ประกาศสงครามฝ่ายเดียว ถ้าปฏิบัติ คือ รุกรานครับ ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเทคนิค เค้ายังไม่รบกันหรอก มาดูพม่าดีกว่าครับ มีผลกระทบกับไทยเยอะ
ความรุนแรงต่อชาวมุสลิมในพม่าถูกปลุกโดยทหาร
การที่ทหารพม่าสนับสนุนและปลุกระดมพระสงฆ์ “ฟาสซิสต์” ในองค์กร “969” มีความสำคัญยิ่งสำหรับกองทัพ เมื่อเราเข้าใจว่าพระสงฆ์ก้าวหน้าเคยออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านทหารในปี 1988 และ 2007 และการรณรงค์จัดตั้งกระแสเหยียดเชื้อชาติมีประโยชน์สำหรับทหารที่ยังครองอำนาจเผด็จการอยู่หลังหน้ากากปลอมของประชาธิปไตยในช่วงนี้
สื่อกระแสหลักชอบเผยแพร่นิยายว่าความรุนแรงที่กำลังเกิดในพม่า มาจากความขัดแย้ง “ธรรมชาติ” ระหว่างคนที่มีเชื้อชาติและศาสนาต่างกัน แต่ในดินแดนที่ปัจจุบันเป็นพม่า ชนชาติต่างๆ อาศัยด้วยกันอย่างสงบมานาน
ยุทธวิธี “แบ่งแยกและปกครอง” เป็นสิ่งที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษพัฒนามานาน เพื่อไม่ให้เกิดความสามัคคีกันระหว่างคนพื้นเมืองซึ่งจะมาท้าทายการปกครองของเจ้าอาณานิคม และจักรวรรดินิยมตะวันตกมีนักวิชาการเรื่องชื่อ J.S. Furnivall ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการอังกฤษ ที่เสนอทฤษฏีเรื่อง “พหุสังคม” เพื่อแก้ตัวว่าคนเชื้อชาติต่างๆ มักแยกกันอยู่และแบ่งงานกันทำตามธรรมชาติ และแน่นอน “ธรรมชาติ” ระบุว่าคนตะวันตกต้องเป็นผู้ปกครอง มันตรงข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เพราะอำนาจตะวันตกเป็นผู้กำหนดว่าเชื้อชาติไหนจะมีสิทธิ์ทำงานประเภทไหน พูดภาษาอะไร และอาศัยอยู่ในส่วนไหนของเมือง
ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อเอกราชจากอังกฤษ องค์กรชาตินิยมพม่าชื่อ Dobama Asiayone ซึ่งมี อองซาน เป็นสมาชิกสำคัญ มีนโยบายชาตินิยมพุทธสุดขั้ว องค์กรนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการก่อจลาจลทำร้ายคนเชื้อสายอินเดียที่เป็นกรรมกรท่าเรือในปี 1930 ในปีนั้นกรรมกรท่าเรือเชื้อสายอินเดียนัดหยุดงาน แต่อังกฤษนำแรงงานพม่ามาแทนที่ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างหนัก พวกชาตินิยมพม่ามองว่าแรงงานเชื้อสายอินเดียเป็น “คนต่างชาติ” ที่มาแย่งงานคนพม่า นอกจากนี้พวกชาตินิยมใช้นายธนาคารอินเดียเป็นแพะรับบาปเพื่อโทษว่าเขาเป็นต้นเหตุแห่งความยากจนในหมู่ชาวนาพม่า แต่ในความเป็นจริงชนบทพม่ามีความเหลื่อมล้ำทางสังคมภายในเชื้อชาติพม่าสูง และคนที่ปล่อยกู้ให้คนจนในชนบทเป็นคนพม่าในหมู่บ้านเดียวกัน ต่อมาในปี 1938 มีการทำร้ายชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลาม
นักวิชาการชื่อ Martin Smith ในหนังสือ “Burma, insurgency and the politics of ethnicity”, รายงานว่า อองซาน มีอคติกับการเรียกร้องเสรีภาพโดยชนชาติต่างๆ นอกจากชนชาติพม่าและไทยใหญ่ ซึ่งอองซานมองว่าเป็น “ชนชาติจริง” และกองทัพปลดแอกพม่า ภายใต้การนำของ อองซาน ถูกกล่าวหาว่าเข่นฆ่าพลเรือนชาวกะเหรียงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะชาวกะเหรี่ยงมักจะรบในกองทัพของอังกฤษ
ในปี 1991 สามปีหลังความล้มเหลวของการลุกฮือเพื่อประชาธิปไตยที่พยายามล้มเผด็จการทหาร “8-8-88” ตำรวจพม่าออกมาปราบปรามชาวโรฮิงญาในรัฐอาราคานด้วยความรุนแรง ต่อมาในปี 1997 พระสงฆ์คลั่งชาติ ถูกทหารจัดตั้งให้ไปเผาบ้านและมัสยิดของชาวมุสลิมในเมือง พะโค
ถ้าเราจะเข้าใจความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นต่อชาวมุสลิมในขณะนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งกระทำโดยอันธพาลพระสงฆ์พุทธ เราต้องดูประวัติศาสตร์ของการ “แบ่งแยกและปกครอง” ในพม่า ทั้งโดยอังกฤษและรัฐบาลเผด็จการทหารที่ตามมา รวมถึงลัทธิคลั่งชาติสายพุทธขององค์กร Dobama Asiayone อีกด้วย ตอนนี้มีรายงานข่าวว่า พระสงฆ์ชาตินิยมสุดขั้วชื่อ วีราธุ เป็นหัวหน้าขบวนการขวาจัด “969” และพวกนี้ใกล้ชิดกับทหาร โดยเฉพาะนายพล Khin Nyunt จากองค์กรราชการลับของกองทัพพม่า
การที่ทหารพม่าสนับสนุนและปลุกระดมพระสงฆ์ “ฟาสซิสต์” ในองค์กร “969” มีความสำคัญยิ่งสำหรับกองทัพ เมื่อเราเข้าใจว่าพระสงฆ์ก้าวหน้าเคยออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านทหารในปี 1988 และ 2007 และการรณรงค์จัดตั้งกระแสเหยียดเชื้อชาติมีประโยชน์สำหรับทหารที่ยังครองอำนาจเผด็จการอยู่หลังหน้ากากปลอมของประชาธิปไตยในช่วงนี้ เพราะมันเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากการที่พม่ายังไม่มีประชาธิปไตยจริง การที่สภาพการเมืองไม่แน่นอน และการที่ความเหลื่อมล้ำในสังคมกำลังเพิ่มขึ้นเมื่อบริษัททุนใหญ่เข้ามาลงทุนในพม่าภายใต้เงื่อนไขของตลาดเสรี ชาวมุสลิมมักถูกป้ายสี เหมือนชาวยิวในยุโรป หรือคนจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่า “คุมเศรษฐกิจ”
มันมีตัวอย่างมากมายของการที่ชนชั้นปกครองเก่าพยายามปลุกปั่นความรุนแรงทางเชื้อชาติในยามที่มีการเปลี่ยนแปลง ในอินโดนีเซีย เมื่อนายพลซุฮารโต้ยึดอำนาจในปี 1965 มีการระดมพวกมุสลิมสุดขั้วไปฆ่าคนจีน พร้อมๆ กันนั้นมีการไล่ฆ่าคอมมิวนิสต์ถึงหนึ่งล้านคน ต่อมาเมื่อซุฮาร์โต้ถูกล้ม บางกลุ่มในชนชั้นปกครองเดิมพยายามปลุกระดมม็อบให้ไปทำร้ายคนจีนในปี 1998 เพื่อให้คนมองว่าการไม่มีเผด็จการทหารสร้างความปั่นป่วน ทุกวันนี้หลังจากการเลือกตั้งหลายรอบในอินโดนีเซีย ประธานาธิบดี Susilo Bambang Yudhoyono เป็นอดีตนายพลจากพรรคของซุฮาร์โต้
ในปี 1969 เมื่อพรรครัฐบาล UMNO ในมาเลเซียเริ่มเสียคะแนนเสียง รัฐบาลก็ไปปลุกระดมให้คนมาเลย์ไปก่อจลาจลทำร้ายคนจีน หลังจากนั้นมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน มาเลเซียขึ้นชื่อว่าใช้การเมืองเชื้อชาติ เพื่อปกปิดการต่อสู้ทางชนชั้น รัฐบาลเขมรก็เคยใช้ความรุนแรงต่อคนเชื้อชาติเวียดนาม และรัฐบาลเวียดนามก็ขับไล่คนจีนออกจากประเทศเช่นกัน
ในอดีตยูโกสลาเวีย เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหนัก นักการเมืองท้องถิ่นใช้การเมืองเชื้อชาติเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง จนเกิดสงครามกลางเมืองป่าเถื่อน
สิ่งที่น่าสลดใจ แต่ไม่แปลกใจ คือการที่นาง อองซาน ซูจี ลูกสาวของ อองซาน ออกมาปกป้องจุดยืนของทหารพม่า แทนที่จะปกป้องชาวมุสลิม แถมในกรณีโรฮิงญา มีการพูดว่าเขาไม่ใช่พลเมืองอีกด้วย นางซูจี เป็นตัวหลักในการให้ความชอบธรรมกับประชาธิปไตยจอมปลอมในพม่าในยุคนี้ นอกจากนี้เขาสนับสนุนกลุ่มทุนใหญ่และแนวกลไกตลาด เมื่อไม่นานมานี้ชาวบ้านไล่ด่านางอองซาน เมื่อเขาบอกว่าชาวบ้านต้องเสียสละยอมออกจากที่ เพื่อให้กลุ่มทุนใหญ่เข้ามาทำเหมืองแร่
ความรุนแรงทางเชื่อชาติที่เกิดในพม่า ไม่ใช่ “ธรรมชาติ” ของความขัดแย้งระหว่างชุมชนต่างเชื้อชาติหรือศาสนา ซึ่งรัฐจะเข้ามาแก้ได้ เพราะรัฐเป็นตัวกลางในการปลุกระดมความรุนแรงแต่แรก รัฐพม่าไม่ใช่ตัวปีศาจ “Leviathan” ที่จะห้ามไม่ให้มนุษย์ฆ่ากัน ตามความคิด ทอมมัส ฮอบส์ รัฐพม่าเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองในการกดขี่ชนชั้นอื่น มันเป็นอุปสรรค์ต่อประชาธิปไตยและสันติสุข
........................................................................
จขกท
ในเมืองไทยมีการ ใช้ความแตกแยกทางความคิดมาเป็นประโยชแก่กลุ่มตน ส่งเสริมความแตกแยกเพื่อการคงอยู่ ของกลุ่มอำนาจหนึ่ง เพื่อคงไว้ซึ่งสถานะของตัวเอง ใช้ความแตกแยกเป็นเครื่องมือทางการเมือง ส่งเสริมความเกลียดชัง เพื่อชัยชนะ ละทิ้งหลักนิติรัฐนิติธรรม เพียงเพื่อหวังผลทางการเมืองโดยที่ไม่รู้ หรือรู้ แต่ยังทำว่า ได้ทิ้งรอยบอบช้ำและบาดแผลในสังคมเอาไว้มากมายเพียงใด เมื่อคนรุ่นเราตาย ความแตกแยกในสังคม จะยังคงอยู่ ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานเราแก้ไข พวกเรา คือ ประวัติศาสต์ ที่เค้าจะศึกษา ชื่นชม หรือสาปแช่ง คนชนะ จะเป็นผู้เขียนประวัติศาสต์ ฉบับนั้น หลักการประชาธิปไตยหายไปเหลือไว้แต่การต่อสู้ ถ้าอย่างนั้น อีกหน่อย ประเทศเรา คงไม่ต่างจากพม่า
ไม่ต้องไปห่วงเกาหลีครับ มันไม่รบกันหรอก..สนใจพม่าดีกว่า ใกล้บ้านเราเนี๊ย
ความรุนแรงต่อชาวมุสลิมในพม่าถูกปลุกโดยทหาร
การที่ทหารพม่าสนับสนุนและปลุกระดมพระสงฆ์ “ฟาสซิสต์” ในองค์กร “969” มีความสำคัญยิ่งสำหรับกองทัพ เมื่อเราเข้าใจว่าพระสงฆ์ก้าวหน้าเคยออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านทหารในปี 1988 และ 2007 และการรณรงค์จัดตั้งกระแสเหยียดเชื้อชาติมีประโยชน์สำหรับทหารที่ยังครองอำนาจเผด็จการอยู่หลังหน้ากากปลอมของประชาธิปไตยในช่วงนี้
สื่อกระแสหลักชอบเผยแพร่นิยายว่าความรุนแรงที่กำลังเกิดในพม่า มาจากความขัดแย้ง “ธรรมชาติ” ระหว่างคนที่มีเชื้อชาติและศาสนาต่างกัน แต่ในดินแดนที่ปัจจุบันเป็นพม่า ชนชาติต่างๆ อาศัยด้วยกันอย่างสงบมานาน
ยุทธวิธี “แบ่งแยกและปกครอง” เป็นสิ่งที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษพัฒนามานาน เพื่อไม่ให้เกิดความสามัคคีกันระหว่างคนพื้นเมืองซึ่งจะมาท้าทายการปกครองของเจ้าอาณานิคม และจักรวรรดินิยมตะวันตกมีนักวิชาการเรื่องชื่อ J.S. Furnivall ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการอังกฤษ ที่เสนอทฤษฏีเรื่อง “พหุสังคม” เพื่อแก้ตัวว่าคนเชื้อชาติต่างๆ มักแยกกันอยู่และแบ่งงานกันทำตามธรรมชาติ และแน่นอน “ธรรมชาติ” ระบุว่าคนตะวันตกต้องเป็นผู้ปกครอง มันตรงข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เพราะอำนาจตะวันตกเป็นผู้กำหนดว่าเชื้อชาติไหนจะมีสิทธิ์ทำงานประเภทไหน พูดภาษาอะไร และอาศัยอยู่ในส่วนไหนของเมือง
ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อเอกราชจากอังกฤษ องค์กรชาตินิยมพม่าชื่อ Dobama Asiayone ซึ่งมี อองซาน เป็นสมาชิกสำคัญ มีนโยบายชาตินิยมพุทธสุดขั้ว องค์กรนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการก่อจลาจลทำร้ายคนเชื้อสายอินเดียที่เป็นกรรมกรท่าเรือในปี 1930 ในปีนั้นกรรมกรท่าเรือเชื้อสายอินเดียนัดหยุดงาน แต่อังกฤษนำแรงงานพม่ามาแทนที่ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างหนัก พวกชาตินิยมพม่ามองว่าแรงงานเชื้อสายอินเดียเป็น “คนต่างชาติ” ที่มาแย่งงานคนพม่า นอกจากนี้พวกชาตินิยมใช้นายธนาคารอินเดียเป็นแพะรับบาปเพื่อโทษว่าเขาเป็นต้นเหตุแห่งความยากจนในหมู่ชาวนาพม่า แต่ในความเป็นจริงชนบทพม่ามีความเหลื่อมล้ำทางสังคมภายในเชื้อชาติพม่าสูง และคนที่ปล่อยกู้ให้คนจนในชนบทเป็นคนพม่าในหมู่บ้านเดียวกัน ต่อมาในปี 1938 มีการทำร้ายชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลาม
นักวิชาการชื่อ Martin Smith ในหนังสือ “Burma, insurgency and the politics of ethnicity”, รายงานว่า อองซาน มีอคติกับการเรียกร้องเสรีภาพโดยชนชาติต่างๆ นอกจากชนชาติพม่าและไทยใหญ่ ซึ่งอองซานมองว่าเป็น “ชนชาติจริง” และกองทัพปลดแอกพม่า ภายใต้การนำของ อองซาน ถูกกล่าวหาว่าเข่นฆ่าพลเรือนชาวกะเหรียงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะชาวกะเหรี่ยงมักจะรบในกองทัพของอังกฤษ
ในปี 1991 สามปีหลังความล้มเหลวของการลุกฮือเพื่อประชาธิปไตยที่พยายามล้มเผด็จการทหาร “8-8-88” ตำรวจพม่าออกมาปราบปรามชาวโรฮิงญาในรัฐอาราคานด้วยความรุนแรง ต่อมาในปี 1997 พระสงฆ์คลั่งชาติ ถูกทหารจัดตั้งให้ไปเผาบ้านและมัสยิดของชาวมุสลิมในเมือง พะโค
ถ้าเราจะเข้าใจความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นต่อชาวมุสลิมในขณะนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งกระทำโดยอันธพาลพระสงฆ์พุทธ เราต้องดูประวัติศาสตร์ของการ “แบ่งแยกและปกครอง” ในพม่า ทั้งโดยอังกฤษและรัฐบาลเผด็จการทหารที่ตามมา รวมถึงลัทธิคลั่งชาติสายพุทธขององค์กร Dobama Asiayone อีกด้วย ตอนนี้มีรายงานข่าวว่า พระสงฆ์ชาตินิยมสุดขั้วชื่อ วีราธุ เป็นหัวหน้าขบวนการขวาจัด “969” และพวกนี้ใกล้ชิดกับทหาร โดยเฉพาะนายพล Khin Nyunt จากองค์กรราชการลับของกองทัพพม่า
การที่ทหารพม่าสนับสนุนและปลุกระดมพระสงฆ์ “ฟาสซิสต์” ในองค์กร “969” มีความสำคัญยิ่งสำหรับกองทัพ เมื่อเราเข้าใจว่าพระสงฆ์ก้าวหน้าเคยออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านทหารในปี 1988 และ 2007 และการรณรงค์จัดตั้งกระแสเหยียดเชื้อชาติมีประโยชน์สำหรับทหารที่ยังครองอำนาจเผด็จการอยู่หลังหน้ากากปลอมของประชาธิปไตยในช่วงนี้ เพราะมันเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากการที่พม่ายังไม่มีประชาธิปไตยจริง การที่สภาพการเมืองไม่แน่นอน และการที่ความเหลื่อมล้ำในสังคมกำลังเพิ่มขึ้นเมื่อบริษัททุนใหญ่เข้ามาลงทุนในพม่าภายใต้เงื่อนไขของตลาดเสรี ชาวมุสลิมมักถูกป้ายสี เหมือนชาวยิวในยุโรป หรือคนจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่า “คุมเศรษฐกิจ”
มันมีตัวอย่างมากมายของการที่ชนชั้นปกครองเก่าพยายามปลุกปั่นความรุนแรงทางเชื้อชาติในยามที่มีการเปลี่ยนแปลง ในอินโดนีเซีย เมื่อนายพลซุฮารโต้ยึดอำนาจในปี 1965 มีการระดมพวกมุสลิมสุดขั้วไปฆ่าคนจีน พร้อมๆ กันนั้นมีการไล่ฆ่าคอมมิวนิสต์ถึงหนึ่งล้านคน ต่อมาเมื่อซุฮาร์โต้ถูกล้ม บางกลุ่มในชนชั้นปกครองเดิมพยายามปลุกระดมม็อบให้ไปทำร้ายคนจีนในปี 1998 เพื่อให้คนมองว่าการไม่มีเผด็จการทหารสร้างความปั่นป่วน ทุกวันนี้หลังจากการเลือกตั้งหลายรอบในอินโดนีเซีย ประธานาธิบดี Susilo Bambang Yudhoyono เป็นอดีตนายพลจากพรรคของซุฮาร์โต้
ในปี 1969 เมื่อพรรครัฐบาล UMNO ในมาเลเซียเริ่มเสียคะแนนเสียง รัฐบาลก็ไปปลุกระดมให้คนมาเลย์ไปก่อจลาจลทำร้ายคนจีน หลังจากนั้นมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน มาเลเซียขึ้นชื่อว่าใช้การเมืองเชื้อชาติ เพื่อปกปิดการต่อสู้ทางชนชั้น รัฐบาลเขมรก็เคยใช้ความรุนแรงต่อคนเชื้อชาติเวียดนาม และรัฐบาลเวียดนามก็ขับไล่คนจีนออกจากประเทศเช่นกัน
ในอดีตยูโกสลาเวีย เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหนัก นักการเมืองท้องถิ่นใช้การเมืองเชื้อชาติเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง จนเกิดสงครามกลางเมืองป่าเถื่อน
สิ่งที่น่าสลดใจ แต่ไม่แปลกใจ คือการที่นาง อองซาน ซูจี ลูกสาวของ อองซาน ออกมาปกป้องจุดยืนของทหารพม่า แทนที่จะปกป้องชาวมุสลิม แถมในกรณีโรฮิงญา มีการพูดว่าเขาไม่ใช่พลเมืองอีกด้วย นางซูจี เป็นตัวหลักในการให้ความชอบธรรมกับประชาธิปไตยจอมปลอมในพม่าในยุคนี้ นอกจากนี้เขาสนับสนุนกลุ่มทุนใหญ่และแนวกลไกตลาด เมื่อไม่นานมานี้ชาวบ้านไล่ด่านางอองซาน เมื่อเขาบอกว่าชาวบ้านต้องเสียสละยอมออกจากที่ เพื่อให้กลุ่มทุนใหญ่เข้ามาทำเหมืองแร่
ความรุนแรงทางเชื่อชาติที่เกิดในพม่า ไม่ใช่ “ธรรมชาติ” ของความขัดแย้งระหว่างชุมชนต่างเชื้อชาติหรือศาสนา ซึ่งรัฐจะเข้ามาแก้ได้ เพราะรัฐเป็นตัวกลางในการปลุกระดมความรุนแรงแต่แรก รัฐพม่าไม่ใช่ตัวปีศาจ “Leviathan” ที่จะห้ามไม่ให้มนุษย์ฆ่ากัน ตามความคิด ทอมมัส ฮอบส์ รัฐพม่าเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองในการกดขี่ชนชั้นอื่น มันเป็นอุปสรรค์ต่อประชาธิปไตยและสันติสุข
........................................................................
จขกท
ในเมืองไทยมีการ ใช้ความแตกแยกทางความคิดมาเป็นประโยชแก่กลุ่มตน ส่งเสริมความแตกแยกเพื่อการคงอยู่ ของกลุ่มอำนาจหนึ่ง เพื่อคงไว้ซึ่งสถานะของตัวเอง ใช้ความแตกแยกเป็นเครื่องมือทางการเมือง ส่งเสริมความเกลียดชัง เพื่อชัยชนะ ละทิ้งหลักนิติรัฐนิติธรรม เพียงเพื่อหวังผลทางการเมืองโดยที่ไม่รู้ หรือรู้ แต่ยังทำว่า ได้ทิ้งรอยบอบช้ำและบาดแผลในสังคมเอาไว้มากมายเพียงใด เมื่อคนรุ่นเราตาย ความแตกแยกในสังคม จะยังคงอยู่ ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานเราแก้ไข พวกเรา คือ ประวัติศาสต์ ที่เค้าจะศึกษา ชื่นชม หรือสาปแช่ง คนชนะ จะเป็นผู้เขียนประวัติศาสต์ ฉบับนั้น หลักการประชาธิปไตยหายไปเหลือไว้แต่การต่อสู้ ถ้าอย่างนั้น อีกหน่อย ประเทศเรา คงไม่ต่างจากพม่า