เครดิตบทความ คุณโจ ลูกอีสาน
ความเห็น....ผมคิดว่าส่วนใหญ่เป็นตามนั้นจริง จับต้องได้และมีประโยชน์ในการพัฒนาแนวทางการลงทุนสำหรับเม่าแบบเราครับ
Topic การจัด portfolio
• การจัดพอร์ตมีความสำคัญเท่ากับ stock selection ถ้าจัดการไม่ดีมีโอกาสเสียหายชัดเจน
“อะไรก็ตามที่เสี่ยง อย่าทำ”
• พอร์ตอยู่ในชื่อคนอื่น Ex. ชื่อญาติ, แฟน(ภรรยา ยังพอไหว มีอะไรก็หารครึ่ง)
• การถือหุ้นตัวเดียว คนที่ถือคิดว่าไม่เห็นเป็นอะไร ถ้ามีปัญหาก็ขายทัน แต่บางเหตุการเช่น ผู้บริหารเสียชีวิต การตกแต่งบัญชีฉ้อฉล มันขายไม่ทัน ตลาดขึ้น SP เช่น SECC มีรุ่นพี่ที่ซื้อขายไว ไม่เคยติดหุ้น ถือหุ้นตัวนี้อยู่ 10 ล้านบาท ตลท.ประกาศ SP ตอนนี้ยังติดหุ้นตัวนี้อยู่เลย ซื้อขายไม่ได้
• ใช้เงินกู้ ใช้ Margin เป็นการทำให้เราอ่อนแอโดยไม่จำเป็น แม้คิดถูกก็อาจทำให้เราขาดทุนได้ เช่น เจอหุ้นตัวหนึ่ง 5 บาท มูลค่าแท้จริง 10 บาท เราซื้อเต็มที่ + margin ปราฏกว่าเราคิดถูกครับ มันไปที่ 10 บาทจริง แต่ระหว่างทาง 5 บาทมันลงไป 3 บาทก่อน โดน force sell ชีวิตการลงทุนจบเห่เลย
• Ex. มีน้องคนหนึ่งมาขอคำปรึกษา ซื้อหุ้นตัวหนึ่งลงไป 20%, ซื้อตัวเดียว, ใช้ margin, อีก 2 เดือนข้างหน้า(ต.ค.54) ต้องใช้เงิน หลังจากนั้นปรากฏโดนน้ำท่วม หลังจากนั้นผมก็ไม่เจอน้องคนนั้นอีก
• คนที่ทำสำเร็จก็มี แต่คนที่ตายไม่ได้มาพูด
การกระจายการลงทุน(ถือหุ้นหลายตัว)
• รับประกันได้ว่าเราไม่เจ๊งแน่นอน ถ้าถือหุ้น 5 ตัวแล้วผิดหมด ก็ไม่ต้องเล่นหุ้นแล้ว
• การถือหุ้นหลายตวสุดท้ายจะได้ค่าเฉลี่ย แต่ถ้าฝีมือดีผลตอบแทนก็จะดีกว่าตลาด
• หุ้นแม้จะมี upside 50% แต่มันไม่ได้ขึ้นพร้อมกัน หากเราเผลอไปคิดผิดซื้อหุ้นที่ต้องรอ 2-3 ปีกว่าจะขึ้น ผลตอบแทนจะแย่
• “ผมพอใจที่จะถูกพอประมาณ ดีกว่าผิดจังๆ” Anonymous
• จะมีพอร์ตที่ต่ำกว่ามูลค่าเสมอและขายหุ้นที่เกินมูลค่า
• ถ้าเป็นหุ้น Super stock อาจถือตลาดไปก็ได้
• สามารถลงทุนในหุ้น ขนาดกลาง/เล็กได้
• ขยายขอบเขตความรู้ ยิ่งรู้หุ้นมากเท่าไรก็ได้เปรียบ
ข้อเสีย
• ไม่ใช่วิธีที่ทำกำไรสูงสุด
• เสียเวลามากกว่าในการหาความรู้
• ต้องซื้อๆขายๆด้วย
พอร์ตควรมีหุ้นกี่ตัว
• มีเวลาติดตามหุ้นมาก ถือมากตัวได้
• “ต้องเข้าใจที่ไปที่มาของบริษัท ถ้าไม่เข้าใจอย่าซื้อเด็ดขาด”
• ในทุกกรณี ไม่ควรต่ำกว่า 3 ตัว ถ้าหุ้น 2 ตัว น้อยไปเก้าอี้ 2 ขาหักไปขาแล้วนั่งไม่ได้
• ขนาด 1 แสน – 1 ล้าน 3-5 ตัว
• 1 – 10 ล้าน 4-6 ตัว
• 10 ล้าน – 100 ล้าน 6-8 ตัว
ควรถือเงินสดในพอร์ตเท่าไร
• เมื่อก่อนผมถือ 100% แต่หลังจากเจอวิกฤติ ผมก็ถือ 10-15% เพราะไม่รู้ว่าโอกาสจะมาเมื่อไร เหมือน warren ที่ถือเงินเอาไว้ มีวิกฤติเมื่อไรได้ใช้ทุกครั้ง peter lynch ก็เหมือนกัน
• ถือเงินสดส่วนใหญ่ได้ หากไม่เห็นโอกาส
• การเก็งตลาด เข้าๆออกๆ ไม่ใช่ความคิดที่ดี ทางปฏิบัติทำได้ยาก วิกฤติ sub-prime พูดมา 2-3 ปีกว่าจะลง ถ้าเราคิดว่ามันจะลง แต่ไม่ลง แล้วขึ้นทำ new high วันแล้ววันเล่า ถามว่าการตกรถ เป็นวิกฤติหรือเปล่า? แถมเป็นวิกฤติที่เราสร้างขึ้นมาเองด้วย
พอร์ตที่พร้อมรับวิกฤติ (ถ้าจัดพอร์ตแบบนี้ไม่มีวันตาย)
• ต้องมีเงินสดอยู่เสมอไม่ต่ำกว่า 10%
• ไม่มีเงินกู้ (ทำให้พอร์ตอ่อนแอโดยไม่จำเป็น)
• Warren บอกว่า สิ่งที่ทำให้คนเปลี่ยนไป คือ เหล้า การพนัน ในแวดวงการลงทุนสิ่งที่ทำให้เราอ่อนแอที่สุด คือ หนี้ เพราะเจ้าหนี้ตอนฝนไม่ตกเค้ายื่นร่มมาให้เรา พอฝนตกเค้าดึงร่มกลับ
การซื้อเฉลี่ยขาลง
• ถ้ามี MOS อยู่ ก็แนะนำให้ซื้อ แต่พื้นฐานกิจการต้องไม่เปลี่ยนแปลงเท่านั้น
• การทยอยซื้อเป็น step เพราะราคาอาจลงก็ที่เราคาด
• เมื่อเจอวิกฤติเศรษฐกิจ จำได้ตอนนั้นใจกล้า 10% เราเข้าไปซื้อแล้ว มันดันลงไป 40% มีดยังไม่ตกถึงพื้นอย่าไปซื้อ
• จะรู้ได้อย่างไรว่ามีดตกถึงพื้นแล้ว ต้องใช้ข้อมูล อย่าใช้อารมณ์ เข้าไปดูข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ P/BV ของตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยอยู่ที่ 1.9 จุดนี้คือไม่ถูกไม่พอ เช่น ตอนนี้ 2.2-2.3 แพงพอสมควรแต่ยังไม่ฟองสบู่ ตอนวิกฤติ 40/ subprime ของ p/bv ตลาด เหลือประมาณ 1 เท่า ผมคิดว่าปลอดภัยสูงแล้ว
• PE เอากำไรปีเดียวมาคิด ถ้าเจอวิกฤติกำไรหายหมด แต่ PBV เป็นผลรวมของหลายๆปี ตั้งแต่ตั้งกิจการจะมีความผันผวนต่ำกว่า
• ต้องมีตั้ง limit ไว้ในใจเสมอ เช่น พี่โจ ต่อให้หุ้นดีแค่ไหนจะซื้อไม่เกิน 40% อาจมีสิ่งที่เราไม่รู้ หรือคิดผิด
ทำอย่างไร เมื่อเจอหุ้นตีแตก
• รีบซื้อให้เยอะที่สุด แต่ไม่เกิน 40%
พอร์ตควรกระจายหลายอุตสาหกรรมหรือไม่
• แน่นอน เป็นเรื่องที่ดี
• Ex. กระจายในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน บริษัทผลิตไบโอดีเซล พลังงานลม เอทานอล พี่งพาปัจจัยเดียวกันหมด ควรกระจายอุตสาหกรรมด้วย ไม่ใช่แค่บริษัท
• ถือกลุ่มเดียวกัน Ex. ค้าปลีก แต่เป็นค้าปลีก อุปโภคบริโภค ค้าหนังสือ ตกแต่งบ้าน แบบนี้ถือเป็นคนละอุตสาหกรรม
ถือหุ้นใหญ่หรือเล็ก
• ถ้าใครถามแบบนี้คือมี bias มันไม่ใช่ประเด็น
• ผมเคยได้ยินงานวิจัยใน us ว่าหุ้นตัวเล็กให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเสมอ
• หากหุ้นตัวเล็กผลตอบแทนดีกว่าแค่ 4% แต่ถ้าในระยะยาวมีผลมาก
• หุ้นตัวเล็กถูกละเลย คนติดตามมีน้อย
• หุ้นตัวเล็กโอกาสเติบโตได้มาก ตลาดยังไม่อิ่มตัว
• หุ้นที่กำลังเปลี่ยนสถานะ ex. สมมติหุ้นตัวนั้นเติบโตมาเรื่อยๆ กำลังจะเข้า Set100, set50 สถาบันซื้อได้ จะทำให้หุ้นขึ้นเร็วมาก
ดัชนีผลตอบแทนรวม 2518-2554 (37 ปี)
• หุ้น ขึ้น 80 เท่า (ตกปีละ 12% ทบต้น)
• พันธบัตร ขึ้น 25 เท่า
• เงินฝากประจำ 10 เท่า ในช่วง 10 ปีหลังขึ้นน้อยมาก ต่ำกว่าเงินเฟ้อด้วยซ้ำ
• ทองคำ 8 เท่า
• อนุภาพปันผล ถ้านำเข้าไปรวมอยู่ในดัชนีไทยจะอยู่ที่ 6000-7000 จุด
ทางเลือกในการสร้างพอร์ตการลงทุน
• หุ้นในผลตอบแทนสูงสุด แต่ความผันผวนสูงมาก
• พันธบัตร ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ hedging เงินเฟ้อได้ดีที่สุด
• เงินฝากผลตอบแทนต่ำกว่าเงินเฟ้อ ฝากไว้ขาดทุน และต่อไปรัฐบาลไม่ค้ำประกัน
• ทองคำให้ผลตอบแทนต่ำสุด แต่นำมาใส่ได้
• ที่ดิน สินทรัพย์ที่ supply จำกัด แต่ demand เพิ่ม จะให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจระดับหนึ่ง
• บ้านเช่า/คอนโด ข้อดีบ้านเช่าคือได้ค่าเช่าด้วย ได้ที่ดินด้วย แต่คอนโดได้ค่าเช่า แต่มูลค่าเพิ่มน้อย ที่ผ่านมาคอนโดดี เพราะรถไฟฟ้ามากระจุกตัว แล้ว supply มันจำกัด แต่เมื่อไรที่รถไฟฟ้า 10 สาขา สร้างเสร็จ supply condo จะเพิ่มมาก ต่อไปจะไปปล่อยเช่าแพงก็ยาก
พอร์ตสำหรับคนทั่วไป
• ต่ำกว่า 40 ปี เน้นลงทุนหุ้นส่วนใหญ่ ถ้าไม่มีเวลาให้ซื้อกองทุน LTF ที่ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก มีบลจ.บางแห่งที่บริหารได้ดี
• มากกว่า 40 ปี ไม่ควรมีหุ้นเกิน 60% ที่เหลือตามความถนัดและความชอบ
พอร์ตลงทุนเชิงรุก
• ลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น ระยะยาวผลตอบแทนดีสุด
• ถือหุ้นขนาดกลางและเล็ก
• เหมาะกับนักลงทุนอายุน้อย รับความเสี่ยงได้มาก
• เหมาะกับนักลงทุนที่อุทิศตัว เวลาให้กับการลงทุน
• หวังผลตอบแทน 25-30% ต่อปี
• ถ้าซัก 10 ปีน่าจะพอได้ แต่ยาวกว่านั้นจะยากแล้ว
• ตัวอย่างถือพอร์ต 7 ตัว ในหุ้นกลาง/เล็ก : siri, sat, ktc, kamart, bland, bigc, hmpro
พอร์ตลงทุนเชิงรับ
• ถือหุ้นไม่เกิน 50% กระจายลงทุนตราสารหนี้ ทอง อสังหา
• หุ้น blue ship กับ ขนาดกลาง
• เหมาะกับนักลงทุนมีอายุ
• ผลตอบแทน 10-15%
• ตัวอย่างถือพอร์ต 9 ตัว ในหุ้นใหญ่ : ptt, scc, advance, scb, bgh, cpf, cpall ,ratch, cpn
พอร์ตวัดดวง
• ลงทุนในหุ้นอย่างเดียว
• ใช้ leverage
• ถือหุ้นน้อยตัว
• มีเวลาเกาะติดข่าวสาร cut loss ได้ทัน
• เหมาะกับนักลงทุนที่ล้มได้
• หวังผลตอบแทน 50% ขึ้นไป
• ย่นระยะเวลาการลงทุน แต่ไม่ควรใช้นานเกินไป ธรรมชาติแจกการ์ดแห่งความโชคดีมาให้ เหมือนคนขับรถด้วยความเร็ว 200 km/hr ไปทำงานทุกวัน อาจมีอยู่วันอาจที่กลับไม่ถึงบ้าน
• ข้อดี บางคนเงินต้นไม่เยอะ ถ้าใช้วิธีธรรมดาผลตอบแทนไปช้า ถ้าเรารอดจะสามารถเริ่มต้นได้เร็ว
• ตัวอย่างถือพอร์ต 1 ตัว : siri-w2
ติดตามหุ้นอย่างไรจากหุ้นทั้งตลาด 550 ตัว
• ใครบอกผมรู้จักหุ้นเยอะ จริงแค่บางส่วน ผมเลือกติดตาม และละเว้นบางตัว
• หุ้นที่ผมไม่ติดตาม ไม่เข้าใจที่มาที่ไปกำไรของรายได้ ไม่สามารถหาข้อมูลได้ เช่น หุ้น sawang ต่อให้อ่าน 56-1 ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเค้าจะเติบโตยังไง
• ใครถือ ptt ผมถามว่ารายได้มาจากไหน ถ้าตอบขายน้ำมันไม่ใช่แล้ว ไม่มีผลเลย
• ไม่ลงทุนในหุ้นปั่น
• ไม่ลงทุนหุ้นไร้อนาคต อย่าเข็นครกขึ้นภูเขา สิ่งทอ รองเท้า
• ไม่ลงทุนหุ้นระเบิดเวลา สัมปทาน สัญญาชี้เป็นชี้ตาย เช่น rpc ถ้าปตท.ไม่ขายน้ำมันให้จบเลย , bts สัมปทาน, upoic มีสัญญาเช่าที่ดิน
• พวกสัญญาเหล่านี้ถ้ายังอีกนาน ก็ยังมีเวลาเก็บเกี่ยวกำไร ผลกระทบก็อาจลดลง แต่ถ้า rpc ชัดเจนว่าสัญญามีความเสี่ยงมาก
• ผู้บริหารไม่มีธรรมาภิบาล สังเกตได้ว่า ราคาไปก่อนข่าวจะมา มี insider หรือ ราคาลงไปก่อน เกมพวกนี้เสียเปรียบ insider อยู่แล้ว
• ผู้บริหารไม่ค่อยให้ข่าว แบบนี้เราไม่รู้เสียเปรียบ
• Ex. หุ้นเสี่ย ก. พื้นฐานธุรกิจก็ใช้ได้ แต่ไม่เคยปันผล เพราะต้องเผื่อเงินไว้สำหรับธุรกิจ และอีกอย่างเก็บเงินไว้ในบริษัทไซฟ่อน ตัดค่าใช้จ่าย ซื้อขายสินค้าที่แพงกว่าความเป็นจริง ถ้าคนจะโกงยังไง กลต.ก็ช่วยไม่ได้ ง่ายที่สุดคือหลีกเลี่ยงดีกว่า
Do & Don’t
• ถือเงินสดบางส่วนเสมอ
• ลงทุนในหุ้นมากสุด
• ถ้าไม่มีความรู้ให้คนอื่นลงทุนแทน
• อย่าใช้เงินกู้
• อย่าถือหุ้นตัวเดียว
การบริหารพอร์ตโฟลิโอและจิตวิทยาการลงทุน
เครดิตบทความ คุณโจ ลูกอีสาน
ความเห็น....ผมคิดว่าส่วนใหญ่เป็นตามนั้นจริง จับต้องได้และมีประโยชน์ในการพัฒนาแนวทางการลงทุนสำหรับเม่าแบบเราครับ
Topic การจัด portfolio
• การจัดพอร์ตมีความสำคัญเท่ากับ stock selection ถ้าจัดการไม่ดีมีโอกาสเสียหายชัดเจน
“อะไรก็ตามที่เสี่ยง อย่าทำ”
• พอร์ตอยู่ในชื่อคนอื่น Ex. ชื่อญาติ, แฟน(ภรรยา ยังพอไหว มีอะไรก็หารครึ่ง)
• การถือหุ้นตัวเดียว คนที่ถือคิดว่าไม่เห็นเป็นอะไร ถ้ามีปัญหาก็ขายทัน แต่บางเหตุการเช่น ผู้บริหารเสียชีวิต การตกแต่งบัญชีฉ้อฉล มันขายไม่ทัน ตลาดขึ้น SP เช่น SECC มีรุ่นพี่ที่ซื้อขายไว ไม่เคยติดหุ้น ถือหุ้นตัวนี้อยู่ 10 ล้านบาท ตลท.ประกาศ SP ตอนนี้ยังติดหุ้นตัวนี้อยู่เลย ซื้อขายไม่ได้
• ใช้เงินกู้ ใช้ Margin เป็นการทำให้เราอ่อนแอโดยไม่จำเป็น แม้คิดถูกก็อาจทำให้เราขาดทุนได้ เช่น เจอหุ้นตัวหนึ่ง 5 บาท มูลค่าแท้จริง 10 บาท เราซื้อเต็มที่ + margin ปราฏกว่าเราคิดถูกครับ มันไปที่ 10 บาทจริง แต่ระหว่างทาง 5 บาทมันลงไป 3 บาทก่อน โดน force sell ชีวิตการลงทุนจบเห่เลย
• Ex. มีน้องคนหนึ่งมาขอคำปรึกษา ซื้อหุ้นตัวหนึ่งลงไป 20%, ซื้อตัวเดียว, ใช้ margin, อีก 2 เดือนข้างหน้า(ต.ค.54) ต้องใช้เงิน หลังจากนั้นปรากฏโดนน้ำท่วม หลังจากนั้นผมก็ไม่เจอน้องคนนั้นอีก
• คนที่ทำสำเร็จก็มี แต่คนที่ตายไม่ได้มาพูด
การกระจายการลงทุน(ถือหุ้นหลายตัว)
• รับประกันได้ว่าเราไม่เจ๊งแน่นอน ถ้าถือหุ้น 5 ตัวแล้วผิดหมด ก็ไม่ต้องเล่นหุ้นแล้ว
• การถือหุ้นหลายตวสุดท้ายจะได้ค่าเฉลี่ย แต่ถ้าฝีมือดีผลตอบแทนก็จะดีกว่าตลาด
• หุ้นแม้จะมี upside 50% แต่มันไม่ได้ขึ้นพร้อมกัน หากเราเผลอไปคิดผิดซื้อหุ้นที่ต้องรอ 2-3 ปีกว่าจะขึ้น ผลตอบแทนจะแย่
• “ผมพอใจที่จะถูกพอประมาณ ดีกว่าผิดจังๆ” Anonymous
• จะมีพอร์ตที่ต่ำกว่ามูลค่าเสมอและขายหุ้นที่เกินมูลค่า
• ถ้าเป็นหุ้น Super stock อาจถือตลาดไปก็ได้
• สามารถลงทุนในหุ้น ขนาดกลาง/เล็กได้
• ขยายขอบเขตความรู้ ยิ่งรู้หุ้นมากเท่าไรก็ได้เปรียบ
ข้อเสีย
• ไม่ใช่วิธีที่ทำกำไรสูงสุด
• เสียเวลามากกว่าในการหาความรู้
• ต้องซื้อๆขายๆด้วย
พอร์ตควรมีหุ้นกี่ตัว
• มีเวลาติดตามหุ้นมาก ถือมากตัวได้
• “ต้องเข้าใจที่ไปที่มาของบริษัท ถ้าไม่เข้าใจอย่าซื้อเด็ดขาด”
• ในทุกกรณี ไม่ควรต่ำกว่า 3 ตัว ถ้าหุ้น 2 ตัว น้อยไปเก้าอี้ 2 ขาหักไปขาแล้วนั่งไม่ได้
• ขนาด 1 แสน – 1 ล้าน 3-5 ตัว
• 1 – 10 ล้าน 4-6 ตัว
• 10 ล้าน – 100 ล้าน 6-8 ตัว
ควรถือเงินสดในพอร์ตเท่าไร
• เมื่อก่อนผมถือ 100% แต่หลังจากเจอวิกฤติ ผมก็ถือ 10-15% เพราะไม่รู้ว่าโอกาสจะมาเมื่อไร เหมือน warren ที่ถือเงินเอาไว้ มีวิกฤติเมื่อไรได้ใช้ทุกครั้ง peter lynch ก็เหมือนกัน
• ถือเงินสดส่วนใหญ่ได้ หากไม่เห็นโอกาส
• การเก็งตลาด เข้าๆออกๆ ไม่ใช่ความคิดที่ดี ทางปฏิบัติทำได้ยาก วิกฤติ sub-prime พูดมา 2-3 ปีกว่าจะลง ถ้าเราคิดว่ามันจะลง แต่ไม่ลง แล้วขึ้นทำ new high วันแล้ววันเล่า ถามว่าการตกรถ เป็นวิกฤติหรือเปล่า? แถมเป็นวิกฤติที่เราสร้างขึ้นมาเองด้วย
พอร์ตที่พร้อมรับวิกฤติ (ถ้าจัดพอร์ตแบบนี้ไม่มีวันตาย)
• ต้องมีเงินสดอยู่เสมอไม่ต่ำกว่า 10%
• ไม่มีเงินกู้ (ทำให้พอร์ตอ่อนแอโดยไม่จำเป็น)
• Warren บอกว่า สิ่งที่ทำให้คนเปลี่ยนไป คือ เหล้า การพนัน ในแวดวงการลงทุนสิ่งที่ทำให้เราอ่อนแอที่สุด คือ หนี้ เพราะเจ้าหนี้ตอนฝนไม่ตกเค้ายื่นร่มมาให้เรา พอฝนตกเค้าดึงร่มกลับ
การซื้อเฉลี่ยขาลง
• ถ้ามี MOS อยู่ ก็แนะนำให้ซื้อ แต่พื้นฐานกิจการต้องไม่เปลี่ยนแปลงเท่านั้น
• การทยอยซื้อเป็น step เพราะราคาอาจลงก็ที่เราคาด
• เมื่อเจอวิกฤติเศรษฐกิจ จำได้ตอนนั้นใจกล้า 10% เราเข้าไปซื้อแล้ว มันดันลงไป 40% มีดยังไม่ตกถึงพื้นอย่าไปซื้อ
• จะรู้ได้อย่างไรว่ามีดตกถึงพื้นแล้ว ต้องใช้ข้อมูล อย่าใช้อารมณ์ เข้าไปดูข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ P/BV ของตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยอยู่ที่ 1.9 จุดนี้คือไม่ถูกไม่พอ เช่น ตอนนี้ 2.2-2.3 แพงพอสมควรแต่ยังไม่ฟองสบู่ ตอนวิกฤติ 40/ subprime ของ p/bv ตลาด เหลือประมาณ 1 เท่า ผมคิดว่าปลอดภัยสูงแล้ว
• PE เอากำไรปีเดียวมาคิด ถ้าเจอวิกฤติกำไรหายหมด แต่ PBV เป็นผลรวมของหลายๆปี ตั้งแต่ตั้งกิจการจะมีความผันผวนต่ำกว่า
• ต้องมีตั้ง limit ไว้ในใจเสมอ เช่น พี่โจ ต่อให้หุ้นดีแค่ไหนจะซื้อไม่เกิน 40% อาจมีสิ่งที่เราไม่รู้ หรือคิดผิด
ทำอย่างไร เมื่อเจอหุ้นตีแตก
• รีบซื้อให้เยอะที่สุด แต่ไม่เกิน 40%
พอร์ตควรกระจายหลายอุตสาหกรรมหรือไม่
• แน่นอน เป็นเรื่องที่ดี
• Ex. กระจายในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน บริษัทผลิตไบโอดีเซล พลังงานลม เอทานอล พี่งพาปัจจัยเดียวกันหมด ควรกระจายอุตสาหกรรมด้วย ไม่ใช่แค่บริษัท
• ถือกลุ่มเดียวกัน Ex. ค้าปลีก แต่เป็นค้าปลีก อุปโภคบริโภค ค้าหนังสือ ตกแต่งบ้าน แบบนี้ถือเป็นคนละอุตสาหกรรม
ถือหุ้นใหญ่หรือเล็ก
• ถ้าใครถามแบบนี้คือมี bias มันไม่ใช่ประเด็น
• ผมเคยได้ยินงานวิจัยใน us ว่าหุ้นตัวเล็กให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเสมอ
• หากหุ้นตัวเล็กผลตอบแทนดีกว่าแค่ 4% แต่ถ้าในระยะยาวมีผลมาก
• หุ้นตัวเล็กถูกละเลย คนติดตามมีน้อย
• หุ้นตัวเล็กโอกาสเติบโตได้มาก ตลาดยังไม่อิ่มตัว
• หุ้นที่กำลังเปลี่ยนสถานะ ex. สมมติหุ้นตัวนั้นเติบโตมาเรื่อยๆ กำลังจะเข้า Set100, set50 สถาบันซื้อได้ จะทำให้หุ้นขึ้นเร็วมาก
ดัชนีผลตอบแทนรวม 2518-2554 (37 ปี)
• หุ้น ขึ้น 80 เท่า (ตกปีละ 12% ทบต้น)
• พันธบัตร ขึ้น 25 เท่า
• เงินฝากประจำ 10 เท่า ในช่วง 10 ปีหลังขึ้นน้อยมาก ต่ำกว่าเงินเฟ้อด้วยซ้ำ
• ทองคำ 8 เท่า
• อนุภาพปันผล ถ้านำเข้าไปรวมอยู่ในดัชนีไทยจะอยู่ที่ 6000-7000 จุด
ทางเลือกในการสร้างพอร์ตการลงทุน
• หุ้นในผลตอบแทนสูงสุด แต่ความผันผวนสูงมาก
• พันธบัตร ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ hedging เงินเฟ้อได้ดีที่สุด
• เงินฝากผลตอบแทนต่ำกว่าเงินเฟ้อ ฝากไว้ขาดทุน และต่อไปรัฐบาลไม่ค้ำประกัน
• ทองคำให้ผลตอบแทนต่ำสุด แต่นำมาใส่ได้
• ที่ดิน สินทรัพย์ที่ supply จำกัด แต่ demand เพิ่ม จะให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจระดับหนึ่ง
• บ้านเช่า/คอนโด ข้อดีบ้านเช่าคือได้ค่าเช่าด้วย ได้ที่ดินด้วย แต่คอนโดได้ค่าเช่า แต่มูลค่าเพิ่มน้อย ที่ผ่านมาคอนโดดี เพราะรถไฟฟ้ามากระจุกตัว แล้ว supply มันจำกัด แต่เมื่อไรที่รถไฟฟ้า 10 สาขา สร้างเสร็จ supply condo จะเพิ่มมาก ต่อไปจะไปปล่อยเช่าแพงก็ยาก
พอร์ตสำหรับคนทั่วไป
• ต่ำกว่า 40 ปี เน้นลงทุนหุ้นส่วนใหญ่ ถ้าไม่มีเวลาให้ซื้อกองทุน LTF ที่ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก มีบลจ.บางแห่งที่บริหารได้ดี
• มากกว่า 40 ปี ไม่ควรมีหุ้นเกิน 60% ที่เหลือตามความถนัดและความชอบ
พอร์ตลงทุนเชิงรุก
• ลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น ระยะยาวผลตอบแทนดีสุด
• ถือหุ้นขนาดกลางและเล็ก
• เหมาะกับนักลงทุนอายุน้อย รับความเสี่ยงได้มาก
• เหมาะกับนักลงทุนที่อุทิศตัว เวลาให้กับการลงทุน
• หวังผลตอบแทน 25-30% ต่อปี
• ถ้าซัก 10 ปีน่าจะพอได้ แต่ยาวกว่านั้นจะยากแล้ว
• ตัวอย่างถือพอร์ต 7 ตัว ในหุ้นกลาง/เล็ก : siri, sat, ktc, kamart, bland, bigc, hmpro
พอร์ตลงทุนเชิงรับ
• ถือหุ้นไม่เกิน 50% กระจายลงทุนตราสารหนี้ ทอง อสังหา
• หุ้น blue ship กับ ขนาดกลาง
• เหมาะกับนักลงทุนมีอายุ
• ผลตอบแทน 10-15%
• ตัวอย่างถือพอร์ต 9 ตัว ในหุ้นใหญ่ : ptt, scc, advance, scb, bgh, cpf, cpall ,ratch, cpn
พอร์ตวัดดวง
• ลงทุนในหุ้นอย่างเดียว
• ใช้ leverage
• ถือหุ้นน้อยตัว
• มีเวลาเกาะติดข่าวสาร cut loss ได้ทัน
• เหมาะกับนักลงทุนที่ล้มได้
• หวังผลตอบแทน 50% ขึ้นไป
• ย่นระยะเวลาการลงทุน แต่ไม่ควรใช้นานเกินไป ธรรมชาติแจกการ์ดแห่งความโชคดีมาให้ เหมือนคนขับรถด้วยความเร็ว 200 km/hr ไปทำงานทุกวัน อาจมีอยู่วันอาจที่กลับไม่ถึงบ้าน
• ข้อดี บางคนเงินต้นไม่เยอะ ถ้าใช้วิธีธรรมดาผลตอบแทนไปช้า ถ้าเรารอดจะสามารถเริ่มต้นได้เร็ว
• ตัวอย่างถือพอร์ต 1 ตัว : siri-w2
ติดตามหุ้นอย่างไรจากหุ้นทั้งตลาด 550 ตัว
• ใครบอกผมรู้จักหุ้นเยอะ จริงแค่บางส่วน ผมเลือกติดตาม และละเว้นบางตัว
• หุ้นที่ผมไม่ติดตาม ไม่เข้าใจที่มาที่ไปกำไรของรายได้ ไม่สามารถหาข้อมูลได้ เช่น หุ้น sawang ต่อให้อ่าน 56-1 ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเค้าจะเติบโตยังไง
• ใครถือ ptt ผมถามว่ารายได้มาจากไหน ถ้าตอบขายน้ำมันไม่ใช่แล้ว ไม่มีผลเลย
• ไม่ลงทุนในหุ้นปั่น
• ไม่ลงทุนหุ้นไร้อนาคต อย่าเข็นครกขึ้นภูเขา สิ่งทอ รองเท้า
• ไม่ลงทุนหุ้นระเบิดเวลา สัมปทาน สัญญาชี้เป็นชี้ตาย เช่น rpc ถ้าปตท.ไม่ขายน้ำมันให้จบเลย , bts สัมปทาน, upoic มีสัญญาเช่าที่ดิน
• พวกสัญญาเหล่านี้ถ้ายังอีกนาน ก็ยังมีเวลาเก็บเกี่ยวกำไร ผลกระทบก็อาจลดลง แต่ถ้า rpc ชัดเจนว่าสัญญามีความเสี่ยงมาก
• ผู้บริหารไม่มีธรรมาภิบาล สังเกตได้ว่า ราคาไปก่อนข่าวจะมา มี insider หรือ ราคาลงไปก่อน เกมพวกนี้เสียเปรียบ insider อยู่แล้ว
• ผู้บริหารไม่ค่อยให้ข่าว แบบนี้เราไม่รู้เสียเปรียบ
• Ex. หุ้นเสี่ย ก. พื้นฐานธุรกิจก็ใช้ได้ แต่ไม่เคยปันผล เพราะต้องเผื่อเงินไว้สำหรับธุรกิจ และอีกอย่างเก็บเงินไว้ในบริษัทไซฟ่อน ตัดค่าใช้จ่าย ซื้อขายสินค้าที่แพงกว่าความเป็นจริง ถ้าคนจะโกงยังไง กลต.ก็ช่วยไม่ได้ ง่ายที่สุดคือหลีกเลี่ยงดีกว่า
Do & Don’t
• ถือเงินสดบางส่วนเสมอ
• ลงทุนในหุ้นมากสุด
• ถ้าไม่มีความรู้ให้คนอื่นลงทุนแทน
• อย่าใช้เงินกู้
• อย่าถือหุ้นตัวเดียว