ในความคิดผม ที่ไม่เกี่ยวกับหลักวิชาการ ไม่มีตัวเลขมานำเสนอและไม่อาศัยจินตนาการ แต่เป็นความคิดที่อาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วนๆ จะถูกหรือผิดก็เป็นเพียงวิจารณญาณของคนๆหนึ่งที่อยากเห็นประเทศได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังครับ
ในความคิดของผมสำหรับเรื่องความพร้อมนั้น ผมมองว่า ประเทศไทยไม่น่าจะเกี่ยวกับพร้อมหรือไม่ แต่อยู่ที่จะเริ่มหรือไม่ต่างหากครับ
ในอดีต เราเคยมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ช่วงนั้นก็มีแต่คนติติง ทักท้วง จากเหล่านักวิชาการก็ดี จากเหล่าผู้ห่วงชาติทั้งหลายก็ดี จากพรรคฝ่ายค้านก็ดี ล้วนแต่ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงความไม่พร้อม กังวลกับปัญหาที่จะตามมา กังวลกับงบประมาณมากมายที่จะต้องใช้กับโครงการนี้ จนออกมาทักท้วง คัดค้านกันมากมาย จนเกิดวลี “30 บาทตายทุกโรค”
แต่หลังจากผ่านการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ แก้ไขส่วนที่บกพร่องต่างๆ เพียงไม่กี่ปี จากประชานิยมที่ต้องการแค่คะแนนเสียง มากลายเป็นนโยบายที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากการยึดอำนาจหรือรัฐบาลที่เคยออกมาคัดค้านกันเต็มที่ ต่างก็ไม่กล้าเลิกโครงการนี้สักรัฐบาลเดียว และจนถึงวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นอย่างแจ่มชัด เมื่อองค์การอนามัยโลกได้หยิบยกโครงการนี้เป็นแม่แบบสำหรับประเทศอื่นๆไปแล้วด้วย นี่ก็เป็นโครงการหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า ไม่ใช่ความพร้อมหรือไม่พร้อม แต่อยู่ที่ทำเป็นหรือไม่ต่างหากครับ
จำได้ว่าการสร้างสนามบินหนองงูเห่า ที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างการร่วม 50 ปีก็ไม่แล้วเสร็จ แต่พอมายุคของนักบริหารอย่างคุณทักษิณก็สามารถสร้างเสร็จ และเปิดใช้งานเพียงแค่สมัยเดียว ตอนนั้นจำได้ว่า หลายฝ่ายก็ออกมาทักท้วงกันอย่างเอิกเกริก ถึงความไม่พร้อมเช่นกัน แม้กระทั่งเปิดบินแล้ว ก็ยังห่วงเรื่องการไม่พร้อมของรันเวย์ ความไม่พร้อมของห้องน้ำ ความไม่พร้อมของหลังคา และความไม่โปร่งใสของรัฐบาล แม้กระทั่งบางคนเป็นห่วงถึงปลาสลิดบางบ่อจะสูญพันธุ์เสียด้วยซ้ำไป จนมีความพยายามจะยกเลิกสนามบินไปเลย และบางคนสุดโต่งถึงกับจะให้เป็นสุสานฝังทักษิณไปเลยโน่น
แต่ปัจจุบันสนามบินกลายเป็นสนามบินที่ติดอันดับโลกไปแล้ว เป็นสนามบินที่สามารถรองรับผู้โดยสารมากมาย เป็นสนามบินที่นำเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเข้าประเทศที่เข้าประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี จนเดี่ยวนี้ต้องเปิดสนามบินดอนเมืองขึ้นอีกแห่ง จึงจะเพียงพอรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศได้ ถ้าเรายังห่วงความไม่พร้อมในวันนั้น วันนี้เราจะทำอย่างไรกับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โอกาสเหล่านี้เราจะปล่อยให้มันหลุดไป เพียงเพราะเราไม่มีสนามบินรองรับอย่างนั้นหรือ? ดังนั้นเราจะให้คำว่า “ไม่พร้อม”มาทำลายโอกาสพัฒนาประเทศอย่างนั้นหรือ?
ไม่ต้องดูอื่นไกล แค่ 3 จี จนป่านนี้เรายังไม่มีโอกาสได้ใช้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งๆที่ประเทศลาว เขมร กำลังได้ใช้ 4 จีกันแล้ว ที่เราตามเขาไม่ทัน เป็นเพราะประเทศเหล่านี้พร้อมกว่าเราอย่างนั้นหรือ? เรายังจะยึดติดกับคำว่า “ไม่พร้อม”มาทำลายโอกาสที่เราจะได้ใช้เทคโนโลยี่นำสมัย เพื่อสู่หนทางที่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ?
คราวนี้มาดูถึงการพลิกโฉมประเทศที่ว่ายังไม่พร้อมนั้น
เรามีรถไฟมาร้อยกว่าปี มีการพัฒนาถึงระดับไหนกัน?
ประเทศต่างๆเขามีรถไฟความเร็วสูงกันมากี่ปีแล้ว?
เรากังวลกับเรื่องรถติดกันมากแค่ไหน?
เราเป็นห่วงกับชีวิตมากมายที่ต้องเสียไปกับ 7 วันอันตรายมานานแค่ไหน?
เราเสียมูลค่ากับสินค้าเกษตรกรรมที่คุณภาพลดลงจากการขนส่งที่ล่าช้าไปมากแค่ไหน?
และเราจะเสียโอกาสมหาศาลแค่ไหน เมื่อเรายังไล่ทันประเทศอื่นๆไม่ทัน?
ผมจึงเห็นว่าตอนนี้ไม่ใช่ว่าเราพร้อมหรือยังสำหรับการพลิกโฉมประเทศ แต่เป็นควรเริ่มมาตั้งนานเสียด้วยซ้ำไป เป็นเพราะเราไม่เริ่ม วันนี้เราจึงคิดว่า เรายังไม่พร้อม เหมือนการปีนเขา ถ้าเรามัวแต่แหงนคอมองยอดเขา โดยไม่คิดเริ่มต้นปีน ไม่ว่านานเท่าไรก็ไม่มีทางถึงยอดเขาได้หรอกครับ ได้แต่มองคนอื่นปีนสู่ความสำเร็จ แล้วก็ใช้คำว่า “อยู่อย่างพอเพียง”มาคอยปลอบประโลมใจตัวเองไปวันๆ
ดังนั้นผมจึงคิดว่า สาเหตุที่ประเทศไทยไม่มีการพัฒนาไปถึงไหน เพราะเรายังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่มที่มีหัวอนุรักษ์นิยม ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยสร้างสรรค์อะไรที่ส่อให้เห็นถึงความต้องการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมประเทศอื่น
จะเป็นเพราะตามไม่ทันกับสิ่งใหม่ๆ
จะเป็นเพราะยึดติดกับอนุรักษ์นิยม
จะเป็นเพราะกลัวเกรงกับอำนาจจะลดหายไป
หรือจะเป็นเพราะกลัวจะปกครองลำบาก เพราะประชาชนฉลาดขึ้น
สิ่งเหล่านี้ต่างหากครับที่เป็นอุปสรรค คอยถ่วงความเจริญของประเทศ ทำให้ประเทศเราไม่พร้อมไปเสียทุกเรื่องต่างหากครับ
ประชาธิปไตยก็เหมือนกัน ขนาดเราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแปดสิบกว่าปี มีประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่จนถึงปัจจุบันนี้ ยังมีคนบอกว่า เรายังไม่พร้อมมีประชาธิปไตย เพราะประเทศยังยากจนอยู่ ประชาชนยังไม่รู้จักประชาธิปไตยดีพอ และถ้าเรายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าอีก 80 ปีข้างหน้า ประเทศเราก็ยังคงไม่พร้อมมีประชาธิปไตยอย่างแน่นอนครับ ไปๆมาๆก็อดวกเข้ามาเรื่องนี้ไม่ได้ คงต้องขออภัยด้วยนะครับ ที่ผมคิดว่า มันก็เป็นความไม่พร้อมเหมือนกัน
ที่ผมคิดได้ในเวลานี้ ความไม่พร้อมไม่ใช่อยู่ที่ประเทศ ความไม่พร้อมไม่ใช่อยู่ที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ แต่เป็นความไม่พร้อมของคนบางกลุ่มบางพวกที่เกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เราเรียกกันง่ายๆว่า “กลุ่มอำมาตย์” ต่างหากครับ ดังนั้นขอแค่เรามีประชาธิปไตยฉบับของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนมีสิทธิมีสิทธิอย่างแท้จริง เมื่อนั้นแหละครับ ประเทศไทยจะพร้อมไปทุกอย่างที่ประเทศอื่นเขาพร้อมกัน
สุดท้ายในความคิดผม ตอนนี้แหละครับ เป็นตอนที่ประเทศไทยน่าจะพร้อมที่สุด
เรามีนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย
เรามีนายกฯที่มีความขยันขันแข็งที่จะพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง
เรามีรัฐมนตรีที่เป็นหัวก้าวหน้าอย่างคุณชัชชาติ
เรามีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพพอที่จะผลักดันให้เกิดความสำเร็จ
และเรายังมีคุณทักษิณ ที่ประสบกับความสำเร็จมากมาย จนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวไทยและชาวโลกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านบริหารหรือวิสัยทัศน์มาเป็นที่ปรึกษา
ดังนั้นมันจึงเป็นความพร้อมยิ่งกว่าพร้อมอีกครับ ถ้าตกขบวนนี้ไปแล้ว รอจนได้รัฐบาล “ดีแต่พูด”ล่ะก้อ ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่พลิกโฉมประเทศเลยครับ เอาแค่ “ชั่งไข่ขาย”ทำให้สำเร็จได้ก็เก่งแล้วครับ....................................
ประเทศเราพร้อมหรือยังกับ การพลิกโฉมประเทศกันหรือยัง
ในความคิดของผมสำหรับเรื่องความพร้อมนั้น ผมมองว่า ประเทศไทยไม่น่าจะเกี่ยวกับพร้อมหรือไม่ แต่อยู่ที่จะเริ่มหรือไม่ต่างหากครับ
ในอดีต เราเคยมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ช่วงนั้นก็มีแต่คนติติง ทักท้วง จากเหล่านักวิชาการก็ดี จากเหล่าผู้ห่วงชาติทั้งหลายก็ดี จากพรรคฝ่ายค้านก็ดี ล้วนแต่ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงความไม่พร้อม กังวลกับปัญหาที่จะตามมา กังวลกับงบประมาณมากมายที่จะต้องใช้กับโครงการนี้ จนออกมาทักท้วง คัดค้านกันมากมาย จนเกิดวลี “30 บาทตายทุกโรค”
แต่หลังจากผ่านการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ แก้ไขส่วนที่บกพร่องต่างๆ เพียงไม่กี่ปี จากประชานิยมที่ต้องการแค่คะแนนเสียง มากลายเป็นนโยบายที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากการยึดอำนาจหรือรัฐบาลที่เคยออกมาคัดค้านกันเต็มที่ ต่างก็ไม่กล้าเลิกโครงการนี้สักรัฐบาลเดียว และจนถึงวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นอย่างแจ่มชัด เมื่อองค์การอนามัยโลกได้หยิบยกโครงการนี้เป็นแม่แบบสำหรับประเทศอื่นๆไปแล้วด้วย นี่ก็เป็นโครงการหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า ไม่ใช่ความพร้อมหรือไม่พร้อม แต่อยู่ที่ทำเป็นหรือไม่ต่างหากครับ
จำได้ว่าการสร้างสนามบินหนองงูเห่า ที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างการร่วม 50 ปีก็ไม่แล้วเสร็จ แต่พอมายุคของนักบริหารอย่างคุณทักษิณก็สามารถสร้างเสร็จ และเปิดใช้งานเพียงแค่สมัยเดียว ตอนนั้นจำได้ว่า หลายฝ่ายก็ออกมาทักท้วงกันอย่างเอิกเกริก ถึงความไม่พร้อมเช่นกัน แม้กระทั่งเปิดบินแล้ว ก็ยังห่วงเรื่องการไม่พร้อมของรันเวย์ ความไม่พร้อมของห้องน้ำ ความไม่พร้อมของหลังคา และความไม่โปร่งใสของรัฐบาล แม้กระทั่งบางคนเป็นห่วงถึงปลาสลิดบางบ่อจะสูญพันธุ์เสียด้วยซ้ำไป จนมีความพยายามจะยกเลิกสนามบินไปเลย และบางคนสุดโต่งถึงกับจะให้เป็นสุสานฝังทักษิณไปเลยโน่น
แต่ปัจจุบันสนามบินกลายเป็นสนามบินที่ติดอันดับโลกไปแล้ว เป็นสนามบินที่สามารถรองรับผู้โดยสารมากมาย เป็นสนามบินที่นำเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเข้าประเทศที่เข้าประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี จนเดี่ยวนี้ต้องเปิดสนามบินดอนเมืองขึ้นอีกแห่ง จึงจะเพียงพอรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศได้ ถ้าเรายังห่วงความไม่พร้อมในวันนั้น วันนี้เราจะทำอย่างไรกับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โอกาสเหล่านี้เราจะปล่อยให้มันหลุดไป เพียงเพราะเราไม่มีสนามบินรองรับอย่างนั้นหรือ? ดังนั้นเราจะให้คำว่า “ไม่พร้อม”มาทำลายโอกาสพัฒนาประเทศอย่างนั้นหรือ?
ไม่ต้องดูอื่นไกล แค่ 3 จี จนป่านนี้เรายังไม่มีโอกาสได้ใช้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งๆที่ประเทศลาว เขมร กำลังได้ใช้ 4 จีกันแล้ว ที่เราตามเขาไม่ทัน เป็นเพราะประเทศเหล่านี้พร้อมกว่าเราอย่างนั้นหรือ? เรายังจะยึดติดกับคำว่า “ไม่พร้อม”มาทำลายโอกาสที่เราจะได้ใช้เทคโนโลยี่นำสมัย เพื่อสู่หนทางที่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ?
คราวนี้มาดูถึงการพลิกโฉมประเทศที่ว่ายังไม่พร้อมนั้น
เรามีรถไฟมาร้อยกว่าปี มีการพัฒนาถึงระดับไหนกัน?
ประเทศต่างๆเขามีรถไฟความเร็วสูงกันมากี่ปีแล้ว?
เรากังวลกับเรื่องรถติดกันมากแค่ไหน?
เราเป็นห่วงกับชีวิตมากมายที่ต้องเสียไปกับ 7 วันอันตรายมานานแค่ไหน?
เราเสียมูลค่ากับสินค้าเกษตรกรรมที่คุณภาพลดลงจากการขนส่งที่ล่าช้าไปมากแค่ไหน?
และเราจะเสียโอกาสมหาศาลแค่ไหน เมื่อเรายังไล่ทันประเทศอื่นๆไม่ทัน?
ผมจึงเห็นว่าตอนนี้ไม่ใช่ว่าเราพร้อมหรือยังสำหรับการพลิกโฉมประเทศ แต่เป็นควรเริ่มมาตั้งนานเสียด้วยซ้ำไป เป็นเพราะเราไม่เริ่ม วันนี้เราจึงคิดว่า เรายังไม่พร้อม เหมือนการปีนเขา ถ้าเรามัวแต่แหงนคอมองยอดเขา โดยไม่คิดเริ่มต้นปีน ไม่ว่านานเท่าไรก็ไม่มีทางถึงยอดเขาได้หรอกครับ ได้แต่มองคนอื่นปีนสู่ความสำเร็จ แล้วก็ใช้คำว่า “อยู่อย่างพอเพียง”มาคอยปลอบประโลมใจตัวเองไปวันๆ
ดังนั้นผมจึงคิดว่า สาเหตุที่ประเทศไทยไม่มีการพัฒนาไปถึงไหน เพราะเรายังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่มที่มีหัวอนุรักษ์นิยม ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยสร้างสรรค์อะไรที่ส่อให้เห็นถึงความต้องการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมประเทศอื่น
จะเป็นเพราะตามไม่ทันกับสิ่งใหม่ๆ
จะเป็นเพราะยึดติดกับอนุรักษ์นิยม
จะเป็นเพราะกลัวเกรงกับอำนาจจะลดหายไป
หรือจะเป็นเพราะกลัวจะปกครองลำบาก เพราะประชาชนฉลาดขึ้น
สิ่งเหล่านี้ต่างหากครับที่เป็นอุปสรรค คอยถ่วงความเจริญของประเทศ ทำให้ประเทศเราไม่พร้อมไปเสียทุกเรื่องต่างหากครับ
ประชาธิปไตยก็เหมือนกัน ขนาดเราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแปดสิบกว่าปี มีประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่จนถึงปัจจุบันนี้ ยังมีคนบอกว่า เรายังไม่พร้อมมีประชาธิปไตย เพราะประเทศยังยากจนอยู่ ประชาชนยังไม่รู้จักประชาธิปไตยดีพอ และถ้าเรายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าอีก 80 ปีข้างหน้า ประเทศเราก็ยังคงไม่พร้อมมีประชาธิปไตยอย่างแน่นอนครับ ไปๆมาๆก็อดวกเข้ามาเรื่องนี้ไม่ได้ คงต้องขออภัยด้วยนะครับ ที่ผมคิดว่า มันก็เป็นความไม่พร้อมเหมือนกัน
ที่ผมคิดได้ในเวลานี้ ความไม่พร้อมไม่ใช่อยู่ที่ประเทศ ความไม่พร้อมไม่ใช่อยู่ที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ แต่เป็นความไม่พร้อมของคนบางกลุ่มบางพวกที่เกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เราเรียกกันง่ายๆว่า “กลุ่มอำมาตย์” ต่างหากครับ ดังนั้นขอแค่เรามีประชาธิปไตยฉบับของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนมีสิทธิมีสิทธิอย่างแท้จริง เมื่อนั้นแหละครับ ประเทศไทยจะพร้อมไปทุกอย่างที่ประเทศอื่นเขาพร้อมกัน
สุดท้ายในความคิดผม ตอนนี้แหละครับ เป็นตอนที่ประเทศไทยน่าจะพร้อมที่สุด
เรามีนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย
เรามีนายกฯที่มีความขยันขันแข็งที่จะพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง
เรามีรัฐมนตรีที่เป็นหัวก้าวหน้าอย่างคุณชัชชาติ
เรามีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพพอที่จะผลักดันให้เกิดความสำเร็จ
และเรายังมีคุณทักษิณ ที่ประสบกับความสำเร็จมากมาย จนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวไทยและชาวโลกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านบริหารหรือวิสัยทัศน์มาเป็นที่ปรึกษา
ดังนั้นมันจึงเป็นความพร้อมยิ่งกว่าพร้อมอีกครับ ถ้าตกขบวนนี้ไปแล้ว รอจนได้รัฐบาล “ดีแต่พูด”ล่ะก้อ ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่พลิกโฉมประเทศเลยครับ เอาแค่ “ชั่งไข่ขาย”ทำให้สำเร็จได้ก็เก่งแล้วครับ....................................