เรื่องเล่าริมทาง : 40 องศาก็หยุดข้ามิได้ (ลำเนาสะดิ้ง ปั่นซิ่งเลิฟยู)

กระทู้สนทนา
หายไปซะนาน คิดถึงพี่ ๆ น้อง ๆ ห้องจักรยานจังเลย ได้แต่ตามอ่านหลาย ๆ กระทู้ แต่ตัวเองไม่มีเวลาที่จะโพสต์สักที ทั้งเรื่องงานที่เยอะ + รวบรวมเรื่องไม่ได้ สะเปะสะปะไปหมด วันนี้ตลาดหุ้นงอแง เลยได้มีเวลามานั่งจั่ว ประสบการณ์ไร้สาระแบบชิล ๆ ของผม ไว้อ่านกันเล่น ๆ ขำ ๆ ละกันนะครับ อิอิ

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา พอดี ช่างรถยนต์ประจำตระกูล (โห มันดูยิ่งใหญ่มาก จริง ๆ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ บ้านผมรถเสียซ่อมแต่ร้านนี้ 555+) โทรมาแจงรายละเอียดเกี่ยวกับของที่ผมสั่งไว้เพื่อซ่อมเจ้าขาว (รถยนต์ผมชื่อเจ้าขาว ปัญญาอ่อนดีไม๊ครับ กรั๊กๆๆๆ) ก็เลยคิดไว้ว่า เด๊วเอารถไปส่งที่อู่ แล้วปั่นจักรยานเล่นสักหน่อยดีกว่า เอาสัก 10-20 กิโลก็พอ เพราะว่าตอนนั้นมันก็เกือบ ๆ จะ 9 โมงแล้ว ถ้าปั่นนานกว่านั้นได้กลายเป็นไก่ย่างแห้งตายคาถนนแน่นอน เพราะอากาศช่วงนี้ ค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิความร้อนแรงแบบทวีคูณขึ้นมาเรื่อย ๆ เลยเอาเจ้าดำ (จักรยานผม ถ้าผู้อ่านเก่า ๆ น่าจะพอจำได้นะครับ กรั๊กๆๆ) ถอดล้อหน้า ใส่ไปในเจ้าขาว (เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ลืม - -") แล้วก็ขับไปที่อู่จากบ้านประมาณ 3-4 กิโลเมตร

พอทิ้งเจ้าขาวไว้ ก็ประกอบเจ้าดำ ใส่อุปกรณ์การขี่เรียบร้อย ก็ออกปั่นเส้นบางไผ่-หนองเพรางาย พอดีนัดกับเพื่อนไว้แถว ๆ บางใหญ่ว่าจะไปเอา Canon 1000d ที่เพื่อนเมตตาขายต่อให้ในราคามิตรภาพ ทานข้าวคุยสัพเพเหระเสร็จ เอากล้องใส่กระเป๋าเป้ที่เตรียมไป กำลังคิดว่าจะปั่นกลับบ้าน แต่แล้วทันใดนั้น เสียงสวรรค์ (หรือนรกขุมที่ 108 ก็ไม่รู้ - -") ทะลุผ่านไอโฟนกาก ๆ ของผม พอหยิบขึ้นมาพิจารณา อ่อ .. แฟนผมเอง กดรับสายปั๊ป พูดคุยนู่น นี่ นั่น (ขอสงวนในบทสนทนา ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมจำไม่ค่อยได้ 555+) ทราบความประมาณว่า เจ้าหล่อนอยากให้ผมไปหา ซึ่งบ้านเจ้าหล่อนก็อยู่แถว ๆ ท่าพระ

ผมหลับตาลงปริ่ม ๆ นึกถึงเส้นทางจากบางใหญ่ ไป ท่าพระในหัว อืมม .. ไปกลับคงราว ๆ 50-60 กิโล  เอาวะ ลองดู เพราะตั้งแต่ปั่นมา ก็ยังไม่เคยปั่นกลางสภาพอากาศที่ร้อนได้อย่างเลวร้ายเลยสักครั้งนึง



ภาพด้านบนนี้ คือ เส้นทางที่ผมสำรวจไว้ในหัว และก็ไปประมาณนี้ละครับ .. ผมแบกเป้ขึ้นสะพาย (หนักหน่อย เพราะมี canon 1000d นอนแอ้งแม้งอยู่) ปรับหมวกให้แน่น, ใ่ส่ผ้าบลัฟ, เดินไปซื้อน้ำขวดมาเติม + สปอนเซอร์สีเหลือง 1 ขวด และออกทะยานไปหา "ลมหายใจ" ของผม (สาธุ!! ขอให้แฟนผมเข้ามาอ่านทีเถอะ จะได้เลื่อนกำหนดการได้ Araya FED จาก พ.ค. เป็น เม.ย. สักที กรั๊กๆๆๆๆ)

ผมเลือกใช้เส้นทาง ตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี เพราะกว่าว่าจะไปแวะกินร้านข้าวริมทางตรงเส้น ถ.นครอินทร์ (เส้นนี้อาจจะไม่ได้เป็นไปตามแผนที่ที่่ผมเอามาลงนะครับ อยากปั่นยังไง ผมก็ั่ปั่นละครับ) ก็เลยลัดเลาะหลังบางใหญ่ มาโผล่ตรงปากซอยแถว ๆ บางแม่นาง แล้วยกจักรยานข้ามสะพาน แล้วมุ่งหน้าสู่ถนนนครอินทร์



ระยะทางตรงนี้ น่าจะราว ๆ 10 กิโลได้ เวลา ณ ตอนนั้นเกือบ ๆ 11 นาฬิกา ได้ สิ่งที่ผมสังเกตุก็คือ อากาศที่เริ่มร้อนระอุขึ้นมา การปั่นยังราบลื่น แต่สิ่งที่สูญเสียไปคือ เหงื่อ ที่โทรมตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้ง ความร้อนอบอ้าว ที่ทำให้ระบบการหายใจของผม เริ่มไม่เป็นทิศเป็นทาง แต่ผมก็ยังคงใช้สองขาปั่นเจ้าดำไปเรื่อย ๆ เลาะเรียบตามทาง โชคดีนิดนึง ตรงที่ถนนเส้นนั้น ณ เวลานั้น รถไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่ เลาะขอบทางซ้ายไป ก็ยังโอเคอยู่ แม้ฝุ่นจะเยอะพอสมควร แต่ยังไงเราก็มีผ้าบลัฟ

จนถึงเส้นที่เลี้ยวตัดเข้าเส้น นครอินทร์ ผมแวะร้านข้าวริมทาง (ที่เป็นเพิงไม้ใหญ่พอสมควร) ร้านนี้ไม่มีชื่อร้าน แต่ถ้าเลี้ยวมาคุณจะสะดุดตาทันที เคยพาแฟนมานั่งทานที่นี่ ขอบอกว่า ข้าวหมูกรอบ + ไข่เจียว อร่อยมาก แต่ผมไม่รู้นึกคิดอะไร สั่งก๋วยเตี๋ยวต้มยำ + เป็ปซี่ 1 ขวด มานั่งทาน แต่ด้วยอากาศที่ร้อนพอสมควร ผมทานได้แค่ครึ่งจาน กินน้ำไปนิดหน่อย นั่งพักอีกสักแป็ป ก่อนที่จะเดินทางสู่จุดมุ่งหมายต่อไป



ปั่นมาได้สักพัก มาเจอวงแหวนราชพฤกษ์ที่คุ้นเคย (ตอนกลางคืนนะครับ เพราะตอนกลางวันแดดร้อน ๆ เพิ่งเจอครั้งแรก ผิดกันราวฟ้ากับดิน) ผมหยุดจอดข้างทางสักพัก ในหัวคิดวนเวียนว่า "เอาไงดีวะ จะไปต่อหรือจะกลับ?" ที่คิดแบบนั้นเพราะแดดมันร้อน ร้อนซะจน ท้อแท้เลย เรี่ยวแรงที่มีอยู่ก็เริ่มถดถอย เพราะไม่เคยปั่นกลางสภาพอากาศร้อน ๆ แบบนี้ แต่ด้วยความที่อยากจะโชว์ให้แฟนเห็นว่า "เฮ้ย .. จักรยานก็เป็นพาหนะอย่างนึงนะเว้ย แล้วมันก็พาฉันมาหาเธอได้" กัดฟันครับ .. ปั่นไปต่อ อ้อมวงเวียน แล้วเข้าสู่เส้นราชพฤกษ์

ระหว่างทาง เจอพี่เสื้อภูเขาท่านนึง จอดอยู่ริมทาง เขาเห็นผมมาแต่ไกล และโบกมือเหมือนจะให้ผมจอด ผมคิดว่าอาจจะต้องการความช่วยเหลือเลยชะลอจอดเพื่อสอบถามพี่ท่านนั้น

ผม : สวัสดีครับพี่ (ยกมือไหว้ เพราะดูท่าทางจะโตกว่าเราเยอะ) จักรยานเป็นอะไรครับผม?
พี่เสือภูเขา : อ๋อ ไม่ได้เป็นอะไรน้อง พอดีแดดมันร้อน ๆ เหนื่อย ๆ เลยแวะจอดกินน้ำสักนิด แล้วน้องจะไปไหนเนี่ย?
ผม : อ๋อ ผมจะไปท่าพระครับ พอดีนัดแฟนไว้ครับ
พี่เสือภูเขา : โอ๊ย แดดร้อนแบบนี้ไหวเหรอน้อง นี่มันจะ 40 องศาได้แล้วมั๊ง พี่ว่า นั่งสามล้อหรือแท็กซี่ไปดีกว่าไหม
ผม : ไม่เป็นไรครับพี่ พอดีอยากลองครับ (ปากดีสุด ๆ ใจจริง อยากจะกลับบ้านซะเดี๋ยวนั้น 55+) แล้วพี่จะไปไหนครับเนี่ย?
พี่เสือภูเขา : พี่อยู่หมู่บ้าน xxx ก่อนขึ้นสะพานเนี่ย อีก 2-3 กิโลก็ถึงแล้่ว
ผม : อ๋อ ครับพี่ ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ เด๊วแดดมันร้อนกว่านี้ แล้วผมจะจอดซะก่อน 55+
พี่เสือภูเขา : 55+ โอเค ๆ โชคดีนะน้อง รักษาตัวด้วยนะ
ผม : ครับ .. เช่นกันครับพี่

ก่อนที่ผมจะยกมือไหว้พี่เขาทีนึง และออกรถปั่นไปต่อ ท่ามกลางอุณหภูมิราว ๆ 40 องศาน่าจะได้ (ผมคาดการณ์อะนะ) และก็ปั่น ๆ ๆ ๆ ยิงยาวจากเส้นนั้น แต่ด้วยสภาวะอากาศที่ร้อนอย่างที่เรียนให้ทราบ จนผมท้อ ต้องมานั่งจอดใต้สะพานที่ข้ามเส้นตลิ่งชัน



ผมจอดจักรยาน, ถอดเป้, แกะเสื้อ, ถอดหมวก, ถอดถุงมือ วางกับพื้นทุกอย่าง ก่อนเอาน้ำขวดที่ซื้อมา ราดหน้า ราดหัว เพื่อเติมความสดชื่นให้กับตัวผมเอง .. ตอนนั้นในใจผมเริ่มเกิดอาการท้อ ว่าจะไปต่อดีไหม เพราะเรี่ยวแรงก็จะหมด ถ้าจะกลับตอนนี้ยังพอมีแรงที่จะปั่นไปต่อได้ ผมเหลือบดูไมล์ ก็ราว ๆ 30 กว่ากิโลเอง แต่ทำไมมันดูเหมือนปั่นมา 100 กว่ากิโลแล้วก็ไม่รู้ ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด มันทำให้เราสูญเสียทั้งแรงกาย และแรงใจจริง ๆ

แต่อะไรก็ไม่รู้ดลบันดาล .. Line ผมมี Message เข้ามา .. ใช่ครับ เป็นของแฟนผมเอง เป็นข้อความสั้น ๆ ที่ทำให้ผมตัดสินใจที่จะปั่นต่อไป ท่ามกลางอากาศที่โคตะระเลวร้ายในขณะนั้น ..

"ตัวเอง เหนื่อยไหม อยู่ไหนแล้วค่ะ เขารออยู่นะ มาๆ เด๊วเขาเลี้ยงน้ำกะก๋วยเตี๋ยวนะ" .. คงไม่มีข้อความของผู้หญิงคนใดในโลก (ยกเว้นแม่) ที่จะทำให้ผมเพิ่มพลังกาย พลังใจ ขึ้นมาโดยฉับพลัน ผมยิ้มให้กับ Iphone ราวกับคนบ้า ก่อนที่จะใส่สัมภาระต่าง ๆ เข้าที่เหมือนเดิม จัดแจงอะไรให้เรียบร้อย แล้วออกปั่นต่อในเส้นราชพฤกษ์ โดยที่ไม่สนใจสภาพอากาศรอบตัวนั้นอีกเลย

ก่อนที่จะข้ามสะพานมาถึงที่อยู่ของแฟนผม รถแอบเยอะนิดนึง เพราะตรงนั้น เป็นสะพานที่จะมุ่งหน้าสู่สาทร (ขนาดวันหยุดยังแอบเยอะนะเนี่ย) รถตรงนั้นค่อนข้างเยอะเลย ผมบอกโดยไม่อายคือ ผมจูงจักรยานครับ ค่อย ๆ จูงขึ้นสะพานขนาดใหญ่ (ผมจำชื่อสะพานไม่ได้ รู้แต่ถ้าข้ามไป ฝั่งขวาก็เป็น The mall ท่าพระ แถมตรงนั้นมีทำสถานีรถไฟฟ้าตลาดพลูอยู่) แล้วค่อยไปแอบปั่นกลางสะพาน (ผมขี้โกงไม๊เนี่ย 55+) จนถึงที่อยู่ของแฟนผม เธอออกมาต้อนรับ ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างสุดขีด (555+) แถมกระเซ้าเย้าแหย่พอเป็นกษัย ก่อนที่จะหยิบน้ำดื่มเย็น ๆ มา 1 ขวด + ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มา 1 ผืน .. ผมอยากจะบอกว่า เป็นน้ำดื่มที่ "สดชื่นที่สุดในชีวิต" เลยครับ น่าจะเป็นสิ่งล้ำค่าเดียว ณ ขณะนั้นที่ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นอย่างอัศจรรย์ แฟนผมยื่นผ้าชุดน้ำให้ แต่ผมกลับเอามา เช็ดเจ้าดำ เพราะเจ้าดำ เปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว แฟนผมแอบงงนิด ๆ แล้วถามผมด้วยอาการสงสัย

แฟนผม : อ้าว .. อุตส่าห์เอาผ้ามาให้ เอาไปเช็ดจักรยานซะงั้น
ผม : ก็ถ้าไม่ใช่เจ้าดำ .. เค้าจะมาหาตัวเองได้ถึงนี่เหรอ? มันก็ลุยแดดมาพร้อม ๆ เค้า มันก็เปรอะฝุ่นมาพร้อม ๆ เค้า ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
แฟนผม : (แอบยิ้ม) หรอ .. อืม ๆ เด๊วไปนั่งพักในบ้านละกันนะ จะอาบนงอาบน้ำก็ได้นะ
ผม : จ้าาาา

ผมพักผ่อนตามอัธยาศรัย พูดคุยเล่นกับแฟน ได้เกือบ ๆ 2-3 ชม. ก่อนที่จะขอตัวลากลับ .. ก่อนกลับ แฟนผมถามว่า "คิดยังไง ถึงปั่นจักรยานมาหาเนี่ย? ถามจริง ๆ บ้าไปแล้วเหรอ ไม่รู้เหรอว่าเค้าแกล้งตัวเอง ถ้าไม่ปั่นมา ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ"

ผมขยับหมวกให้เข้าที่ ขึ้นค่อมเจ้าดำ ขย่ม ๆ เช็คลมยาง ก่อนที่จะหันกลับมาบอกแฟนผมว่า "ก็ถ้าไม่รัก .. ก็คงไม่ปั่นมาถึงนี่หรอกจ้า" ก่อนที่จะหันหน้ากลับ และควบเจ้าดำ กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ (ช่วงกลับบ้านไม่มีอะไรตื่นเต้นครับ มีแวะพัก 1-2 ครั้ง แต่ก็แค่นั่งพัก จิบน้ำเฉย ๆ)

ก่อนที่จะมาข้อความทาง Line ของแฟนผมส่งไล่หลังมาราว ๆ 1 ชม. ว่า .. "ขอบใจนะ .. เค้าก็รักตัวเองเหมือนกัน"

ขอบคุณเจ้าดำ .. ที่ทำให้ผมรู้ว่า แดดร้อน ๆ 40 องศา มันเป็นยังไง, ขอบคุณฝุ่นที่ทำให้ผมรู้ว่า คุณน่ารำคาญและทำให้ไม่สบายตัวขนาดไหน, ขอบคุณพี่เสือภูเขา ที่อุตส่าห์อวยพรให้ และเหนือสิ่งอื่นใด ขอบคุณแฟนผม เพราะถ้าไม่มีคุณ ผมก็คงไม่ได้เจอประสบการณ์แบบวันอาทิตย์ที่ผ่านมา .. ขอบคุณครับ

ผิดพลาดประการใดขออภัย .. อาจจะยาวไปหน่อย แต่มันถูกถักทอออกจากความรู้สึก ณ ขณะนั้น คิดซะว่า อ่านเล่น ๆ ขำ ๆ ฮา ๆ ละกันนะครับ

** ภาพประกอบแถมครับ .. ไหม้โดยสมบูรณ์แบบครับ กรั๊กๆๆๆๆ **

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่