กระทู้นี้ยาวหน่อยนะครับ เป็นกระทู้ระบายความในใจ ถ้าคุณเกลียดพวกโลกสวยอยู่แล้ว
ไม่ต้องอ่านก็ได้นะครับ หรืออ่านแล้วจะด่าก็ได้ ผมไม่ถือ ผมรับฟังทุกความคิดเห็นอยู่แล้ว
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมไม่ได้โดนว่า ว่าพวกโลกสวยในพันธุ์ทิพย์หรอกครับ แต่โดนครั้งแรกจากอดีตเจ้านายเก่า เมื่อนานมาแล้ว
แล้วมารู้จักคำนี้ ในโลกพันธุ์ทิพย์อีกที
ไม่ชอบเท่าไหร่ ที่โดนว่าอย่างนั้น เพราะดูเหมือนโดนดูถูกความคิด
แล้วสงสัยในคำจำกัดความ คำว่า "พวกโลกสวย" ของเขา
แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเดี๋ยวมีผลต่อหน้าที่การงาน
แต่ตอนนี้ออกจากที่ทำงานเก่ามาได้สักระยะแล้ว เลยถือเป็นโอกาสในการอธิบาย
ในเมื่อเขาชอบใช้ความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐานตัดสินคนอื่น ว่าเป็นพวกนั่นพวกนี่
ผมก็มีทฤษฎีของผมเหมือนกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทฤษฎีการแบ่งคนตามประเภทของการมองโลก
มีอยู่ 3 ประเภท คือ
1. พวกมองโลกในแง่ดี
2. พวกมองโลกในแง่ร้าย หรือแง่ลบ
3. พวกมองโลกในแง่บวก
คำอธิบาย
1. พวกมองโลกในแง่ดี
ในความหมายของผม คือ คนที่มองคนอื่นในแง่ดีทุกอย่าง
เหตุการณ์สมมติ ว่ากระเป๋าตังหาย เพราะโดนขโมย คนที่มองโลกในแง่ดี จะมีความคิดประมาณว่า
- "คนที่ขโมยไป เขาคงมีความจำเป็น แม่เขาอาจจะป่วย ลูกเขาคงกำลังเดือดร้อน" ......
- "คนที่ขโมยไป เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก เขาคงมีความจำเป็นจริงๆ".......
ฯลฯ
2. คนที่มองโลกในแง่ร้าย หรือ ในแง่ลบ
ผมจัดอยู่ในประเภทเดียวกัน หากเป็นกรณีสมมติ ว่ากระเป๋าตังหาย เพราะโดนขโมย เช่นกัน คนประเภทนี้จะมีความคิดประมาณว่า
- " ใครขโมยไป ว-ะ
แค้น
อย่าให้กรูจับได้นะ กรูจะตัดมือมัน"....
- " อย่าให้กรูรู้นะ ว่าใครเอาของกรูไป จะฆ่า
เลย".....
คนประเภทนี้จะมองอะไรในแง่ลบก่อนเสมอ จนเป็นนิสัย
- เห็นใครมีเงินทองเยอะ ก็หาว่าคอรัปชั่น,
- เห็นใครสอบได้คะแนนเยอะ ก็จะหาว่าสงสัยโกงข้อสอบ ใช้เต้าแลกเกรด ซื้ออาจารย์
- เห็นกระเทยเป็นแผลตามตัว เพราะไม่สบาย ก็หาว่าสงสัยมันเป็นเอดส์
- เห็นใครได้ดี ได้เลื่อนตำแหน่ง ก็จะหาว่าเลียเจ้านาย
- คนประเภทนี้ มองว่าตำรวจทุกคนรับส่วย, หมอทุกคน เลี้ยงไข้, แม่ค้าโกงตราชั่ง, แท็กซี่ทุกคนโกงมิเตอร์....
- คนประเภทนี้ แม้แต่เดินซุ่มซ่ามชนเก้าอี้เอง ซึ่งมันตั้งอยู่ของมันเฉยๆ ตั้งนานแล้ว ก็จะด่าคนอื่นว่าวางเกะกะ
ฯลฯ
เป็นคนประมาณว่า ตัดสินคนอื่นไปในทางลบก่อนเสมอ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง
3. คนที่มองโลกในแง่บวก
ยกตัวอย่าง กรณีกระเป๋าตังหาย เพราะโดนขโมยเช่นกัน คนเหล่านี้จะมีความคิดประมาณว่า
- "ใครขโมยไปว-ะ เสียดายชะมัด ไม่เป็นไรถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกัน อย่างน้อยตัวเราก็ปลอดภัย"
- "ใครขโมยไปว-ะ โห่... เอาว-ะ คราวหน้าก็คงต้องระวังให้มากกว่านี้แล้ว แยกเก็บเงินเป็นสองกระเป๋าแล้วกัน เผื่อคราวหน้าซวยอีก
อย่างน้อยก็ยังเหลือเงินอีกครึ่ง ถือเป็นบทเรียนแล้วกัน"
คนประเภทนี้ จะมองเห็นแง่บวก จะมองเห็นโอกาสในทุกวิกฤติเสมอ
- เงินไม่ค่อยมีใช้ จะไม่มามัวด่าว่ารัฐบาล หรือนายจ้าง แต่จะใช้เป็นโอกาสในการหางานพิเศษ
ถือเป็นโอกาสในการเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายจริงๆจังๆ สักที
- ขับรถไปไม่ทันไฟเขียว ก็จะมองว่าอย่างน้อยรอบหน้า ฉันก็ได้ขับออกเป็นคันแรกนะเว้ย
ติดไฟแดง แค่ไม่กี่นาทีเอง จะโมโหทำไม ทีเอาเวลาไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ ไปกินเหล้ากับเพื่อนเป็นชั่วโมง
ทั้งๆที่งานไม่เสร็จ โดยอ้างว่าไปคลายเครียด จนต้องมาทำงานต่อยันค่ำ ยังทำได้เลย
- ขึ้นรถไฟฟ้า แล้วได้ยืน , ไปไม่ทันลิฟต์ ก็จะมองว่า ถือเป็นโอกาสในการออกกำลังกายแล้วกัน
- โดนแซงคิว โดนขับรถปาดหน้า พระอาจารย์สอนว่า ถือเป็นครูสอบอารมณ์เรา ว่าเรายังตกเป็นทาสของความโกรธหรือป่าว
เรายังโดนกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ เล่นงานอยู่หรือป่าว เป็นครูสอบอารมณ์ในชีวิตจริง
อย่างนี้เป็นต้น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผม (พยายาม) จะเป็นคนประเภทที่ 3 ที่มองโลกในแง่บวก เห็นสัมมาโอกาส ในทุกวิกฤติ
ผมไม่ได้ชมตัวเองว่าเลิศเลอเพอร์เฟค ผมก็แค่คนธรรมดาเฉกเช่นเดียวกับคุณ
ก็แค่มองโลกต่างจากคุณบ้าง แต่คุณก็ชอบหาว่า ผมเป็น "พวกโลกสวย"
โลกมันมีปัญหาเยอะแยะมากมาย โลกมันเป็นสีเทา ผมก็เห็นอยู่
แต่มีชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างมากไม่เกิน 120 ปี แล้วใยต้องทำโลกให้มันหมองลงกว่าเดิมด้วยเล่า
สู้มีความสัมมาผาสุข อยู่กับทุกๆวัน ที่เหลืออยู่ดีกว่า
กระทู้ระบายความในใจ ของคนที่ถูกตราหน้าว่า "พวกโลกสวย"
ไม่ต้องอ่านก็ได้นะครับ หรืออ่านแล้วจะด่าก็ได้ ผมไม่ถือ ผมรับฟังทุกความคิดเห็นอยู่แล้ว
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมไม่ได้โดนว่า ว่าพวกโลกสวยในพันธุ์ทิพย์หรอกครับ แต่โดนครั้งแรกจากอดีตเจ้านายเก่า เมื่อนานมาแล้ว
แล้วมารู้จักคำนี้ ในโลกพันธุ์ทิพย์อีกที
ไม่ชอบเท่าไหร่ ที่โดนว่าอย่างนั้น เพราะดูเหมือนโดนดูถูกความคิด
แล้วสงสัยในคำจำกัดความ คำว่า "พวกโลกสวย" ของเขา
แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเดี๋ยวมีผลต่อหน้าที่การงาน
แต่ตอนนี้ออกจากที่ทำงานเก่ามาได้สักระยะแล้ว เลยถือเป็นโอกาสในการอธิบาย
ในเมื่อเขาชอบใช้ความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐานตัดสินคนอื่น ว่าเป็นพวกนั่นพวกนี่
ผมก็มีทฤษฎีของผมเหมือนกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทฤษฎีการแบ่งคนตามประเภทของการมองโลก
มีอยู่ 3 ประเภท คือ
1. พวกมองโลกในแง่ดี
2. พวกมองโลกในแง่ร้าย หรือแง่ลบ
3. พวกมองโลกในแง่บวก
คำอธิบาย
1. พวกมองโลกในแง่ดี
ในความหมายของผม คือ คนที่มองคนอื่นในแง่ดีทุกอย่าง
เหตุการณ์สมมติ ว่ากระเป๋าตังหาย เพราะโดนขโมย คนที่มองโลกในแง่ดี จะมีความคิดประมาณว่า
- "คนที่ขโมยไป เขาคงมีความจำเป็น แม่เขาอาจจะป่วย ลูกเขาคงกำลังเดือดร้อน" ......
- "คนที่ขโมยไป เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก เขาคงมีความจำเป็นจริงๆ".......
ฯลฯ
2. คนที่มองโลกในแง่ร้าย หรือ ในแง่ลบ
ผมจัดอยู่ในประเภทเดียวกัน หากเป็นกรณีสมมติ ว่ากระเป๋าตังหาย เพราะโดนขโมย เช่นกัน คนประเภทนี้จะมีความคิดประมาณว่า
- " ใครขโมยไป ว-ะ แค้น อย่าให้กรูจับได้นะ กรูจะตัดมือมัน"....
- " อย่าให้กรูรู้นะ ว่าใครเอาของกรูไป จะฆ่า เลย".....
คนประเภทนี้จะมองอะไรในแง่ลบก่อนเสมอ จนเป็นนิสัย
- เห็นใครมีเงินทองเยอะ ก็หาว่าคอรัปชั่น,
- เห็นใครสอบได้คะแนนเยอะ ก็จะหาว่าสงสัยโกงข้อสอบ ใช้เต้าแลกเกรด ซื้ออาจารย์
- เห็นกระเทยเป็นแผลตามตัว เพราะไม่สบาย ก็หาว่าสงสัยมันเป็นเอดส์
- เห็นใครได้ดี ได้เลื่อนตำแหน่ง ก็จะหาว่าเลียเจ้านาย
- คนประเภทนี้ มองว่าตำรวจทุกคนรับส่วย, หมอทุกคน เลี้ยงไข้, แม่ค้าโกงตราชั่ง, แท็กซี่ทุกคนโกงมิเตอร์....
- คนประเภทนี้ แม้แต่เดินซุ่มซ่ามชนเก้าอี้เอง ซึ่งมันตั้งอยู่ของมันเฉยๆ ตั้งนานแล้ว ก็จะด่าคนอื่นว่าวางเกะกะ
ฯลฯ
เป็นคนประมาณว่า ตัดสินคนอื่นไปในทางลบก่อนเสมอ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง
3. คนที่มองโลกในแง่บวก
ยกตัวอย่าง กรณีกระเป๋าตังหาย เพราะโดนขโมยเช่นกัน คนเหล่านี้จะมีความคิดประมาณว่า
- "ใครขโมยไปว-ะ เสียดายชะมัด ไม่เป็นไรถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกัน อย่างน้อยตัวเราก็ปลอดภัย"
- "ใครขโมยไปว-ะ โห่... เอาว-ะ คราวหน้าก็คงต้องระวังให้มากกว่านี้แล้ว แยกเก็บเงินเป็นสองกระเป๋าแล้วกัน เผื่อคราวหน้าซวยอีก
อย่างน้อยก็ยังเหลือเงินอีกครึ่ง ถือเป็นบทเรียนแล้วกัน"
คนประเภทนี้ จะมองเห็นแง่บวก จะมองเห็นโอกาสในทุกวิกฤติเสมอ
- เงินไม่ค่อยมีใช้ จะไม่มามัวด่าว่ารัฐบาล หรือนายจ้าง แต่จะใช้เป็นโอกาสในการหางานพิเศษ
ถือเป็นโอกาสในการเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายจริงๆจังๆ สักที
- ขับรถไปไม่ทันไฟเขียว ก็จะมองว่าอย่างน้อยรอบหน้า ฉันก็ได้ขับออกเป็นคันแรกนะเว้ย
ติดไฟแดง แค่ไม่กี่นาทีเอง จะโมโหทำไม ทีเอาเวลาไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ ไปกินเหล้ากับเพื่อนเป็นชั่วโมง
ทั้งๆที่งานไม่เสร็จ โดยอ้างว่าไปคลายเครียด จนต้องมาทำงานต่อยันค่ำ ยังทำได้เลย
- ขึ้นรถไฟฟ้า แล้วได้ยืน , ไปไม่ทันลิฟต์ ก็จะมองว่า ถือเป็นโอกาสในการออกกำลังกายแล้วกัน
- โดนแซงคิว โดนขับรถปาดหน้า พระอาจารย์สอนว่า ถือเป็นครูสอบอารมณ์เรา ว่าเรายังตกเป็นทาสของความโกรธหรือป่าว
เรายังโดนกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ เล่นงานอยู่หรือป่าว เป็นครูสอบอารมณ์ในชีวิตจริง
อย่างนี้เป็นต้น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผม (พยายาม) จะเป็นคนประเภทที่ 3 ที่มองโลกในแง่บวก เห็นสัมมาโอกาส ในทุกวิกฤติ
ผมไม่ได้ชมตัวเองว่าเลิศเลอเพอร์เฟค ผมก็แค่คนธรรมดาเฉกเช่นเดียวกับคุณ
ก็แค่มองโลกต่างจากคุณบ้าง แต่คุณก็ชอบหาว่า ผมเป็น "พวกโลกสวย"
โลกมันมีปัญหาเยอะแยะมากมาย โลกมันเป็นสีเทา ผมก็เห็นอยู่
แต่มีชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างมากไม่เกิน 120 ปี แล้วใยต้องทำโลกให้มันหมองลงกว่าเดิมด้วยเล่า
สู้มีความสัมมาผาสุข อยู่กับทุกๆวัน ที่เหลืออยู่ดีกว่า