ต่อจากกระทู้ที่เเล้วนะคะ
http://ppantip.com/topic/30269875
บ้านหลังเเรกที่เราตัดสินใจซื้อ บอกตรงๆว่าตอนนั้นไม่เชิงคิดว่าจะทำจริงจังสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะมีช้างมาบอกขายให้ในราคาที่ถูกใจ ก็เลยไม่ต้องคิดนาน หมายถึงมีบ้านที่ราคาไม่เเพงนัก ได้บ้านที่ดี ที่ดินที่ดี เพื่อนบ้านที่ดี เลยไม่ได้ใช้เวลาคิดนานสักเท่าไหร่ เพราะคิดเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะซื้อมาซ่อมเเซมเเล้วปล่อยขาย หรือซื้อมาเเล้วให้เช่า ก็น่าจะทำเงินให้เราได้
อยู่ที่อเมริกานี่เวลาจะติดต่อธนาคารกู้เงินทำอะไร ที่สำคัญคือต้องมีเครดิต เครดิตเกิดจากประวัติการทำงาน ประวัติการใช้เงิน ที่ผ่านมารายได้เราเป็นยังไง เราใช้บัตรเครดิตหรือซื้ออะไรเเล้วเราจ่ายตรงเวลาไหม เราเคยหนีหนี้ไหม (อันนี้สำคัญ เพราะต่อให้ที่ผ่านมาประวัติดีมาทั้งหมด ถ้าพลาดเเค่ครั้งเดียว ลืมจ่ายหนี้ เเม้เเต่วงเงินน้อยๆก็เถอะ ตรงนี้อาจจะทำให้เครดิตเราพังได้ ตอนนั้นเครดิตเราอยู่ที่ 750 จากตัวเลขเต็ม 800)
เอกสารการเสียภาษีย้อนหลัง (Tax return) จำนวนสองปี ตรงนี้จะดูว่าประวัติการเงินเราเป็นยังไง รายได้เราจะเพียงพอที่จะกู้ยืมเเละส่งบ้านหลังใหม่ได้ไหม (ตอนนั้นเรามีบ้านที่อยู่เองอยู่เเล้ว พูดง่ายๆก็คือเค้าจะดูว่า เราจะมีเงินพอที่จะส่งทั้งสองบ้านไหม)
เงินดาวน์ ถ้าเป็นบ้านที่ซื้ออยู่เองหลังเเรก เราไม่เเน่ใจว่าเงินดาวน์ต่ำสุดที่จะลงได้มันเท่าไหร่ เเต่คาดว่าลงต่ำกว่าสิบเปอร์เซ็นก็น่าจะได้ เเต่ถ้าซื้อเพื่อการค้า เราต้องมีเงินดาวน์ยี่สิบเปอร์เซ็นเป็นอย่างน้อย เเละเงินนั้นก็ต้องอยู่ในธนาคารมาได้เเล้วสักระยะนะคะ ไม่ใช่ว่าพอจะซื้อเเล้วค่อยเอาเข้า ทางธนาคารให้ความสำคัญในประวัติการเงินเรามาก
คราวนี้มาถึงเรื่องการกู้ยืม ทำการค้าสามีเเละภรรยาเลือกได้ว่าจะกู้รวมหรือจะกู้เเค่คนเดียว(ถ้าเครดิตเราสูงพอก็กู้คนเดียวได้ เเต่ถ้าไม่พอ ก็เอาเครดิตสองคนมารวมกันเเล้วกู้ได้เหมือนกันค่ะ ในกรณีเรากู้เองได้เลย โดยที่ไม่ต้องไปขอร่วมกันเค้า สามีเราไม่ได้รับรู้ถึงการตัดสินใจอะไรสักเท่าไหร่ เพราะเค้าไม่อยากให้เราทำตั้งเเต่เเรกเเล้ว เเต่เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะ คือเค้ารู้เเค่ว่าเราจะเอาเงินออกจากธนาคารไปดาวน์บ้านเท่าไหร่ ส่วนด้านเอกสารต่างๆ เราจัดการเองได้เลยโดยทีไม่ต้องรอเค้า ที่เค้าต้องทำคือ ไปร่วมเซ็นรับเป็นเจ้าของร่วม เพราะใบทะเบียนสมรสบังคับค่ะ)
เราติดต่อไปทั้งหมดประมาณสามธนาคารค่ะ เเละเลือกธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยต่ำที่สุด
หลังจากที่ได้บ้านมาเเล้ว เราหมดเงินอีกจำนวนนึงเป็นการซ่อมเเซม เปลี่ยนพื้นใหม่ ทำสีใหม่ (โครงในดีอยู่เเล้ว เเค่ภายนอกเละก็เท่านั้นเอง ซึ่งตรงนี้ มันก็อยู่ที่ประสพการณ์เเละสายตาของเราเอง บ้านที่เราต้องการคือบ้านที่โครงสร้างดี เเละที่กลัวก็คือ ดีเเต่ภายนอก เเต่ระบบต่างๆที่เรามองไม่เห็นข้างในจะเละ เรื่องการส่งคนเข้าไปตรวจสอบก่อนที่จะตัดสินใจซื้อนี่สำคัญมาก (Home Inspection) เราต้องรู้จริงก่อนที่จะตัดสินใจซื้อว่า สภาพบ้านเป็นยังไงบ้าง (ในกรณีเราคือซื้อบ้านเก่าเอามาซ่อมเเซมค่ะ)
หลังจากที่การซ่อมเเซมเสร็จสิ้นเเล้ว เราก็ยังสองจิตสองใจว่าจะปล่อยขายดีไหม หรือให้คนเช่าดี จะขายเลยก็กลัวภาษี (เรื่องนี้เดี๋ยวเราจะพูดคุยกันในกระทู้หน้านะคะ) เเละที่สำคัญยังไม่ต้องการเงินก้อนเอาไปทำอะไร สุดท้ายเเล้วก็เลยปล่อยให้เช่าค่ะ ช่วงที่ไม่มียังคนเช่าก็ท้อเหมือนกัน มีเเอบเศร้านิดๆว่า เราอาจจะตัดสินใจผิด เเต่ก็พยายามปลอบตัวเองว่า เอาน่า ทำครั้งเเรกจะให้มันประสพความสำเร็จเลยก็ดูเหมือนจะง่ายจนเกินไป คิดซะว่า ถ้ามันผิดพลาด มันก็คือประสพการณ์ อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่า เลือกบ้านยังไง ติดต่อใครยังไง อันไหนซ่อมง่าย อันไหนซ่อมยาก
เราใช้เวลาประมาณห้าปี จนส่งบ้านหลังนั้นหมด (ทั้งเงินค่าเช่า เเละเงินส่วนตัวรวมๆกันไป) ตอนนี้ไม่ต้องส่งค่างวดให้กับธนาคารเเล้ว ที่ยังต้องจ่ายทุกปีก็คือ ค่าประกันเเละค่าภาษีบ้าน เเละตอนนี้มีคนเช่าในระยะยาวเรียบร้อยเเล้ว หักจากค่าที่ต้องเสียเป็นรายปีต่างๆเเล้ว เรามีเงินเหลือจากบ้านหลังนี้ ประมาณ $ 8500 ต่อปี โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ตั้งเเต่ได้มาผู้เช่าโทรหาให้เข้าไปดูเครื่องทำน้ำอุ่นสองครั้ง ระบบเเอร์หนึ่งครั้ง น้ำรั่วจากอ่างล้างจานอีกหนึ่งครั้ง ซี่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรใหญ่โต
คราวนี้ก็เกิดความโลภซิค่ะ เออนะ มันก็ไม่ได้ยากสักเท่าไหร่นี่นา เลยลองเอามาคิดเล่นๆว่า ถ้าเรามีสักสิบหลัง นึกถึงตัวเลขด้านบวกเเล้วบอกตรงๆว่า โลภ จริงๆ
ที่สำคัญ เราไม่ได้เอาเวลาที่จะอยู่กับลูกไปทำงานนะคะ เรายังตื่นเช้าทำอาหารให้เด็กๆ หลังเลิกเรียนเรายังอยู่กับเค้า เด็กๆยังได้อาบน้ำตอนทุ่มครึ่งเเละเข้านอนเเต่หัวค่ำโดยที่ยังมีเราคอยดูเเลอยู่เหมือนเดิม เสาร์อาทิตย์เรายังได้ทำกิจกรรมร่วมกับเค้า เเละยังเข้าไปทำงานประจำตอนที่เด็กๆไปเรียนกันหมดเเล้วเหมือนเดิม
เราจะขยายงานยังไงโดยที่ไม่กระทบถึงการดูเเลเด็กๆ ไม่กระทบถึงงานประจำ บ้านหลังเเรกอาจจะไม่ได้ทำเงินให้เรามากมากถึงขั้นจะอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องทำงานอย่างอื่น เเต่ถ้ามองรวมๆเเล้ว เราว่าเราไม่มีอะไรต้องเสียนะคะ เพราะเอาเข้าจริง ราคาบ้านตอนนี้สูงกว่าตอนที่ซื้อเยอะเหมือนกัน ทั้งๆที่เศรษฐกิจเเย่ ถ้าขายยังไงก็ไม่ขาดทุนเเน่นอน ( Location สำคัญมากค่ะ)
เเล้วกระทู้ต่อไป เราจะมาคุยต่อในเรื่องขยับขยาย อยากทำงานอดิเรกให้เป็นเรื่องเป็นราว อยากมีบ้านเช่ามากกว่าหนึ่งหลัง อยากโตกว่านี้ อยากมีชื่อบริษัท อยากเป็น LLC รวมไปถึงการเล่นกับภาษีในเเง่ต่างๆ (บางเรื่องเขียนได้ก็จะเขียน เเต่บางเรื่องอาจจะเขียนไม่ได้ ก็จะเขียนให้เเอบคิดเอาเองนะคะ)
ขอเเท๊กห้องเดิมนะคะ
อาชีพเสริมสำหรับเเม่บ้านอย่างเรา เเละคุณก็ทำได้เช่นกัน (บ้านเช่าหลังเเรก, ใบเบิกทาง)
บ้านหลังเเรกที่เราตัดสินใจซื้อ บอกตรงๆว่าตอนนั้นไม่เชิงคิดว่าจะทำจริงจังสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะมีช้างมาบอกขายให้ในราคาที่ถูกใจ ก็เลยไม่ต้องคิดนาน หมายถึงมีบ้านที่ราคาไม่เเพงนัก ได้บ้านที่ดี ที่ดินที่ดี เพื่อนบ้านที่ดี เลยไม่ได้ใช้เวลาคิดนานสักเท่าไหร่ เพราะคิดเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะซื้อมาซ่อมเเซมเเล้วปล่อยขาย หรือซื้อมาเเล้วให้เช่า ก็น่าจะทำเงินให้เราได้
อยู่ที่อเมริกานี่เวลาจะติดต่อธนาคารกู้เงินทำอะไร ที่สำคัญคือต้องมีเครดิต เครดิตเกิดจากประวัติการทำงาน ประวัติการใช้เงิน ที่ผ่านมารายได้เราเป็นยังไง เราใช้บัตรเครดิตหรือซื้ออะไรเเล้วเราจ่ายตรงเวลาไหม เราเคยหนีหนี้ไหม (อันนี้สำคัญ เพราะต่อให้ที่ผ่านมาประวัติดีมาทั้งหมด ถ้าพลาดเเค่ครั้งเดียว ลืมจ่ายหนี้ เเม้เเต่วงเงินน้อยๆก็เถอะ ตรงนี้อาจจะทำให้เครดิตเราพังได้ ตอนนั้นเครดิตเราอยู่ที่ 750 จากตัวเลขเต็ม 800)
เอกสารการเสียภาษีย้อนหลัง (Tax return) จำนวนสองปี ตรงนี้จะดูว่าประวัติการเงินเราเป็นยังไง รายได้เราจะเพียงพอที่จะกู้ยืมเเละส่งบ้านหลังใหม่ได้ไหม (ตอนนั้นเรามีบ้านที่อยู่เองอยู่เเล้ว พูดง่ายๆก็คือเค้าจะดูว่า เราจะมีเงินพอที่จะส่งทั้งสองบ้านไหม)
เงินดาวน์ ถ้าเป็นบ้านที่ซื้ออยู่เองหลังเเรก เราไม่เเน่ใจว่าเงินดาวน์ต่ำสุดที่จะลงได้มันเท่าไหร่ เเต่คาดว่าลงต่ำกว่าสิบเปอร์เซ็นก็น่าจะได้ เเต่ถ้าซื้อเพื่อการค้า เราต้องมีเงินดาวน์ยี่สิบเปอร์เซ็นเป็นอย่างน้อย เเละเงินนั้นก็ต้องอยู่ในธนาคารมาได้เเล้วสักระยะนะคะ ไม่ใช่ว่าพอจะซื้อเเล้วค่อยเอาเข้า ทางธนาคารให้ความสำคัญในประวัติการเงินเรามาก
คราวนี้มาถึงเรื่องการกู้ยืม ทำการค้าสามีเเละภรรยาเลือกได้ว่าจะกู้รวมหรือจะกู้เเค่คนเดียว(ถ้าเครดิตเราสูงพอก็กู้คนเดียวได้ เเต่ถ้าไม่พอ ก็เอาเครดิตสองคนมารวมกันเเล้วกู้ได้เหมือนกันค่ะ ในกรณีเรากู้เองได้เลย โดยที่ไม่ต้องไปขอร่วมกันเค้า สามีเราไม่ได้รับรู้ถึงการตัดสินใจอะไรสักเท่าไหร่ เพราะเค้าไม่อยากให้เราทำตั้งเเต่เเรกเเล้ว เเต่เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะ คือเค้ารู้เเค่ว่าเราจะเอาเงินออกจากธนาคารไปดาวน์บ้านเท่าไหร่ ส่วนด้านเอกสารต่างๆ เราจัดการเองได้เลยโดยทีไม่ต้องรอเค้า ที่เค้าต้องทำคือ ไปร่วมเซ็นรับเป็นเจ้าของร่วม เพราะใบทะเบียนสมรสบังคับค่ะ)
เราติดต่อไปทั้งหมดประมาณสามธนาคารค่ะ เเละเลือกธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยต่ำที่สุด
หลังจากที่ได้บ้านมาเเล้ว เราหมดเงินอีกจำนวนนึงเป็นการซ่อมเเซม เปลี่ยนพื้นใหม่ ทำสีใหม่ (โครงในดีอยู่เเล้ว เเค่ภายนอกเละก็เท่านั้นเอง ซึ่งตรงนี้ มันก็อยู่ที่ประสพการณ์เเละสายตาของเราเอง บ้านที่เราต้องการคือบ้านที่โครงสร้างดี เเละที่กลัวก็คือ ดีเเต่ภายนอก เเต่ระบบต่างๆที่เรามองไม่เห็นข้างในจะเละ เรื่องการส่งคนเข้าไปตรวจสอบก่อนที่จะตัดสินใจซื้อนี่สำคัญมาก (Home Inspection) เราต้องรู้จริงก่อนที่จะตัดสินใจซื้อว่า สภาพบ้านเป็นยังไงบ้าง (ในกรณีเราคือซื้อบ้านเก่าเอามาซ่อมเเซมค่ะ)
หลังจากที่การซ่อมเเซมเสร็จสิ้นเเล้ว เราก็ยังสองจิตสองใจว่าจะปล่อยขายดีไหม หรือให้คนเช่าดี จะขายเลยก็กลัวภาษี (เรื่องนี้เดี๋ยวเราจะพูดคุยกันในกระทู้หน้านะคะ) เเละที่สำคัญยังไม่ต้องการเงินก้อนเอาไปทำอะไร สุดท้ายเเล้วก็เลยปล่อยให้เช่าค่ะ ช่วงที่ไม่มียังคนเช่าก็ท้อเหมือนกัน มีเเอบเศร้านิดๆว่า เราอาจจะตัดสินใจผิด เเต่ก็พยายามปลอบตัวเองว่า เอาน่า ทำครั้งเเรกจะให้มันประสพความสำเร็จเลยก็ดูเหมือนจะง่ายจนเกินไป คิดซะว่า ถ้ามันผิดพลาด มันก็คือประสพการณ์ อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่า เลือกบ้านยังไง ติดต่อใครยังไง อันไหนซ่อมง่าย อันไหนซ่อมยาก
เราใช้เวลาประมาณห้าปี จนส่งบ้านหลังนั้นหมด (ทั้งเงินค่าเช่า เเละเงินส่วนตัวรวมๆกันไป) ตอนนี้ไม่ต้องส่งค่างวดให้กับธนาคารเเล้ว ที่ยังต้องจ่ายทุกปีก็คือ ค่าประกันเเละค่าภาษีบ้าน เเละตอนนี้มีคนเช่าในระยะยาวเรียบร้อยเเล้ว หักจากค่าที่ต้องเสียเป็นรายปีต่างๆเเล้ว เรามีเงินเหลือจากบ้านหลังนี้ ประมาณ $ 8500 ต่อปี โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ตั้งเเต่ได้มาผู้เช่าโทรหาให้เข้าไปดูเครื่องทำน้ำอุ่นสองครั้ง ระบบเเอร์หนึ่งครั้ง น้ำรั่วจากอ่างล้างจานอีกหนึ่งครั้ง ซี่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรใหญ่โต
คราวนี้ก็เกิดความโลภซิค่ะ เออนะ มันก็ไม่ได้ยากสักเท่าไหร่นี่นา เลยลองเอามาคิดเล่นๆว่า ถ้าเรามีสักสิบหลัง นึกถึงตัวเลขด้านบวกเเล้วบอกตรงๆว่า โลภ จริงๆ
ที่สำคัญ เราไม่ได้เอาเวลาที่จะอยู่กับลูกไปทำงานนะคะ เรายังตื่นเช้าทำอาหารให้เด็กๆ หลังเลิกเรียนเรายังอยู่กับเค้า เด็กๆยังได้อาบน้ำตอนทุ่มครึ่งเเละเข้านอนเเต่หัวค่ำโดยที่ยังมีเราคอยดูเเลอยู่เหมือนเดิม เสาร์อาทิตย์เรายังได้ทำกิจกรรมร่วมกับเค้า เเละยังเข้าไปทำงานประจำตอนที่เด็กๆไปเรียนกันหมดเเล้วเหมือนเดิม
เราจะขยายงานยังไงโดยที่ไม่กระทบถึงการดูเเลเด็กๆ ไม่กระทบถึงงานประจำ บ้านหลังเเรกอาจจะไม่ได้ทำเงินให้เรามากมากถึงขั้นจะอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องทำงานอย่างอื่น เเต่ถ้ามองรวมๆเเล้ว เราว่าเราไม่มีอะไรต้องเสียนะคะ เพราะเอาเข้าจริง ราคาบ้านตอนนี้สูงกว่าตอนที่ซื้อเยอะเหมือนกัน ทั้งๆที่เศรษฐกิจเเย่ ถ้าขายยังไงก็ไม่ขาดทุนเเน่นอน ( Location สำคัญมากค่ะ)
เเล้วกระทู้ต่อไป เราจะมาคุยต่อในเรื่องขยับขยาย อยากทำงานอดิเรกให้เป็นเรื่องเป็นราว อยากมีบ้านเช่ามากกว่าหนึ่งหลัง อยากโตกว่านี้ อยากมีชื่อบริษัท อยากเป็น LLC รวมไปถึงการเล่นกับภาษีในเเง่ต่างๆ (บางเรื่องเขียนได้ก็จะเขียน เเต่บางเรื่องอาจจะเขียนไม่ได้ ก็จะเขียนให้เเอบคิดเอาเองนะคะ)
ขอเเท๊กห้องเดิมนะคะ