คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ทั้งนี้กองทุนที่เก็บกำไรเพื่อให้ราคาไปต่อ แต่ถ้าผู้ลงทุนไม่ได้ทำการขายหรือไม่มั่นใจจังหวะตนเอง รีรอไปมา หรือ ขายผิดจังหวะ มันก็เปล่าประโยชน์
โดยเฉพาะช่วงที่ราคาขึ้นแล้วไม่ได้ขายพอกลับมาดูอีกทีเป็นขาลงเสียแล้ว ก็ทำให้เสียโอกาสไปโดยปริยาย และ ส่วนมากมักจะเป็นเช่นนั้น
มีผลทำให้ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับระยะเวลาทั้งปีได้ไม่มากดั่งที่คิดไว้เสมอไป
โดยเฉพาะช่วงที่ราคาขึ้นแล้วไม่ได้ขายพอกลับมาดูอีกทีเป็นขาลงเสียแล้ว ก็ทำให้เสียโอกาสไปโดยปริยาย และ ส่วนมากมักจะเป็นเช่นนั้น
มีผลทำให้ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับระยะเวลาทั้งปีได้ไม่มากดั่งที่คิดไว้เสมอไป
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
เปรียบเทียบผลการดำเนินงานของ SCBDV กับ Hi-DIV
Hi-DIV ผ่านมา 4 ปี ได้ปันผล รวม 14.55 บาท
SCBDV ผ่านมา 9 ปี ได้ปันผล รวม 10.93 บาท
ข้อมูลการจ่ายปันผลของ Hi-DIV 4 ปี (ถึงสิ้นปี 2555)
Hi-DIV ราคาหน่วยลงทุน ณ ปัจจุบัน 11.1075 บาท ใช้เวลาประมาณ 3 ปี ก็ได้ต้นทุนคืนแล้ว ไม่รวมหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากการนำเงินปันผลไปซื้อหน่วยลงทุนเพิ่ม และ
ข้อมูลการจ่ายปันผลของ SCBDV 9 ปี (ถึงสิ้นปี 2555)
SCBDV ราคาหน่วยลงทุน ณ ปัจจุบัน 15.3882 บาท ด้วยอัตราการจ่ายปันผลที่ผ่านมา ต้องใช้เวลาเกิน 10 ปี กว่าจะคืนทุน เสียโอกาสจากการนำเงินปันผลมาซื้อหน่วยลงทุนเพิ่ม
แต่ถ้าดูจากราคาหน่วยลงทุนของ SCBDV จะมีส่วนต่างของหน่วยลงทุนมากกว่า Hi-DIV
ทำให้มีโอกาสที่จะทำกำไรจากส่วนต่างของราคาหน่วยลงทุน
ถ้าเป็นแบบนี้แล้วเราจะเลือกลงทุนกองไหนดีละ !!!
ก็ต้องกลับมาดูนโยบายการลงทุนของทั้ง 2 กอง ว่านโยบายหลัก คือ การจ่ายปันผล ไม่ใช่เน้นการเลียนแบบดัชนี***
จากความเห็นส่วนตัวจึงพอสรุปได้ว่า กองที่จ่ายปันผลมากว่า เหมาะที่จะลงทุนกว่า ... กองที่จ่ายน้อยกว่า และราคาหน่วยลงทุนอิงกับดัชนีมากๆ เพราะสามารถนำปันผลมาลงทุนเพิ่มได้ อย่างต่อเนี่อง ผิดกับกองที่อิงตามดัชนีที่จะมีความผันผวนมากกว่า ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารพอร์ทของ ผจก. กองทุน เป็นหลัก