หลังเรียนจบมาอีกสามปีต้องมีรถ(ผ่อนหมด)อีกห้าปีต่อมามีบ้านเป็นของตัวเอง อายุสามสิบมีสองอย่าง(ก็)ถือว่าประสบความสำเร็จ??

นี่เป็นแผนการสร้างความมั่นคงให้แก่นักศึกษาสถาบันของผม(คณะของผม)เมื่อประมาณ 2ปีก่อน โดยเป็นแผนการวัด"ความสำเร็จ"ของนักศึกษาที่ออกไปสร้างชื่อเสียง ให้แก่สถาบันโดยเป็นแผนที่"คิดเล่นๆไม่จริงจัง" แต่มีแง่คิดให้ผมฉุกคิดเล็กน้อย ลองฟังดูนะครับ
    เป็นเรื่องที่พูดกัน(เล่น)ในหมู่อาจารย์ที่มักบอกกับนักศึกษา(คณะผม)หลังจากเรียนจบ ว่าให้รีบทำงานเก็บประสบการณ์ก่อนอย่าหวังเงินเดือนสูงเพราะสมัยนี้มีคนจบเยอะ บัณฑิตมีทั้งมีคุณภาพและไร้คุณภาพ เมื่อมีคนจบในแต่ละปีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็จะเก็บสถิติว่ารุ่นพี่ในแต่ละคณะ ว่าคนใหนบ้างอยู่คณะอะไรทำงานที่ใหน(ทำงานตรงกับสายที่เรียนใหม). เพื่อจะมาดูว่าคณะใหนผลิตบัณฑิตจบออกไปมากแล้วมีคนตกงานมาก(แสดงว่าสาขานั้นมีคนจบเยอะแต่งานรองรับน้อย) ซึ่งก็จะมาใช้พิจารณาในการจะลดการรับบัณฑิตคณะนั้นๆลงเพื่อให้บัณฑิตที่จบออกไปไม่ต้องเสียงต่อการตกงาน
   แต่เมื่อบัณฑิตจบออกไปเริ่มทำงานมีเงินเดือน. ก็จะเกิดการเปรียบเทียบในหมู่เพื่อนๆ(รวมทั้งอาจารย์)เรื่องเงินเดือน. เช่นเพื่อนคนนั้นตอนเรียนเก่งมากโครตขยัน แต่พอมาทำงานกับได้รับเงินเดือนนิดเดียวไม่คุ้มค่าจ้าง แต่กับอีกคนเรียนธรรมดากลับได้งานเงินเดือนสูง และงานบางงานแม้ได้เงินเดือนสูงแต่มีค่าใช้จ่ายสูงตามต้องเข้าสังคมบ่อยๆจึงได้เยอะเพียงตัวเลขหักลบแล้วก็รายได้ธรรมดาๆ  เรื่องเงินจึงไม่อาจนำมาวัดความสำเร็จได้
  อาจารย์บางท่านก็บอก(แบบโลกสวย)ว่าทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าคุณเก็บได้แค่ใหน" อันนี้สำคัญกว่า". แต่อาจาย์บางคนก็แย้งว่าถ้าเงินเดือน14000 อยากเก็บเงินเดือนละ6000. คงต้องคำนวนการใช้เงินอย่างละเอียด. แต่กับอีกคนเงินเดือน 30000 อยากเก็บเดือนละ 6000 บ้างคงเก็บได้ง่ายกว่าคนแรกแน่นอน แต่ก็นั้นแหละสุดท้ายการหาเงินและการใช้เงิน"เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล" คงใช้วัดลำบาก
  ที่นี้ก็มีอาจารย์ท่านนึงได้บอกกับพวกผม(ตอนยังเป็นนักศึกษาปีสุดท้าย)ว่า คุณจะทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ที่คุณจบอายุ22
  หลังจากนี้ 3 ปี คุณต้องมีรถยนต์เป็นของตัวเองแบบผ่อนหมดด้วย (คาดว่าอายุตอนนั้นน่าจะประมาณ25)
  แล้วหลังจากนั้นอีก 5-6ปีต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง ต้องเป็น"เสาหลัก" ให้ครอบครัวได้พึ่งพิงได้แล้ว(อายุตอนนั้ยน่าจะ30)

  อาจารย์ให้เหตุผลว่า เห็นมีหลายคนจบมา พ่อแม่ซื้อรถให้ หลังเลิกงานกลับไปนอนบ้านกับพ่อแม่ ทำแบบนี้จนอายุ30 กว่า ยังไม่สามารถเป็น"เสาหลัก" ให้พ่อแม่ได้ ทั้งๆที่สมัยก่อนพ่อแม่เราไม่ได้มีความรู้นักก็ยังสามารถหาเงินเก็บซื้อบ้าน หรือรถได้ ให้เป็นสมบัตของลูก ได้
  โดยบอก(อีกเล่นๆ)ว่าถ้าคุณไม่รีบหาหรือเก็บเงินตั้งแต่ตอนนี้แต่ไปเก็บเงินผ่อนรถยนต์ตอนอายุ 30 แล้ว สมมุติว่าวันนึงคุณไปทำผู้หญิงท้องเข้าในขณะที่รถก็ต้องผ่อน บ้านก็ต้องผ่อน พ่อแม่ก็ต้องส่งเสีย จะเอาเงินที่ใหนมารับผิดชอบผู้หญิงได้ หากจะแต่งงานตอนอายุสามสิบกว่า(ซึ่งคนชอบแต่งกันช่วงอายุขณะนี้)จะเอาเงินใหนมาเป็นค่างานแต่งหรือค่าสินสอด. อาจารย์ท่านนี้ยังบอกอีกว่าช่วงนี้(หลังจากจบใหม่)เป็นช่วงที่เราควรเก็บเงินหรือนำเงินไปใช้กับของที่จะเป็นประโยชน์ในอนาคต
  เพราะหากอายุสามสิบแล้วคุณยังไม่มีอะไรซักอย่างอยู่อย่างไปวันๆ. สมมุติว่าตอนนั้นมีแฟน หรือคิดจะแต่งงานกันคิดว่าพ่อแม่แฟนจะยอมรับคนที่ไม่มีอะไรเลยได้หรือไม่ ท่านอาจคิดว่า  บ้านมีใหม?? (อยู่มาตั้งนานอายุ30แล้วยังไม่มีอีกหรอ). โอเคบ้านอาจเป็น ของชิ้นใหญ่ไป แล้วรถยนต์ละมีใหม??

  อาจารย์เลยได้ยกตัวอย่างโดยเอาบ้านและรถมาเป็นเกณฑ์ว่าใครประสบความสำเร็จในชีวิตหลังจากจบไปมากกว่ากัน(เอาเฉพาะที่สามารถจับต้องได้)

   คุณคิดว่าวิธีวัดความสำเร็จคนแบบนี้เป็นแนวทางที่ดีใหม. และใช้วัดว่าคนเราประสบความสำเร็จได้แค่ใหน(เอาแบบเป็นรูปธรรมนะ)

ปล. เป็นแค่แนวทางที่บอกเล่นแก่นักศึกษาเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่