(รีวิวตรงไปตรงมา) G.I. Joe: Retaliation (2013) : ยิง - ฟัน - ระเบิด - ตาย - จบ!


จะจริงหรือเท็จอย่างไรไม่ยืนยัน แต่ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาชัดเจนจากหลายต่อหลายสื่อตรงกันว่า สาเหตุที่ G.I. Joe: Retaliation ต้องเลื่อนฉายจากปีที่แล้วมาเป็นปีนี้ นอกเหนือจากต้องการอัพเกรดตัวเองจากหนัง 2D ให้เป็น 3D แล้ว ยังเป็นผลมาจากเสียงตอบรับของคนดูในรอบทดลอง (Test screening) ที่ส่วนใหญ่ออกมาในทางลบอย่างเป็นเอกฉันท์ จนค่ายหนังต้องสั่งระงับการฉาย เพื่อทำการถ่ายซ่อมสังคายนาเสียใหม่เป็นการด่วน

ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าตอนแรกหนังมันแย่ขนาดไหน แล้วถูกยกเครื่องตรงส่วนไหนมาใหม่บ้าง แต่จากที่ได้ดูในตอนนี้ หนังก็ยังไม่ได้มีอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นความเด็ดดวงสักเท่าไหร่ หลักๆ แล้วยังเป็นการทำหนังภาคต่อตามสูตรสำเร็จแบบไร้ไอเดีย คือ ภาคสอง ทุกอย่างต้องสองเท่า หนังเลยโหมฉากแอ็คชั่นเข้าใส่คนดูแทบจะตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงท้ายเรื่อง ซึ่งก็อาจจะสร้างความบันเทิงให้กับคนที่ชอบความอึกทึกครึกโครมเป็นทุน และดูหนังแบบไม่คิดมาก ได้อยู่บ้าง


แต่กับคนที่ต้องการความสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นมาอีกนิด คงสังเกตุได้ไม่ยากว่าท่ามกลางฉากแอ็คชั่นมากมายก่ายกองที่หนังเรื่องนี้ใส่เข้ามา มันแทบจะไม่มีฉากไหนเลยที่กลายเป็นฉากที่น่าจดจำ ทั้งหมดเป็นเพียงการดาหน้าสาดกระสุน ฟาดดาบ ยิงระเบิดเข้าใส่กันแบบซื่อๆ ตรงไปตรงมาในลักษณะของงานแอ็คชั่นประเภทระเบิดภูเขาเผากระท่อม โดยที่ไม่ได้มีการวางสถานการณ์เพื่อบีบอารมณ์คนดูให้ตื่นเต้นตามไปกับภาพที่เห็นสักเท่าไหร่ อาจจะมีฉากไต่ภูเขาไล่ล่าที่เห็นกันตามจอโปรโมทของโรงหนังนั่นแหละที่ถือว่าเป็นฉากเด็ดที่สุดแล้ว แต่หากนำไปเทียบกับฉากไล่ล่ากลางเมืองแบบสโลโมชั่นเท่ๆ ของภาคแรก มันก็ยังเป็นความหวือหวาน่าตื่นใจที่น้อยกว่าอยู่ดี

ส่วนงาน 3D ที่โปรโมตกันเป็นจริงเป็นจังด้วยการเอาดาราหลายคนในเรื่องมาถ่ายคลิ๊ปพูดเชิญชวนให้คนมาดูหนังเรื่องนี้กันในระบบ 3D เอาเข้าจริงเทคนิค 3 มิติก็ไม่ได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น เนื่องจากหนังไม่ได้ถ่ายทำกับกล้อง 3 มิติมาตั้งแต่แรก แต่เป็นการนำภาพจากกล้อง 2D มาแยกเลเยอร์ให้เป็น 3D งานที่ออกมาจึงเหมือนกับหนังหลายๆ เรื่องที่เคยใช้เทคนิคนี้ คือ ไม่ได้มีมิติอะไรมากมาย ยกเว้นงานภาพในส่วนที่ใช้เทคนิคซีจีทำขึ้นมาทีหลัง อาทิ ดาวกระจาย ดาบ ลูกกระสุน ฯลฯ ที่พอจะทะลุจอออกมาให้ได้สะดุ้งจริงๆ จังๆ อยู่บ้าง


หลังดูหนังจบลงผู้เขียนสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับท่านใดกัน เลยมาหาข้อมูลเพิ่มเติม และคำตอบที่ได้ก็คือนี่เป็นผลงานของ จอน เอ็ม. ชู ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำหนังเต้นกระจายอย่าง Step Up ภาค 2 ภาค 3 และ Justin Bieber: Never Say Never

คะแนน : สองดาว

(ถ้าไม่คาดหวังอะไร พอดูแก้เซ็งได้ พล็อตเรื่องเชยและเด็กไปหน่อย ผู้ร้ายอยากจะครองโลก เลยใส่ร้ายจีไอโจ แล้วสั่งล้างบาง ทีมจีไอโจที่เหลือรอดจึงต้องกอบกู้ศักดิศรีกลับคืนมา และช่วยโลกให้พ้นภัย)

ชอบอ่านรีวิวหนัง สั้นกระชับ ตรงไปตรงมา ฝากแวะไปกด like ที่แฟนเพจนี้ด้วยจ้า
http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่