หลังจากที่รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณเร่งรีบดันทุรังผลักดันร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน2 ล้านล้านบาทเพื่อพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทั่วประเทศโดยอาศัยพวกมากลากไปจนผ่านสภาผู้แทนราษฏรวาระแรกไปแบบสะดวกท่ามกลางกระแสคัดค้านจากหลายฝ่ายว่าเป็นการออกกฏหมายแบบหมกเม็ดมัดมือชกเลี่ยงการถูกตรวจสอบโดยไม่แยแสว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฏหมายว่าด้วยงบประมาณอีกถึง 4 ฉบับ และเปิดช่องให้มีการโกงกินกันอย่างมโหฬาร ซ้ำเป็นการก่อหนี้เงินต้นรวมดอกเบี้ยเป็นมูลค่าสูงถึง 5 ล้านล้านบาทที่จะเป็นภาระให้ลูกหลานต้องชดใช้หนี้อีกนานไม่น้อยกว่า50 ปีกว่าจะหมด ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณบางอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของโครงการสร้างหนี้ให้ประเทศสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยครั้งนี้
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธานส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นเชิงตั้งข้อสงสัยในโครงการรถไฟความเร็วสูงสุดซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งล่าสุด นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ส่งเรื่องกลับไปยังสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนก่อสร้างทั่วประเทศทั้ง 4 เส้นทาง อีกทั้งโครงการยังไม่ได้ผ่านการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่ง นายองอาจ ตั้งข้อสังเกตุว่า คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลตบตามหาชนโดยมีเป้าหมายกู้เงินให้ได้ก่อน ส่วนอย่างอื่นไว้ว่าที่หลัง
“การพิจารณาวาระแรกในสภารัฐบาลพยายามบอกว่ามีความคุ้มค่าในการลงทุน แต่เมื่อกฏหมายผ่านวาระแรกแล้วกลับเพิ่งจะส่งเรื่องให้สภาพัฒน์ฯพิจารณาทบทวนเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน นั่นแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีความรอบคอบในการใช้เงินกู้มูลค่ามหาศาลให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติอย่างแท้จริง แต่เป็นการเร่งรีบรวบรัดเพื่อเป้าหมายบางอย่างจึงอยากถามว่ารัฐบาลผลักดันเงินกู้มหาศาลนี้เพื่ออะไรกันแน่“
สำหรับ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทขณะนี้ต้องถือว่า”อ้อยเข้าปากช้าง”ใกล้จะกลืนลงท้องเข้าไปทุกขณะ ส่วนเรื่องโครงการต่างๆตามภาระหนี้ประเทศจะเสร็จจริงตามคำโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ หรือโครงการหากทำไปแล้วจะขาดทุนแค่ไหนโดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงคงไม่ใช่เป้าหมายหลักที่รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณที่บงการโดยนายใหญ่ผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลให้ความสนใจ แต่เป้าหมายสูงสุดที่สำคัญอย่างยิ่งยวดน่าจะอยู่ที่เค้กก้อนโตจากค่าหิวคิวและผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมมูลค่ามหาศาลชนิดที่ทำให้ระบอบทักษิณใช้ยึดครองประเทศได้อย่างสบาย
เค้กก้อนมหึมาขนาดไหนอาจลองเปรียบเทียบผลวิจัยเรื่องคอร์รัปชั่นของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยก่อนหน้านี้ที่สัมภาษณ์บรรดานักธุรกิจระดับชาติที่ต่างระบุว่ายุคนี้ต้องเสียเงินใต้โต๊ะให้ผู้มีอำนาจไม่ต่ำกว่า 30 % หากอยากได้สัมปทานโครงการ ซึ่งหากเทียบกับเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทค่าหัวคิวเฉลี่ยน่าจะอยู่ราว 6 แสนล้านบาท ไม่รวมผลประโยชน์ทางอ้อมจากการกำหนดโครงการให้ผ่านที่ดินที่ผู้มีอำนาจหรือนักธุรกิจที่ใกล้ชิดรัฐบาลโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กว้านซื้อไว้ล่วงหน้าจำนวนมากซึ่งจะกำไรมหาศาลจากมูลค่าที่ดินที่พุ่งกระฉูด หรือผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆอีกมากมาย
ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ผู้นำตัวจริง ออกมาโฆษณาชวนเชื่อ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทว่าจะทำให้เศรษฐกิจโชติช่วงชัชวาลพร้อมแบไต๋ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นแน่ หวังให้สาธารณชนคล้อยตาม
นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตุว่า เมื่อใดที่พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทบังคับใช้เป็นกฏหมายอย่างสมบูรณ์นั่นคือหายนะของประเทศ แต่บรรลุเป้าหมายของรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณเพราะจะมีผลผูกพันไปถึงอนาคตยกเว้นจะล้มกฏหมายฉบับนี้ ส่วนชาติจะ
อย่างไรจากหนี้ก้อนมหึกมาที่ลูกหลานต้องแบกรับภาระอีกไม่น้อยกว่า50 ปีเชื่อว่ารัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณคงไม่แคร์ขอเพียงให้บรรลุผลประโยชน์ของตัวเองเป็นพอ
ที่มา:
http://www.naewna.com/creative/47776
ปล.จะกินบ้านกินเมืองกันไปถึงไหนหนอ...เอิ๊ก ๆ ๆ
พรบ.กู้ 2ล้านล้าน อ้อยเข้าปากช้าง พิรุธหมกเม็ดเดิมพันหายนะชาติ..
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธานส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นเชิงตั้งข้อสงสัยในโครงการรถไฟความเร็วสูงสุดซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งล่าสุด นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ส่งเรื่องกลับไปยังสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนก่อสร้างทั่วประเทศทั้ง 4 เส้นทาง อีกทั้งโครงการยังไม่ได้ผ่านการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่ง นายองอาจ ตั้งข้อสังเกตุว่า คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลตบตามหาชนโดยมีเป้าหมายกู้เงินให้ได้ก่อน ส่วนอย่างอื่นไว้ว่าที่หลัง
“การพิจารณาวาระแรกในสภารัฐบาลพยายามบอกว่ามีความคุ้มค่าในการลงทุน แต่เมื่อกฏหมายผ่านวาระแรกแล้วกลับเพิ่งจะส่งเรื่องให้สภาพัฒน์ฯพิจารณาทบทวนเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน นั่นแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีความรอบคอบในการใช้เงินกู้มูลค่ามหาศาลให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติอย่างแท้จริง แต่เป็นการเร่งรีบรวบรัดเพื่อเป้าหมายบางอย่างจึงอยากถามว่ารัฐบาลผลักดันเงินกู้มหาศาลนี้เพื่ออะไรกันแน่“
สำหรับ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทขณะนี้ต้องถือว่า”อ้อยเข้าปากช้าง”ใกล้จะกลืนลงท้องเข้าไปทุกขณะ ส่วนเรื่องโครงการต่างๆตามภาระหนี้ประเทศจะเสร็จจริงตามคำโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ หรือโครงการหากทำไปแล้วจะขาดทุนแค่ไหนโดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงคงไม่ใช่เป้าหมายหลักที่รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณที่บงการโดยนายใหญ่ผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลให้ความสนใจ แต่เป้าหมายสูงสุดที่สำคัญอย่างยิ่งยวดน่าจะอยู่ที่เค้กก้อนโตจากค่าหิวคิวและผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมมูลค่ามหาศาลชนิดที่ทำให้ระบอบทักษิณใช้ยึดครองประเทศได้อย่างสบาย
เค้กก้อนมหึมาขนาดไหนอาจลองเปรียบเทียบผลวิจัยเรื่องคอร์รัปชั่นของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยก่อนหน้านี้ที่สัมภาษณ์บรรดานักธุรกิจระดับชาติที่ต่างระบุว่ายุคนี้ต้องเสียเงินใต้โต๊ะให้ผู้มีอำนาจไม่ต่ำกว่า 30 % หากอยากได้สัมปทานโครงการ ซึ่งหากเทียบกับเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทค่าหัวคิวเฉลี่ยน่าจะอยู่ราว 6 แสนล้านบาท ไม่รวมผลประโยชน์ทางอ้อมจากการกำหนดโครงการให้ผ่านที่ดินที่ผู้มีอำนาจหรือนักธุรกิจที่ใกล้ชิดรัฐบาลโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กว้านซื้อไว้ล่วงหน้าจำนวนมากซึ่งจะกำไรมหาศาลจากมูลค่าที่ดินที่พุ่งกระฉูด หรือผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆอีกมากมาย
ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ผู้นำตัวจริง ออกมาโฆษณาชวนเชื่อ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทว่าจะทำให้เศรษฐกิจโชติช่วงชัชวาลพร้อมแบไต๋ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นแน่ หวังให้สาธารณชนคล้อยตาม
นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตุว่า เมื่อใดที่พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทบังคับใช้เป็นกฏหมายอย่างสมบูรณ์นั่นคือหายนะของประเทศ แต่บรรลุเป้าหมายของรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณเพราะจะมีผลผูกพันไปถึงอนาคตยกเว้นจะล้มกฏหมายฉบับนี้ ส่วนชาติจะอย่างไรจากหนี้ก้อนมหึกมาที่ลูกหลานต้องแบกรับภาระอีกไม่น้อยกว่า50 ปีเชื่อว่ารัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณคงไม่แคร์ขอเพียงให้บรรลุผลประโยชน์ของตัวเองเป็นพอ
ที่มา:http://www.naewna.com/creative/47776
ปล.จะกินบ้านกินเมืองกันไปถึงไหนหนอ...เอิ๊ก ๆ ๆ