ของดดราม่านะครับ อยากคุยกันเรื่องข้อเท็จจริงนะครับ
คือมักจะมีคำพูดว่ารัฐบาลไม่ต้องเสียเงินจากนโยบายรถคันแรก เพราะรัฐเอาเงินของเรามาจ่ายคืนให้เรา แต่ตามความเข้าใจผม ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็ไม่ใช่นะครับ ผมอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ ข้อความต่อไปนี้คือความเข้าใจของผมนะครับ
ขอสมมติตัวเลข เพื่อความเข้าใจง่ายนะครับ
สมมติว่าในปีปกติ ที่ไม่มีนโยบายรถคันแรก รถที่เข้าเกณฑ์ 1 แสนบาท จะขายได้ 5 แสนคันอยู่แล้ว ภาษี ที่เก็บได้คือ 5 หมื่นล้าน
สมมติว่าพอมีนโยบาย ยอดขายพุ่งมาเป็น 8 แสนคัน คือถูกกระตุ้นมาจากนโยบาย 3 แสนคัน ยอดภาษีคือ 8 หมื่นล้าน
เพราะฉะนั้นถึงจุดนี้ ถ้าไม่มีนโยบายนี้ รถก็ต้องขายได้ 5 แสนคันอยู่แล้ว เงินต้องเข้าร้ฐ 5 หมื่นล้านอยู่แล้ว กลายเป็นว่ารัฐก็ต้องเสียรายได้ไป 5 หมื่นล้าน ไม่ใช่เหรอครับ
ทีนี้ถ้ามีนโยบายแล้วรถขายได้ 8 แสนคัน ก็จะมีเงินอีก 3 หมื่นล้านที่เกินมา ซึ่งรัฐก็จ่ายคืนมาให้ ซึ่งก้อนนี้ดูเผินๆ เหมือนว่ารัฐเอาเงินเราเองมาจ่ายคืนให้ โดยไม่ต้องควักกระเป๋าใช่ไหมครับ
แต่ถ้ามองกันจริงๆ 3 แสนคันที่เพิ่มมา น่าจะมาจากคนที่กำลังจะซื้อรถในอีก 1-4 ปีข้างหน้าอยู่แล้ว แต่พอมีนโยบายทำให้ต้องรีบซื้อให้ทันนโยบาย
ก็เท่ากับรัฐต้องเสียรายได้ในอนาคตในอีก 1-4 ปีไม่ใช่เหรอครับ ซึ่งกลุ่มนี้ก็จะมาเป็นผลให้ตัวเลขขายรถยนต์ในปีถัดๆมาลดลง ทำให้รัฐได้รายได้ลดลง
มาถึงตรงนี้ ใน 3 แสนคันที่เพิ่มมาอาจจะมีคนอยู่กลุ่มนึงจริงๆ ที่คิดว่าชาตินี้อาจจะไม่เคยคิดซื้อรถคันแรกเลยจริงๆ โอเคผมยอมรับว่าคนกลุ่มนี้อาจถือว่ารัฐบาลไม่ต้องควักกระเป๋า แต่ก็มีแนวโน้มว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นหนี้ที่มีปัญหามากที่สุด คือเรียกว่ายังไม่พร้อมหรอก แต่เสียดาย 1 แสน
นี่ยังไม่นับรวม รถยึดจากโครงการคันแรก ที่จะทยอยออกมาในตลาดกันเกลื่อน ทำให้คนที่คิดจะซื้อรถใหม่ในอนาคต หันมาซื้อรถมือสองกันแทน ทำให้รัฐเสียรายได้ 1 แสนกันในอนาคตไปอีกนะครับ
อันนี้คือตามความเข้าใจผมนะครับ ผมอาจจะเข้าใจผิด หรือมองข้ามจุดไหนไปบ้าง แต่จากความเข้าใจผม ยังไงรัฐบาลก็เสียรายได้จากโครงการนี้อยู่ดีครับ ถ้าผมเข้าใจผิด รบกวนช่วยชี้แนะด้วยครับ อยากให้คุยกันดีๆ อย่างสร้างสรรค์นะครับ ของดดราม่าและการเมืองทุกชนิดนะครับ
ทำไมถึงคิดว่ารัฐไม่ต้องควักกระเป๋าเรื่องนโยบายรถคันแรกล่ะครับ ช่วยไขข้อข้องใจผมที
คือมักจะมีคำพูดว่ารัฐบาลไม่ต้องเสียเงินจากนโยบายรถคันแรก เพราะรัฐเอาเงินของเรามาจ่ายคืนให้เรา แต่ตามความเข้าใจผม ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็ไม่ใช่นะครับ ผมอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ ข้อความต่อไปนี้คือความเข้าใจของผมนะครับ
ขอสมมติตัวเลข เพื่อความเข้าใจง่ายนะครับ
สมมติว่าในปีปกติ ที่ไม่มีนโยบายรถคันแรก รถที่เข้าเกณฑ์ 1 แสนบาท จะขายได้ 5 แสนคันอยู่แล้ว ภาษี ที่เก็บได้คือ 5 หมื่นล้าน
สมมติว่าพอมีนโยบาย ยอดขายพุ่งมาเป็น 8 แสนคัน คือถูกกระตุ้นมาจากนโยบาย 3 แสนคัน ยอดภาษีคือ 8 หมื่นล้าน
เพราะฉะนั้นถึงจุดนี้ ถ้าไม่มีนโยบายนี้ รถก็ต้องขายได้ 5 แสนคันอยู่แล้ว เงินต้องเข้าร้ฐ 5 หมื่นล้านอยู่แล้ว กลายเป็นว่ารัฐก็ต้องเสียรายได้ไป 5 หมื่นล้าน ไม่ใช่เหรอครับ
ทีนี้ถ้ามีนโยบายแล้วรถขายได้ 8 แสนคัน ก็จะมีเงินอีก 3 หมื่นล้านที่เกินมา ซึ่งรัฐก็จ่ายคืนมาให้ ซึ่งก้อนนี้ดูเผินๆ เหมือนว่ารัฐเอาเงินเราเองมาจ่ายคืนให้ โดยไม่ต้องควักกระเป๋าใช่ไหมครับ
แต่ถ้ามองกันจริงๆ 3 แสนคันที่เพิ่มมา น่าจะมาจากคนที่กำลังจะซื้อรถในอีก 1-4 ปีข้างหน้าอยู่แล้ว แต่พอมีนโยบายทำให้ต้องรีบซื้อให้ทันนโยบาย
ก็เท่ากับรัฐต้องเสียรายได้ในอนาคตในอีก 1-4 ปีไม่ใช่เหรอครับ ซึ่งกลุ่มนี้ก็จะมาเป็นผลให้ตัวเลขขายรถยนต์ในปีถัดๆมาลดลง ทำให้รัฐได้รายได้ลดลง
มาถึงตรงนี้ ใน 3 แสนคันที่เพิ่มมาอาจจะมีคนอยู่กลุ่มนึงจริงๆ ที่คิดว่าชาตินี้อาจจะไม่เคยคิดซื้อรถคันแรกเลยจริงๆ โอเคผมยอมรับว่าคนกลุ่มนี้อาจถือว่ารัฐบาลไม่ต้องควักกระเป๋า แต่ก็มีแนวโน้มว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นหนี้ที่มีปัญหามากที่สุด คือเรียกว่ายังไม่พร้อมหรอก แต่เสียดาย 1 แสน
นี่ยังไม่นับรวม รถยึดจากโครงการคันแรก ที่จะทยอยออกมาในตลาดกันเกลื่อน ทำให้คนที่คิดจะซื้อรถใหม่ในอนาคต หันมาซื้อรถมือสองกันแทน ทำให้รัฐเสียรายได้ 1 แสนกันในอนาคตไปอีกนะครับ
อันนี้คือตามความเข้าใจผมนะครับ ผมอาจจะเข้าใจผิด หรือมองข้ามจุดไหนไปบ้าง แต่จากความเข้าใจผม ยังไงรัฐบาลก็เสียรายได้จากโครงการนี้อยู่ดีครับ ถ้าผมเข้าใจผิด รบกวนช่วยชี้แนะด้วยครับ อยากให้คุยกันดีๆ อย่างสร้างสรรค์นะครับ ของดดราม่าและการเมืองทุกชนิดนะครับ