปัญหาจะหมดไปเพราะการสวดอ้อนวอน ก็อยากจะลองวิธีใหม่ โดยไม่เคยคิดว่าจะเปลี่ยนศาสนาหรอก
  อาจารย์ท่านแรก
   ข้าพเจ้า ไปขอเป็นศิษย์ฝึกสมาธิภาวนากับคุณยายชีสะอาด เกษมสันต์ ที่วัดน้อยนพคุณ (อยู่แถวราชวัตร) คุณยายชีเป็นศิษย์ตรงของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ แต่ไม่ได้สอนวิชาธรรมกายให้ข้าพเจ้า กลับสอนให้ข้าพเจ้าภาวนา พุทโธ ข้าพเจ้าก็นึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ภายหลังทราบว่า คุณยายชีท่านมีอำนาจจิตพิเศษ ระลึกชาติย้อนหลังได้ ๓ ชาติ สงสัยท่านคงทราบว่าชาติก่อนๆ ข้าพเจ้าเคยภาวนา พุทโธ มา จึงให้ข้าพเจ้าใช้คำบริกรรมนี้   กุฏิของคุณยายชีเป็นกุฏิเล็กๆ แถมยังมีข้าวของรกเต็มไปหมด เวลาข้าพเจ้าไปกราบท่าน จะนั่งอยู่แถวๆ หัวบันได เพื่อจะได้วิ่งหนีเจ้าหนูตัวเล็กตัวน้อยที่วิ่งจู๊ดจ๊าดออกมาจากซอกนั้นมุม นี้อยู่ตลอดเวลาได้ทัน เพราะข้าพเจ้ากลัวหนูเป็นอย่างยิ่ง เวลานั่งสมาธิ คุณยายสั่งให้ไปนั่งในห้องท่าน ซึ่ง ยิ่งรก ยิ่งคับแคบ มีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ครึ่งห้อง ข้าพเจ้าจำใจไม่มีทางหลบเลี่ยง แต่เพราะความกลัวทุกข์มากกว่ากลัวหนู จึงตั้งอกตั้งใจภาวนา ไม่ส่งจิตออกไปหาหนูซึ่งชอบกระโดดออกมากินดอกบัวแห้งๆ ที่โต๊ะหมู่บูชาอยู่ต่อหน้าต่อตา ถึงกระนั้นก็ยังสามารถรวมจิตได้หลายครั้ง ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มหัดภาวนาแบบงูๆ ปลาๆ
         ซึ้งในคุณค่าพระพุทธศาสนา
       ขณะ ที่ฝึกปฏิบัติกับคุณยายชี ข้าพเจ้าก็หาหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาอ่าน เพราะโดยนิสัยถ้ารู้อะไรก็อยากรู้ลึกๆ รู้จริงๆ เมื่อได้ศึกษา ก็ได้พบคำตอบทุกคำถามที่ข้าพเจ้าเคยสงสัย   ได้รู้ว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องอกหัก (บ่อยๆ) ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปหักอกผู้ชายคนไหนเลย แต่ก่อนเคยไปถามผู้รู้ เขาบอกว่าพระเจ้าลองใจ ข้าพเจ้าจึงแอบคิดในใจว่าพระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเลย ตอนนี้ได้คำตอบแล้วว่า นี่คือความยุติธรรมที่สุดของกฎแห่งกรรม    ได้รู้ ว่า เราไม่ได้เกิดหนเดียวตายหนเดียว เหมือนที่เคยได้รับคำสอนในศาสนาเดิม แต่เราผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น แม้ชาตินี้เราไม่เคยหักอกใคร แต่ชาติก่อนๆ ต้องเคยทำไว้แน่ ภายหลังคุณยายชีใช้ญาณตรวจสอบอดีตชาติของข้าพเจ้า ก็บอกว่าข้าพเจ้าเคยทำจริงๆ หลายครั้งเสียด้วย คุณยายชีและผู้มีญาณอีกหลายท่านบอกว่าในอดีตชาติ (หลายชาติ) ข้าพเจ้าเป็นหญิงสูงศักดิ์สวยมากด้วย แล้วชอบทำให้เขาผิดหวัง ไม่ยอมลงเอยด้วย    ได้รู้อะไรๆ อีกมากมายหลายอย่าง ทำให้ทึ่งในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ซึ่งแต่ก่อนสมัยเรียนพระพุทธศาสนาตอนเด็กๆ ข้าพเจ้ามักจะคิดว่า พระพุทธเจ้าก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเรา ถึงเก่งอย่างไรก็สู้พระเจ้าไม่ได้ แต่ความรู้สึกตอนนี้ไม่ใช่เสียแล้ว พระพุทธองค์เป็นมหาบุรุษที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง!    สุดยอดของความรู้ที่ได้จากการศึกษาพระพุทธศาสนาคือศาสตร์ของการพ้นทุกข์       ได้รู้ว่า ทุกข์เกิดที่จิตก็ต้องดับที่จิต และเรามีศักยภาพที่จะแก้ทุกข์ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องสวดอ้อนวอนหรือพึ่งพาสิ่งภายนอก     ด้วย เหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจหันมานับถือพระพุทธศาสนา และตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์มาตลอด ยิ่งศึกษา ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งซาบซึ้งในคุณค่าของพระพุทธศาสนา
       กรรมลิขิตให้มาสอนธรรมะ
พี่ สาวลูกคุณลุงของข้าพเจ้า แต่ก่อนก็นับถือศาสนาเดียวกัน แต่ได้เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาก่อนข้าพเจ้าหลายปี ไปเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี มีความตั้งใจในการปฏิบัติมาก ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็มีการรวมกลุ่มเพื่อนๆ ที่สนใจทางธรรม มาฟังธรรมและปฏิบัติธรรมที่บ้านเป็นประจำ โดยนิมนต์พระมาเทศน์และนำปฏิบัติ พระเถระที่นิมนต์มาบ่อยๆ คือ ท่านอาจารย์สมเกียรติ เป็นศิษย์สายหลวงพ่อโอภาสี ท่านมีอำนาจจิตพิเศษในเรื่องการรู้อดีตและอนาคต   วัน หนึ่ง ท่านทักข้าพเจ้าว่า ในอนาคตข้าพเจ้าจะเป็นครูสอนกรรมฐาน ข้าพเจ้านึกขำในใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าเพิ่งหัดภาวนาได้ไม่กี่เดือน ยังภาวนาไม่ได้เรื่องเลย จะไปสอนใครได้ รู้สึกไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ก็ไม่กล้าลบหลู่   อย่าง ไรก็ตาม มีเรื่องที่ข้าพเจ้านึกแปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ เวลาที่นั่งฟังพี่ๆ เขาสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ ถ้ามีคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติ ข้าพเจ้ามักจะมีคำตอบขึ้นมาในจิตอยู่บ่อยๆ นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมเราตอบได้
      ครูบาอาจารย์สั่งให้ไปสอนคน
     หลังจากข้าพเจ้าฝึกภาวนากับคุณยายชีสะอาดได้ประมาณ ๓ เดือน ก็ย้ายไปรับราชการที่โคราช เป็นศึกษานิเทศก์เขต ซึ่งต้องดูแลการศึกษาในโรงเรียนมัธยมในเขตอีสานใต้ ๕ จังหวัด จึงมีวาสนาได้ศึกษาและปฏิบัติกับพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เป็นเพชรน้ำหนึ่ง คือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม และ หลวงปู่สาม อากิญจโน วัด ป่าไตรวิเวก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งข้าพเจ้าไปกราบนมัสการและสนทนาธรรมกับท่านทุกครั้งที่ไปนิเทศโรงเรียนใน จังหวัดสุรินทร์ ส่วนที่โคราชนั้นมี หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เป็นหลักใจ หากท่านพำนักอยู่ที่โคราช ข้าพเจ้าก็ไปกราบท่านทุกวัน เพื่อสนทนาธรรมและฟังการปุจฉา-วิสัชนา ระหว่างท่านกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส ระหว่างการฟังก็มีความรู้สึกเหมือนที่เคยเป็น คือ ข้าพเจ้ามักตอบคำถามในใจได้เป็นส่วนใหญ่หลายคำถาม   ประมาณเดือน กันยายน ๒๕๒๖ ข้าพเจ้าไปราชการที่สุรินทร์ เมื่อว่างจากงานก็ไปกราบหลวงปู่ดูลย์ตามที่เคยปฏิบัติเป็นประจำ ตอนนั้นหลวงปู่อาพาธและแพทย์ขอให้ท่านรับแขกเป็นเวลา ตอนที่ข้าพเจ้าไปถึงก็ใกล้หมดเวลาแล้ว หลวงปู่มานั่งอยู่ที่ระเบียงด้านนอกกับพระอุปัฏฐาก พอข้าพเจ้ากราบเสร็จ ท่านก็เทศน์ทันที เทศน์กัณฑ์นั้นยาวมาก ท่านเทศน์ไม่หยุดจนเลยเวลาที่หมอกำหนดไว้ ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านว่าเลยเวลาพักแล้ว ท่านก็ว่า "ไม่เป็นไรดอก” แล้วก็เทศน์ต่อ ธรรมะที่เทศน์ให้ข้าพเจ้าฟังเป็นธรรมะขั้นหลุดพ้น ยากมากๆ ข้าพเจ้าพยายามจดเท่าที่จะจดได้ ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง เมื่อเทศน์จบ ท่านถามว่า “ฟังเข้าใจไหม” ข้าพเจ้าตอบว่า “เข้าใจทั้งหมด แต่จิตยังไม่เป็นคะ” จากนั้นจึงขอเทปหรือหนังสือเทศน์แบบที่ท่านเทศน์ให้ฟัง เพราะข้าพเจ้าจดไม่ทัน ท่านเมตตาเดินไปค้นที่ตู้หนังสือ สักครู่ก็นำเอกสารโรเนียวหลายหน้าชื่อว่า จิตคือพุทโธ มาให้ข้าพเจ้า พร้อมทั้งสั่งว่า “เอาไปสอนคนอื่นด้วย” ข้าพเจ้ารีบกราบเรียนว่า “หนูเพิ่งหัดภาวนาได้ ๒-๓ ปี สอนใครไม่ได้หรอกค่ะ” ท่านก็ย้ำว่า “สอนได้ จิตชำนาญแล้ว” การพบกับหลวงปู่ครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย อีกประมาณ ๒ สัปดาห์ ข้าพเจ้าก็เดินทางไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส  กลับจากสุรินทร์ ข้าพเจ้าก็มากราบเรียนหลวงพ่อพุธว่า “หลวงปู่ดูลย์สั่งให้ไปสอนคน หนูคงทำไม่ได้หรอก เพราะยังภาวนาไม่เก่ง” หลวงพ่อก็ยังย้ำว่า “ปฏิบัติได้แค่ไหนก็สอนไปเท่านั้นก่อน” เป็นอันว่าหลวงพ่อก็มามอบภาระอันหนักอึ้งให้ข้าพเจ้าอีก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่