กองทุนยุ่น-จีนทึ้งหุ้นไทย เม็ดเงินใหม่ท่วม ชี้ระยะสั้นผันผวน

02 เม.ย 2556 เวลา 01:26:59 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

            


โบรกฯชี้หุ้นไทยเสน่ห์แรง แพงแต่ผลตอบแทนดีติด TOP 3 แถมวอลุ่ม-สภาพคล่องสูงสุดในภูมิภาค จับตาโกลบอลฟันด์หน้าใหม่ทั้งจีน-ญี่ปุ่นโยกเงินเข้าลงทุนตลาดหุ้นไทยในระยะกลาง-ยาวฟาก บลจ.แห่ออกทริกเกอร์ฟันด์ 1.9 หมื่นล้านเตือนเสี่ยงระยะสั้นต่างชาติปรับพอร์ตขายทำกำไร

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติยังมองว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่น่าลงทุนให้ผลตอบแทนที่ดี เพียงแต่ในระยะสั้นนั้นเนื่องจากต่างชาติโอเวอร์เวตการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากแล้ว เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะซื้อเพิ่ม หรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุนค่อนข้างยาก ทำให้ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติจะมีการปรับพอร์ตเปลี่ยนเซ็กเตอร์การลงทุน หุ้นที่ราคาขึ้นสูงมากแล้วก็ขายทำกำไรไปซื้อตัวอื่นที่ราคาต่ำแทน

"ตอนนี้เราเห็นชัดว่ามีการขายตัวนั้นซื้อตัวนี้แบบย้ายกลุ่ม แต่ยังไม่ได้ทิ้งหุ้นไทย เงินยังวน ๆ อยู่เพียงแต่โอกาสที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนอีกเป็นเรื่องยาก เพราะอย่างกองทุนเท็มเพิลตันขณะนี้มีเม็ดเงินลงทุน 5,000 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ ยังไม่ได้ขายออกไปเลย อย่างไรก็ตาม กองทุนเท็มเพิลตันนั้นนำเงินเข้ามาลงทุนหุ้นไทย 2,000 กว่าล้านเหรีญ แต่ตอนนี้เพิ่มเป็น 5,000 ล้านเหรียญแล้ว เรียกว่าแทบจะไม่ได้นำเงินใหม่เข้ามา แค่โลเทจ กลุ่มหุ้นที่ลงทุนเท่านั้นทำให้มีเงินหมุนเพิ่ม รวมทั้งเงินปันผลหุ้นที่นำมาลงทุนเพิ่ม" นายปริญญ์กล่าวและว่า

โกลบอลฟันด์หน้าใหม่บุกไทย

ขณะนี้มีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา พบว่าเริ่มมีโกลบอลฟันด์หน้าใหม่เข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทย ทั้งที่ปกติกลุ่มนี้ไม่เคยเข้ามาเลย รวมทั้งกองทุนจีนและญี่ปุ่น อาทิ กองทุนไดวา ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตลาดหุ้นไทยมีบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่สภาพคล่องสูงมากขึ้น และวอลุ่มการซื้อขายต่อวันก็สูงถึง 5-6 หมื่นล้านบาท ทำให้โกลบอลฟันด์สามารถเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น ปัจจัยสำคัญคือผลกระทบเศรษฐกิจยุโรป สหรัฐ ชะลอตัว ทำให้มีการโยกการลงทุนจากตลาดยุโรปมาเอเชีย โดยกลุ่มหุ้นซึ่งเป็นที่สนใจของกองทุนต่างชาติในช่วงต่อจากนี้คือกลุ่มยูทิลิตี้ พลังงาน และสื่อสารโทรคมนาคม

นายปริญญ์กล่าวถึงเหตุผลที่นักลงทุนต่างชาติยังให้ความสนใจการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทั้งที่ราคาค่อนข้างสูงแล้วว่า "แม้ตลาดหุ้นไทยจะแพงแล้ว แต่ระยะสั้นยังไม่มีใครน่าลงทุนกว่าไทย อย่าง

ฟิลิปินส์ที่มีศักยภาพมากที่สุดในเอเชีย แต่ตอนนี้ราคาหุ้นก็แพงมากแล้ว พี/อีเทรดเกือบ 20 เท่า ขณะที่ปันผลได้น้อยกว่าหุ้นไทยอยู่ที่ 2% กว่า ๆ แต่ปันผลของไทยอยู่ที่ 3-4% และ ROE ของไทยสูงกว่าด้วย มูลค่าการซื้อต่อวันน้อยกว่าเรา สภาพคล่องก็น้อยกว่า ขณะที่สิงคโปร์ โอกาสการเติบโตทางธุรกิจไม่ค่อยมี

สำหรับเกาหลีใต้ราคายังถูกแต่เป็นตลาดที่คนไม่ค่อยสนใจ เพราะกำลังซื้อในประเทศค่อนข้างต่ำ ประชากรเป็นผู้สูงอายุเยอะ หนี้ครัวเรือนต่อหัวสูงมาก ส่วนไต้หวันหุ้นก็แพงแล้ว ขณะที่จีนมีประเด็นการเมืองถ่ายเทอำนาจ ตัวเลขเงินเฟ้อสูง และยังมีเรื่องฟองสบู่อีกด้วย ดังนั้นเศรษฐกิจจีนคงไม่หนีไปไหน"

นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติยังมองว่าประเทศไทยยังมีโอกาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการเปิดเออีซี และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจประเทศลุ่มน้ำโขง บวกกับแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยยังไปได้ดีในอนาคต

ระยะสั้นเสี่ยงปรับพอร์ตทำกำไร

นายปริญญ์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาดัชนีวิ่งขึ้นแตะระดับ 1,600 จุดเร็วเกินคาด โดยเฉพาะหุ้นเล็กและกลางที่ราคาวิ่งขึ้นไปเยอะมากช่วงสัปดาห์ก่อน จึงมีแรงเทขายทำกำไรจนดัชนีลงไปต่ำกว่า 1,500 จุด แม้ว่าดัชนีจะปรับขึ้นมาแล้ว แต่ในช่วง 2 เดือนข้างหน้ามีความเสี่ยงที่จะมีแรงเทขายทำกำไร หากผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาไม่ดีตามคาดการณ์ไว้ นักลงทุนสถาบันจะมีการวิเคราะห์และโยกเงินลงทุนออกจากหุ้นที่พี/อีสูง ๆ ไปลงหุ้นที่มีพี/อีต่ำ ๆ รวมถึงการเปรียบเทียบกับตลาดประเทศเพื่อนบ้านในหมวดเดียวกัน

"ถ้าผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาไม่ดีอาจเป็นจุดหักเหค่อนข้างสูงของตลาดอีกระลอก โดยเฉพาะหุ้นเล็กและกลางจะโดนหนัก เพราะที่ผ่านมาราคาหุ้นขึ้นไปสูง 3-4 เท่า" นายปริญญ์กล่าว

ผลตอบแทนสูงสุดติด 1 ใน 3


ด้านนายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในระยะยาวกระแสเงินลงทุนต่างชาติยังมีแนวโน้มไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แต่ในระยะสั้นจะเห็นการขายทำกำไรสลับมาหลังจากที่ตลาดหุ้นปรับขึ้นสูง ประกอบกับเป็นการลดความเสี่ยงเพื่อรอดูสถานการณ์ความชัดเจนของดอกเบี้ยนโยบาย และผลจากมาตรการการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต่างชาติกังวลอาจมีผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

"ระยะยาวการลงทุนในตลาดหุ้นไทยถือว่ายังให้ผลตอบแทนการลงทุนโดดเด่นติดอันดับ 1 ใน 3 ของตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะเงินลงทุนจากต่างชาติยังต้องการหาผลตอบแทนที่ดีจากภาวะดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ โดยตลาดหุ้นไทยมีอัตราเงินการจ่ายปันผลที่ดีในระดับที่ 3% ขณะที่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนคือกำไรยังขยายตัวดีต่อเนื่องในระดับ 14-15%"

ฟิลลิป รับงานกองทุนญี่ปุ่น

นายปรัชญากล่าวว่า ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวของกองทุนญี่ปุ่นสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นเอเชียมากขึ้น โดยขณะนี้มีกองทุนญี่ปุ่น 1 ราย ตั้งกองทุนมูลค่า 300 ล้านเหรียญ ซึ่งได้ตั้งกลุ่มฟิลลิปสิงคโปร์ ให้เป็นผู้บริหารการลงทุน และมีโอกาสที่กองทุนนี้จะแบ่งเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ เนื่องจากการลงทุนในญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนที่ต่ำ ประกอบกับก่อนหน้านี้กองทุนญี่ปุ่นมีการลงทุนในยุโรปและสหรัฐอยู่จำนวนมาก ซึ่งกำลังประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ จึงต้องหาตลาดลงทุนใหม่ที่ยังมีโอกาสการเติบโต

ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ กล่าวว่า กระแสเงินลงทุนต่างชาติเชื่อว่ายังลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทย แต่อาจเห็นการปรับพอร์ตทำกำไรบ้างในช่วงสั้น เนื่องจากประเทศไทยยังมีปัจจัยขับเคลื่อนการขยายของเศรษฐกิจที่สำคัญคือโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ที่จะสร้างประโยชน์ในระยะยาวต่อการลงทุนและการบริโภคในประเทศ รวมถึง บจ.ที่มีความเกี่ยวข้อง

ขณะนี้มีกองทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะเห็นโอกาสผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน ซึ่งในส่วนของบริษัทก็อยู่ระหว่างการเจรจาหลายราย โดยทั้งกองทุนจีนและญี่ปุ่นที่มีการลงทุนทางตรงในไทยอยู่แล้ว สำหรับแนวโน้มดัชนีในปีนี้บริษัทได้ปรับเป้าหมายดัชนีขึ้นเป็น 1,645 จุด สอดคล้องกับที่ได้ปรับคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นเป็นเติบโต 20% จากที่มองไว้ที่ 15% ขณะที่ค่าพี/อีจะขยับขึ้นเป็น 14.5 เท่าจาก 14 เท่า

ออกทริกเกอร์ฟันด์ 1.92 หมื่น ล.

ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ สำนักวิจัยทิสโก้ กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐานลงแรงในช่วงปลายสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้มี บลจ.หลายแห่งเห็นโอกาสการออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ภายในช่วง 1 สัปดาห์มีจำนวนการออกรวมถึง 12 กอง มูลค่ารวมประมาณ 1.92 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า โดยเม็ดเงินดังกล่าวจะเริ่มทยอยเข้าลงทุนตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นให้มีโอกาสปรับขึ้นได้จากเม็ดเงินลงทุนดังกล่าว

นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี กล่าวว่า สาเหตุที่มีการออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ถึง 3 กองทุนในช่วงเดือน มี.ค.นี้ เนื่องจากบริษัทเห็นว่ามีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานลง ซึ่งจะเป็นจังหวะเข้าลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า โดยบริษัทได้ปรับเป้าหมายดัชนีในปีนี้ขึ้นเป็น 1,680 จุด จากต้นปีประเมินไว้ที่ระดับ 1,500 จุด

ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯปีนี้มีโอกาสเติบโตถึง 15-16% ส่งผลกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ที่เชื่อว่ายังมีโอกาสไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเพื่อหาผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าในสหรัฐและยุโรป โดยตลาดหุ้นไทยที่ยังมีความน่าสนใจเมื่อเปรียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยมีทั้งเม็ดเงินลงทุนเดิมที่ยังอยู่และยังมีโอกาสที่จะมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้าเพิ่มเติม

เนื่องจากมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบของทั้งธนาคารกลางยุโรป, สหรัฐ และญี่ปุ่น ยังดำเนินต่อไป ทำให้ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณความสนใจของกองทุนหน้าใหม่ ทั้งจากจีนและญี่ปุ่นที่มีความสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

กสิกรฯโดดร่วมวงชี้ลูกค้าเรียกร้อง

ด้านนายจงรัก รัตนเพียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทออกกองทุนเปิดเค ไทย เฟล็กซิเบิล อิควิตี้ ทริกเกอร์ 1 (KTFET1) ถือเป็นการออกกองทุนครั้งแรก เนื่องจากในอดีตเห็นว่าการลงทุนลักษณะนี้เป็นการลงทุนในระยะสั้น แต่ปัจจุบันมีลูกค้าแสดงความต้องการลงทุนในกองทุนมากขึ้น ประกอบเป็นจังหวะเวลาที่เอื้อต่อการตั้งกองทุนจากแนวโน้มที่ตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นไปต่อ

สำหรับเป้าหมายดัชนีในปีนี้จากปัจจัยพื้นฐานที่คาดว่ากำไรของ บจ.จะเติบโต 20% และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 3% ประเมินว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,600 จุด ยังมีโอกาสขยับไปได้อีกประมาณ 100 จุด จากเป้าหมาย เพราะได้ปัจจัยสนับสนุนจากสภาพคล่อง ทั้งจากในประเทศที่มีการออมสูง พร้อมหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และต่างประเทศที่ไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นที่ถือว่าสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งมีทั้งนักลงทุนต่างชาติกลุ่มเดิมที่ลงทุนอยู่แล้วและยังลงทุนต่อเนื่อง ประกอบกับยังมีกลุ่มนักลงทุนต่างชาติรายใหม่ ๆ ที่ยังเห็นโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากปัจจัยพื้นฐานที่ยังเอื้อต่อการลงทุนในระยะยาวในตลาดหุ้นที่ยังให้ผลตอบแทนที่ดี จากอานิสงส์การลงทุนของภาครัฐและการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวได้ดี แต่ในระยะสั้นอาจเห็นต่างชาติขายออกเพื่อล็อกกำไรเพื่อไปหาตลาดอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ในอนาคตก็มีโอกาสกลับเข้ามาลงทุนใหม่ รวมถึงกลุ่มที่มองว่าหุ้นไทยเริ่มแพงก็โยกเงินออกไปลงทุนตลาดอื่น ๆ ที่ราคาหุ้นยังต่ำ ก็มีโอกาสที่จะกลับมาลงทุนใหม่

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่