ALONE: เที่ยวแทนแม่: กว่าจะถึง โคทอร์, มอนเตเนโกร (2)

ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/30235563

ตอน ผู้คน.


    ฉัน: หม่าม้า มิ้นท์ถึงมอนเตเนโกรละนะ ตื่นยัง
    แม่: ตื่นแล้วๆ เป็นไง เหนื่อยมั้ย
    ฉัน: เหนื่อย ชีวิตเจอแต่คนแปลกๆ
    แม่: นี่ขนาดชั้นสวดมนต์ให้ทุกคืนนะ
    ฉัน: ไม่ต้องห่วง มีคนช่วยสวดละ พ่ออันโตนิโอ คุณลุงที่เจอเมื่อตอนเช้าน่ะ เค้าว่าเค้าจะสวดมนต์ให้มิ้นเดินทางปลอดภัย
    แม่: ลุงที่ไหน ไปว่าเค้าแปลก
    ฉัน: ไว้ค่อยเล่าให้ฟัง เดี๋ยวไปปีนปราสาทละ ไว้โทรหาใหม่ จุ๊บๆ
    แม่: เดินดีๆนะ แกยิ่งซุ่มซ่าม โทรมาด้วยพรุ่งนี้
    แม่ยังไม่รู้ซะแล้ว ลุงที่เจอ ‘แปลก’ จริงๆ

    ปลุก

    ฉันตื่นขึ้นมาตอน 7 โมงเช้า ใต้ตาบวมนิดๆ คงด้วยว่าเมื่อคืนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนฝูงไฮยีน่าของกลุ่มเด็กบราซิล 5 คนที่นอนห้องเดียวกัน เด็กๆที่ตัดสินใจลุกขึ้นมาแต่งตัวออกเริงราตรีตอนตีหนึ่ง เพลีย... ลุกไม่ลุกเปล่า ปลุกด้วย!
    ตีหนึ่ง
    “Do you know any good place to go out?” หนุ่มหน่อเดียวประจำกลุ่มถามเสียงดังขัดจังหวะการนอนสะลึมสะลือของคนที่ต้องตื่น 7 โมงไปขึ้นรถ
    “Oh! I don’t know.” คิดในใจ จะปลุกฉันขึ้นมาทำไม(วะ)
    ตีหนึ่งครึ่ง
    สาวๆยังหัวเราะคิกคัก หนุ่มหน่อเดียวพยายามห้ามปรามส่งเสียว ชู่ว ชู่ว ให้วุ่นวาย
    “I’m so sorry that I wake you up.” หนุ่มคนเดิมพูดขึ้น เหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ากลุ่มเขาส่งเสียงดัง หัวเราะคิกคัก เปิดไฟแต่งตัว
    “Never mind.” ปากพูดไปแต่ในใจด่าเป็นภาษาที่ไม่สามารถนำออกอากาศได้
    ตีสองครึ่ง
    ไฟในห้องยังเปิดไว้ แต่งตัวยังไม่เสร็จ! ฉันทำใจเลย อดนอนชัวร์ ณ เวลานี้ ที่อุดหูและที่ปิดตาก็ไม่มีปัญญาทำหน้าที่ของตัวได้ ฉันเฝ้าแต่ถามตัวเองว่า นี่พวกเธอจะไปเที่ยวผับไหนกันหรือ? ตีสองครึ่งแล้วนะ!
    เกือบตีสาม
    ได้ยินเสียงประตูปิด ตามมาด้วยความเงียบสงบ
    ตีสี่ครึ่ง
    ฉันคงกำลังหลับฝันถึงเรื่องอะไรดีๆบางอย่าง แต่แล้วก็ต้องถูกขัดจังหวะด้วยคนกลุ่มเดิมที่กลับเข้ามาอย่างเมามาย...
    สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ หันไปหยิบมือถือมากดเพิ่มเสียงนาฬิกาปลุกให้ดังที่สุดเท่าที่จะดังได้     นาฬิกา ‘ปลุก’ ที่ฉันตั้งไว้ที่ 7 โมงเช้า...
    
    One Morning Stand
    เวลา 8 โมง ห้องรับแขกยังไม่มีใคร ฉันหยิบเป้ขึ้นหลัง กล่าวลาแอนนา แล้วเดินจากโฮสเทลมาแบบเงียบๆ
    เด็กๆที่อยู่ห้องเดียวกันกลับไปนอนกันแล้ว หลังจากตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกตอน 7 โมงเช้า
    เช้านี้ฟ้าเป็นสีฟ้า ลมพัดเบาๆ ฉันนั่งรอรถเมล์อยู่เงียบๆ ฉันกำลังจะไปที่สถานีรถทัวร์เพื่อจับรถไปโคทอร์ (มอนเตเนโกร) ความหงุดหงิดจากเมื่อคืนหายไปหมดแล้ว ​ฉันปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งมีเสียงนึงดังขึ้นขัดจังหวะ
     “Konnichiwa” ชายวัยกลางคนปลายๆเดินตรงเข้ามาทักฉัน
    มันคงเป็นระบบตอบโต้อัตโนมัติหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ที่ทำให้ฉันตอบกลับเขาไปว่า
    “Emm... No, I’m from Thailand.”
    “I’m Antonio. What’s your name?”
    วินาทีนั้นเอง ‘ความสัมพันธ์’ ของฉันและคน ‘แปลก’ หน้าก็เริ่มต้นขึ้น...
    เขาเริ่มเล่าให้ฉันฟังพร้อมลมหายใจที่ฟุ้งกลิ่นสุราว่าเขากำลังจะไปโบสถ์ แต่ตอนนี้ต้องกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าก่อน แล้วก็ดันเดินมาเจอฉันเขา     
    “You are shining like a star” เขาบอกกับฉัน
    นี่มันเพิ่งแปดโมงครึ่ง สตงสตาร์อะไร! ฉันได้แต่หัวเราะแห้งๆ
    “Very nice to meet you” เขาพูดต่อไป พร้อมๆกับส่งมือมาให้เชคแฮนด์ ฉันยื่นมือออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร เขากลับเอามือฉันไปจูบ!
    โอ้วโน้ววววว!
    “I have a gift for you. You are so nice” ชายแก่พูดพร้อมหยิบเอาลูกอมขึ้นมาแล้วยื่นมาให้ฉันรับมาแบบงงๆ นี่เธอเอาลูกอมมาล่อ!
    ในขณะที่ฉันภาวนาขอให้รถเมล์มาเสียที เขาก็ยังคงพยายามจะยื่นมือมาให้ฉันเชคแฮนด์ คราวนี้ฉันไม่หลงกล สงสัยคำภาวนาของฉันจะเป็นผลเพราะรถเมล์สาย 7 กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่ป้าย ฉันกระหยิ่มในใจ หันไปบอกลาเขาผู้นั้น คิดในใจว่า ‘ความสัมพันธ์’ ของเราคงมาถึงจุดจบ      “This is my bus too” เขาหันมาบอก แล้วส่งยิ้มให้
    ฉันน่ะหรือ ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆสักคำให้ลึกซึ้ง... ยืนคิ้วตก
    ตามคาด เขากันที่ไว้ให้ฉันแล้ว ฉันยิ้มแหยๆแล้วเดินไปนั่ง สายตากวาดหาคนช่วย แต่ไม่มีใครสบตาด้วย ชีวิตหนอชีวิต อันโตนิโอเล่าให้ฟังว่าเขาเป็นทหารเก่า ที่จะไปโบสถ์เพราะเขาเล่นออร์แกนอยู่ที่นั่น พูดไปพูดมา อยู่ดีๆเขาก็พูดขึ้นมาว่า
    “i have to give you a gift”
    “Please, no. You already gave me one” ฉันรีบบอกปฎิเสธไปแต่เขาก็ไม่ฟัง เขาก็หยิบเอา ‘บัตรโทรศัพท์’ ขึ้นมาแล้วถามฉันว่าจะเอามั้ย ฉันรีบปฎิเสธพร้อมคิดในใจว่า จะให้เอาไปทำอะไร(ว้า!) เขารื้อลงไปในกระเป๋าอีกสักพัก ก็หยิบเอารูปพระแม่มารีกับรูปนักบุญอันโตนิโอออกมา!
    เขาอยากให้ฉันเก็บเอาไว้เพื่อคุ้มครองให้ฉันเดินทางปลอดภัย แล้วกล่าวต่อว่าเขาจะสวดมนต์ให้พระแม่มารีกับนักบุญอันโตนิโอคุ้มครองฉันด้วย
    ณ วินาทีนั้นฉันรู้สึกผิดมากที่ฉันมองเขาในแง่ร้าย  
    ฉันบอกขอบคุณเขาด้วยความซาบซึ้ง...
    “Email me and nice to meet you” เขากล่าวพร้อมยื่นหน้าเขามาหอมแก้มฉัน! แล้วลุกเดินลงจากรถไป ฮะ!
    ฉันนั่งงง ปรับอารมณ์ไม่ถูก อารมณ์ซาบซึ้งโดนกระชาก ในวินาทีนั้น ชายสองคนที่อยู่ในรถระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
    เออๆ เอาๆ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นวันที่แปลกดี
    ‘ความสัมพันธ์’ ของเราจบลงรวดเร็วเหมือนตอนเริ่มต้น
    ตอนนี้มีคนสวดมนต์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน แม่และอันโตนิโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่