หลังจากฮ่าวหมิงเดินห่างออกไปสักระยะพอที่จะไม่ได้ยินเสียงปลดล็อกประตู ปันนาก็ค่อยๆแอบย่องตามมาเงียบๆ โดยไม่ลืมหยิบปืนลงมาด้วย หล่อนทิ้งระยะห่างพอสมควร ดวงตากลมโตใสแจ๋วจับที่โครงหลังผึ่งผายของฮ่าวหมิง พลางแอบแลบลิ้น ทำปากยื่นใส่
นายเป็นใคร มาสั่งเอาสั่งเอา ถ้าเชื่อง่ายๆ ฉันก็ไม่ใช่ยายกล้วยแล้ว
ในชั่วพริบตานั้น เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก เงาร่างตะคุ่มที่ปักใจเชื่อว่าเป็นคนเจ็บ พลิกตัวนอนหงาย วัตถุสีดำกำอยู่ในมือทั้งสองข้าง ปลายเล็งมาที่เฉินฮ่าวหมิง แต่ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนกลิ้งไปบนพื้น พร้อมเงาอะไรบางอย่างพุ่งออกจากมือของเขา ไวจนไม่ทันสังเกตว่าเขาดึงมันออกมาจากไหนและเมื่อไหร่ แต่แม่นยำยิ่งเพราะมันปักลงตรงใจกลางหลังมือของเจ้าผู้ร้ายจนปืนของมันร่วงหล่นลงบนพื้นพร้อมเสียงร้อง "จ๊าก" เหมือนลิงถูกเชือด
'มีดพกปลายแหลม' ปฏิกิริยาของฮ่าวหมิงก็ไวทายาด ชายหนุ่มใช้เท้าเขี่ยปืนกระดกเข้ามาในมือ เล็งไปที่เจ้าตัวร้าย
สถานการณ์พลิกกลับอย่างรวดเร็ว
หากช่วงที่ตกใจละล้าละลัง เห็นคนร้ายขยับพลิกตัว หญิงสาวกลัวฮ่าวหมิงจะหลงกล หล่อนจึงปัดปลายปืนสะเปะสะปะไปด้านข้างค่อนไปด้านหลัง แล้วเหนี่ยวไกปืน เปรี้ยงๆ ตั้งใจขู่ผู้ร้ายเท่านั้น ไม่คิดจะทำร้ายใคร
สำนึกลึกๆ บอกว่าหล่อนเป็นหมอ มีหน้าที่ช่วยชีวิตคน
ฆ่าคนเหรอ เมินเสียเถอะ
หมอปันนาจึงระวังเต็มที่ เพื่อไม่ให้ใครโดนลูกหลง ไม่ยอมยิงปืนขึ้นฟ้า เพราะเคยเห็นบ่อยๆ คนไข้นอนอยู่กับบ้านเฉยๆ มีลูกกระสุนหล่นลงมาจากสวรรค์ บางคนแค่บาดเจ็บ แต่บางคนถึงตายเลยก็มี เพราะฉะนั้นขืนยิงส่งเดชขึ้นไป ลูกกระสุนอาจหล้นตุ๊บลงมาเจาะกระโหลกหล่อนเองก็ได้ หรือคนถูกลูกหลงอาจเป็นเฉินฮ่าวหมิงเสียเอง
แต่เอ เสียงเปรี้ยงๆ จ๊ากนี่ มันก็สมเหตุสมผลดี แต่เสียงที่สามนี่มันมาจากไหนหว่า
มือปืนจำเป็นหันมาตามเสียงประหลาด แล้วหน้าหล่อนก็บิดเบี้ยวเหยเก ปากเบะเหมือนจะร้องไห้
“ไม่นะ เป็นไปไม่ได้ ทำไมเรื่องอย่างนี้ถึงเกิดขึ้นกับชั้น"' เมื่อหญิงสาวหันกลับมา หล่อนก็เห็นสายตาของฮ่าวหมิงที่มองตรงมาที่หล่อนอย่างตกตะลึง การมบดกันแน่น
แน่ล่ะ เขาต้องโกรธสิ ก็หล่อนเล่นยิงล้อรถเขาจนยางแตกแบนตะแล๊ดแต๊ดแต๋ขนาดนั้น
แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำหน้าซีเรียสซะน่ากลัวขนาดนั้นนี่นา
กว่าจะรู้ ทำไมเฉินฮ่าวหมิงถึงเครียดผิดปกติ หล่อนก็รู้สึกเย็นวาบที่ด้านหลัง
"ไม่อยากตาย ทิ้งปืนลง" เสียงเหี้ยมดุดันของใครคนหนึ่งสั่ง ก่อนเจ้าของเสียงจะโผล่มาทั้งตัว ย้ายปลายกระบอกปืนมาจี้ขมับปันนาแทน "ยกมือขึ้น" มันสั่งต่อเมื่อหล่อนทิ้งปืนลงไปเรียบร้อย พลางใช้เท้าเขี่ยปืนไปด้านหลังไกลๆ คงมีพวกมันอีก ไม่ใช่แค่สองคนแน่
จริงอย่างที่ฮ่าวหมิงว่าไว้ไม่มีผิด ถึงจะยูโดสายดำแต่เล่นจิ้มปลายปืนมาที่หัว แข้งขามือไม้ก็สั่นผับๆ จะเอาแรงที่ไหนไปทุ่มใครได้ ไม่ลมจับไปก่อนก็บุญแล้ว
"เอาปืนลง" คราวนี้ คนมาใหม่ตะโกนข้ามไปพูดกับเฉินฮ่าวหมิงโดยเฉพาะ "หรือจะให้กูระเบิดขมองเมียก่อน"
"อย่ามาพูดชุ่ยๆนะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขา" ความโกรธช่วยลดความกลัวลงไปบางส่วน ปันนาหันไปมองเจ้าผู้ร้ายตัวใหม่ด้วยสีหน้าถทึง "นายเอาฉันไปขู่เขาไม่มีประโยชน์หรอก"
"เดี๋ยวก็รู้" เดี๋ยวก็รู้ของมันมาถึงเร็วกว่าที่คิด เฉินฮ่าวหมิงทิ้งปืนลง ลุกขึ้นยืนช้าๆพร้อมกับยกมือขึ้นเหนือศีรษะเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้ทุกกรณี
ปันนาเบิ่งตาโต นึกไม่ถึง ชายหนุ่มจะยอมทิ้งอาวุธเพื่อแลกกับชีวิตของหล่อน หากคนร้ายมีแค่สองคนเท่าที่เห็น หล่อนเชื่อว่าด้วยปืนในมือ เฉินฮ่าวหมิงสามารถเอาตัวรอดเองได้ แต่เขากลับปิดประตูสู้ยอมแพ้เสียเฉยๆ
"โธ่พี่โดม" เหยื่อล่อที่ถูกเฉินฮ่าวหมิงปามีดปักใส่หลังมือพยุงตัวลุกขึ้นช้าๆอย่างทุลักทุเลโดยไม่ลืมหยิบปืนขึ้นมาด้วย ส่วนข้างที่เลือดโชก มันเอาพุงพลุ้ยๆของมันกดห้ามเลือดไว้ชั่วคราว "ปล่อยให้นังนั่นมันยิงยางรถมันเองทำไม รถแพงๆอย่างนี้ เอาไปขายคงได้เป็นล้าน"
"กูจะไปรู้เรอะว่านังหน้าซาลาเปานึ่งนี่มันจะโง่ถึงขนาดยิงยางรถตัวเอง" คนเป็นหัวหน้าตอบ
'พี่โดม เชอะ สาบานได้นะว่าเป็นชื่อที่พ่อแม่แกตั้งมาให้ตั้งแต่เกิด'
หล่อนเหลือบมองรูปร่างหน้าตาของเจ้าหัวหน้าที่บังอาจมาว่าหล่อนโง่อย่างเดียวไม่พอ ยังมาเรียกหล่อนว่าซาลาเปานึ่งอีกต่างหาก หน้าเหลี่ยม กรามหักมุม ตาเขชี้ไปคนละทิศ จมูกงุ้ม ปากกลมหนาเหมือนต้นตระกูลมาจากเงาะซาไก ฟันหน้าแหว่งหายไปอย่างน้อยสามซี่ ผมเผ้ารุงรังส่งกลิ่นคลุ้งเหมือนหนูไปแอบนอนตายอยู่ข้างในหรือไม่ก็ตายเพราะทนกลิ่นบนศีรษะมันไม่ไหว
สงสัยจริงๆ มันไม่เคยปล้นแชมพูสระผมของชาวบ้านมาใช้บ้างหรือไงนะ
"แล้วเอาไงดีพี่ จะลากรถมันไปยังไง"
"ถึงมันไม่ยิงยางแตก กูก็ไม่ลากไปให้เสียเวลาหรอก" เจ้าหัวหน้าชื่อเหมือนดาราดุลูกน้อง
"อ้าว ทำไมล่ะพี่่ ขายทีเดียว พวกเราไม่ต้องทำงานไปอีกนาน"
"ไอ้โง่ แกเบิ่งตาดูหรือเปล่ารถคันนี้เป็นยังไง ขืนหิ้วไป เจอด่านตรวจ มันคงเชื่อหรอกว่าหน้าอย่างมืงกับกูมีปัญญาเป็นเจ้าของรถคันนี้ได้ เดี๋ยวก็ได้ไปแดกข้าวฟรีในคุกอีกรอบ ไม่ต้องทำงานจริงๆ" แล้วมันก็ยืดอกผึ่งผาย พูดต่ออย่างภาคภูมิใจ "คนอย่างกูมีศักดิ์ศรี ไม่ชอบพึ่งใคร กูชอบใช้ความสารถหาเลี้ยงตัวเองโว้ย"
'มันช่างพูดได้หน้าด้านๆ' "เพิ่งออกมาหยกๆ จะหาเรื่องให้กูกลับเข้าไปใหม่ซะแล้ว เดี๋ยวพ่อจับตบกระโหลกเสียนี่" มันทำท่ายกมือยกไม้ประกอบ "ไอ้รถคันนี้ กูมองปร้าดเดียวก็ดูออก มันรุ่นลิตมีดตัด อีฮี้...สั้น" ไอ้หัวเหม็นเดาะภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ
"อะไรพี่ รุ่นฤทธิ์มีดสั้น"
"โง่จริงๆไม่น่าเป็นลูกน้องคนฉลาดๆอย่างกูเลย" สงสัยในโลกนี้ คงมีมันฉลาดอยู่คนเดียว "เขาแปลว่าของที่เขามีคันเดียวในโลกโว้ย ถอดชิ้นส่วนแยกเป็นชิ้นๆขาย เขาก็ยังดูออก"
"อ้อแหมเจ้านายของเคนฉลาดอย่างนี้เสมอ...แล้วตอนนี้จะเอายังไงต่อ" ลูกน้องหัวขี้ทื่อแต่ชื่อโคตะระเท่ถามนาย
"เออก็
ชวนกูคุยเกือบลืมไปแล้วว่าเรากำลังอยู่ระหว่างการปล้น" แล้วนายโดมหัวหน้าโจรกระจอกก็เก๊กทำหน้าเหี้ยมดึงแขนปันนากระชากเข้าไปในรถสั่งว่า "เอาของมีค่าในรถออกมาให้หมด ตุกติกตายแน่" แล้วมันก็กระแทกด้ามปืนลงบนสะโพกปันนาเสียงดังป๊าบ
ฮ่าวหมิงกัดกรามแน่น หากไม่ใช่ห่วงปันนา เจ้าโจรกระจอกสองตัวนี้ไม่ครนามือเขาแน่
ปันนากัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ สะโพกหล่อนยังไม่มีชายใดเข้ามากล้ำกลาย ถ้าจะมีก็พี่เตยเพียงคนเดียว เฮอะ นี่ถ้าตัวเธอคนเดียวไอ้หัวเหม็นไม่มีทางได้เอามือสกปรกของมันมาแตะต้องเนื้อตัวเธอแน่
"ไอ้เดชเอารถออกมาได้ ช่วยไอ้เคนมันขนของหน่อย มือมันเจ็บ" สิ้นเสียงตะโกน รถปิ้คอัพคันหนึ่งที่จอดซ่อนไว้หลังต้นไม้ใหญ่ในป่า ก็แล่นเข้ามาจอดใกล้ๆรถของเฉินฮ่าวหมิง เจ้าหนุ่มคนขับที่ดูอาวุโสน้อยสุดพร้อมรอยสักเต็มหัวไหล่สองข้าง โผล่หน้าออกมาจากที่นั่งคนขับก้มลงเก็บปืนของฮ่าวหมิงที่ตัดสินใจฝากผิดคน ก่อนจะมุดหัวเข้าไปหาของในรถ กระโปรงหลังก็ไม่มีเว้น
"โอ้โฮ กระเป๋าใครวะ เงินเป็นหมื่น" มันร้องอุทานอย่างดีใจ "ไอ้ใบเล็กนี่สงสัยจะของนังผู้หญิง แหวะ นั่งรถเสียแพงพกมาแค่ห้าสิบบาท
" เสียงมันขาก
น้ำลายกระจายเป็นฟอง "สงสัยมาหารายได้พิเศษในรถ"
ปันนาโกรธจนลมออกหู ส่วนฮ่าวหมิงทั้งที่ห่วงปันนาใจแทบขาด ยังอดขำไม่ได้
เจ้าหัวหน้าก็ฉลาดเหลือเกิน ไม่ยอมเอาปืนห่างจากหัวปันนาเลยแม้แต่นิ้วเดียว ราวกับรู้ เขารอจังหวะนี้อยู่
ในที่สุดสองคนได้แต่มองเจ้าผู้ร้ายขนของทั้งหมดที่จะเอาไปได้ ยกเว้นมือถือรุ่นสงครามโลกของปันนา เจ้าของไม่รู้ควรจะดีใจหรือเสียหน้าดี
ก่อนไป เจ้าโจรหัวหน้าเหล่ดูเฉินฮ่าวหมิงแล้วก็กระชากปันนาเข้ามาใกล้ๆหากปลายปืนยังจ่อที่ขมับของหล่อน ฮ่าวหมิงจึงไม่กล้าขยับตัวให้มันเกิดความระแวง นิ้วมันอยู่ตรงไกปืนห่างศีรษะปันนาชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด กระดิกนิดเดียว หัวทุยสวยของปันนาระเบิดเป็นจุลแน่
"เสื้อแบรนด์เนม รองเท้าก็อย่างแพง สงสัยจะมีอยู่คู่เดียวในโลก ถอดออกมาให้หมด" มันสั่ง "ช่วยไม่ได้
ใส่ของแพง" แถมสมน้ำหน้าให้อีก
เฉินฮ่าวหมิงที่ไม่เคยมีใครสั่งเขาได้ ต้องยอมถอดทั้งเสื้อนอก เสื้อเชิ้ตและรองเท้าออก ยังดีที่มันไม่เอาเสื้อกล้ามตัวในของเขาไปด้วย
"แล้วผู้หญิงล่ะพี่ผมจะเอาไปให้น้องน้อยหน่อยที่บ้านมันใส่" ลูกน้องที่ชื่อเคน จะเอาบ้าง
"ตานี่ทำไมไม่มีคลาสเอาซะเลย เอาไปทำไม๊เสียเวลาเปล่าๆ เสื้อผ้านังซาลาเปานึ่งนี่ ถ้าอยากได้ โน่นซอยละลายทรัพย์สองร้อยบาทซื้อได้เป็นโหล"
ปันนาฉุนกึก รู้สึกเหมือนถูกหักหน้าอย่างแรง ไอ้ปากไม่มีหูรูด ไอ้ตาบอดสี ใครหน้าซาลาเปานึ่ง ใครบอกว่าเสื้อผ้าฉันเป็นเสื้อโหล เสื้อแกสิ ให้ฟรียังไม่มีใครอยากได้
แล้วเจ้าหัวหน้าก็ให้ลูกน้องคนขับรถเดินหอบเสื้อผ้า รองเท้าเฉินฮ่าวหมิงขึ้นรถอย่างองอาจผ่าเผยโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกปันนาแช่งชักหักกระดูกอยู่ มันไม่ลืมพาปันนาไปด้วยแม้ในวินาทีสุดท้าย
แน่นอน จากฝีมือกลิ้งหลบและขว้างมีดของเจ้าหนุ่มหน้าหยกเมื่อกี้ มันรู้ทันทีว่ามันสามคนถึงมีปืนรวมกันก็ใช่ว่าจะได้เปรียบ แต่โชคดีที่เขาอ่านเกมออก
ไอ้หมอนี่ห่วงเมียยิ่งกว่าตัวเอง มันจึงยอมอยู่นิ่ง ไม่ลงมือต่อต้าน
ส่วนเจ้าลูกน้องที่ชื่อเคนลังเลจะตามนายไปดีหรือลอกคราบนังหน้าซาลาเปานึ่งก่อนดี มันหารู้ไม่ว่า กำลังเล่นกับเสือสิงห์ พอปืนที่จ่อหัวปันนาออกไป สองคนก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
ปันนาเป็นคนลงมือคนแรก กระโดดถีบปืนที่ชี้มาทางหล่อนกระดกขึ้นฟ้า เจ้านั่นตกใจเหนี่ยวไกปืนเสียงดังเปรี้ยงๆ ลูกกระสุนเฉียดใบหูฮ่าวหมิงไปจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนวูบผ่านไป
คู่หูเขาช่างไม่ส่งซิกแนลอะไรเลย เกือบไปแล้วไหมล่ะ ถ้ากระโดดหลบไม่ทัน หน้าผากเขาคงเป็นรูโบ๋หมดหล่อแน่
ส่วนปันนาผู้เกือบจะฆาตกรรมคู่ทุกข์คู่ยากโดยไม่รู้ตัว รีบตามซ้ำด้วยลูกเตะสูงตรงก้านคอ เจ้าวายร้ายสลบเหมือดคาที่ ปืนหลุดร่วงลงมา ฮ่าวหมิงรีบคว้าไว้ได้ทันที ก่อนจะตกไปในมือของสาวนักแม่นปืนอย่างปันนา
เจ้าหัวหน้าก็ไวเป็นปรอทสมตำแหน่งผู้นำโจร เห็นลูกน้องเสียท่า ก็รีบให้คนขับเร่งเครื่องงหนีไปทันที
"ยิงรถมันเลย อย่าให้มันหนีไปได้" ปันนาตะโกนบอกฮ่าวหมิง แต่ชายหนุ่มกลับทำเฉย หญิงสาวโกรธ ยื่นมือทำท่าจะแย่งปืนไปจากฮ่าวหมิงจะจัดการเอง เขารีบเอามือไขว้หลังไว้
ปันนาหน้าแดงจัด
"ปล่อยมันไปได้ยังไงไอ้โจรห้าร้อย มันเอากระเป๋าสตางค์ฉันไป เอาปืนมาฟาดก้นฉัน แถมยังมาเรียกฉันเป็นยายซาลาเปานึ่งอีก ฉันไม่ยอม" หล่อนกระฟัดกระเฟียด กระโดดโหยงเหยงเหมือนเด็กโดนขัดใจ ได้แต่มองตามไฟสีแดงท้ายรถที่เลี้ยวฉวัดฉเวียนหายลับไปต่อหน้าต่อตาโดยทำอะไรไม่ได้
"คุณหมอ กระะป๋าคุณมีเงินอยู่ห้าสิบ ของผมสามหมื่น รถก็โดนสาวจีเนียสบางคนยิงจนใช้การไม่ได้" เขาเน้นคำว่าจีเนียสเป็นพิเศษ ก็หล่อนไม่ยอมให้ใครว่าหล่อนโง่นี่ "แถมโดนลอกคราบอีกต่างหาก ผมยังไม่บุ่มบ่ามแก้แค้นมันเลย"
ปันนากระฟัดกระเฟียด เขาจึงปลอบว่า "ใจเย็นๆ ยังไงพวกมันต้องได้รับโทษสาสมกับที่มันบังอาจเรียกคุณหมอปันนาเป็นยายซาลาเปานึ่ง แถมยังตาไม่ถึงเห็นเสื้อราคาเป็นพันของคุณหมอเป็นเสื้อโหลอีก" เขาเน้นคุณหมอชัดถ้อยชัดคำ คำพูดของเขาคงจะดูบริสุทธิ์ใจหากใบหน้าคมจะไม่ประดับด้วยรอยยิ้มแพรวพราวเหมือนกำลังขำอะไรบางอย่าง ทั้งที่เจ้าตัวก็พยายามเก็กหน้าให้ดูมีอารมณ์ร่วมไปด้วยที่สุดแล้ว "รับรองผมจะให้คุณได้แก้แค้นมันเท่าที่คุณต้องการแน่" เขาเน้นเสียงหนักแน่นจริงจัง
"อย่ามาพูดเลย ทีเมื่อกี้ได้โอกาสกลับไม่ตามมันไป" ปันนาไม่ยอมเชื่อ
"มันมีปืนนะ ถ้าเรายิงรถมัน มันไปไม่ได้ มันก็ต้องยิงใส่เรา ใครเสียเปรียบ คิดดู มันมีที่กำบัง แต่เราอยู่ในที่โล่ง ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งโดนลูกหลงแน่ และผมไม่อยากให้เป็นคุณ" ประโยคหลัง น้ำเสียงของชายหนุ่มแสดงความห่วงใยจากใจจริง
ปันนาถอนใจ
"ตอนนี้มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะกลับบ้านยังไง ผมหนาวจะตายอยู่แล้ว" ฮ่าวหมิงเปลี่ยนเรื่องเอามือกอดอกตัวเอง
"อีกกี่โลกว่าจะถึงบ้าน"
"อืม ผมว่าน่าจะสักสามสิบกิโลนะ"
สมองปันนาคำนวณปราดๆ เคยวิ่งออกกำลังกายนับระยะทางบ่อยๆ ให้เร็วที่สุดยังไงก็ไม่ต่ำกว่าสามสี่ชั่วโมง เรียกว่าเช้า ยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลย
"งั้นลองโบกรถขอความช่วยเหลือดู" หล่อนเสนอไอเดีย
"อืม ก็ได้ ถึงจะยากแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย" ฮ่าวหมิงเห
ซีรีส์รักโรแมนติกวงการแพทย์ ชุดเสื้อกาวน์สีขาว ยุ่งนักรักคนเสื้อกาวน์ บท33 คู่หูกู้ชีพถึงเสียท่าโจร แต่ยังกู้ชีพคนจนได้
นายเป็นใคร มาสั่งเอาสั่งเอา ถ้าเชื่อง่ายๆ ฉันก็ไม่ใช่ยายกล้วยแล้ว
ในชั่วพริบตานั้น เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก เงาร่างตะคุ่มที่ปักใจเชื่อว่าเป็นคนเจ็บ พลิกตัวนอนหงาย วัตถุสีดำกำอยู่ในมือทั้งสองข้าง ปลายเล็งมาที่เฉินฮ่าวหมิง แต่ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนกลิ้งไปบนพื้น พร้อมเงาอะไรบางอย่างพุ่งออกจากมือของเขา ไวจนไม่ทันสังเกตว่าเขาดึงมันออกมาจากไหนและเมื่อไหร่ แต่แม่นยำยิ่งเพราะมันปักลงตรงใจกลางหลังมือของเจ้าผู้ร้ายจนปืนของมันร่วงหล่นลงบนพื้นพร้อมเสียงร้อง "จ๊าก" เหมือนลิงถูกเชือด
'มีดพกปลายแหลม' ปฏิกิริยาของฮ่าวหมิงก็ไวทายาด ชายหนุ่มใช้เท้าเขี่ยปืนกระดกเข้ามาในมือ เล็งไปที่เจ้าตัวร้าย
สถานการณ์พลิกกลับอย่างรวดเร็ว
หากช่วงที่ตกใจละล้าละลัง เห็นคนร้ายขยับพลิกตัว หญิงสาวกลัวฮ่าวหมิงจะหลงกล หล่อนจึงปัดปลายปืนสะเปะสะปะไปด้านข้างค่อนไปด้านหลัง แล้วเหนี่ยวไกปืน เปรี้ยงๆ ตั้งใจขู่ผู้ร้ายเท่านั้น ไม่คิดจะทำร้ายใคร
สำนึกลึกๆ บอกว่าหล่อนเป็นหมอ มีหน้าที่ช่วยชีวิตคน
ฆ่าคนเหรอ เมินเสียเถอะ
หมอปันนาจึงระวังเต็มที่ เพื่อไม่ให้ใครโดนลูกหลง ไม่ยอมยิงปืนขึ้นฟ้า เพราะเคยเห็นบ่อยๆ คนไข้นอนอยู่กับบ้านเฉยๆ มีลูกกระสุนหล่นลงมาจากสวรรค์ บางคนแค่บาดเจ็บ แต่บางคนถึงตายเลยก็มี เพราะฉะนั้นขืนยิงส่งเดชขึ้นไป ลูกกระสุนอาจหล้นตุ๊บลงมาเจาะกระโหลกหล่อนเองก็ได้ หรือคนถูกลูกหลงอาจเป็นเฉินฮ่าวหมิงเสียเอง
แต่เอ เสียงเปรี้ยงๆ จ๊ากนี่ มันก็สมเหตุสมผลดี แต่เสียงที่สามนี่มันมาจากไหนหว่า
มือปืนจำเป็นหันมาตามเสียงประหลาด แล้วหน้าหล่อนก็บิดเบี้ยวเหยเก ปากเบะเหมือนจะร้องไห้
“ไม่นะ เป็นไปไม่ได้ ทำไมเรื่องอย่างนี้ถึงเกิดขึ้นกับชั้น"' เมื่อหญิงสาวหันกลับมา หล่อนก็เห็นสายตาของฮ่าวหมิงที่มองตรงมาที่หล่อนอย่างตกตะลึง การมบดกันแน่น
แน่ล่ะ เขาต้องโกรธสิ ก็หล่อนเล่นยิงล้อรถเขาจนยางแตกแบนตะแล๊ดแต๊ดแต๋ขนาดนั้น
แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำหน้าซีเรียสซะน่ากลัวขนาดนั้นนี่นา
กว่าจะรู้ ทำไมเฉินฮ่าวหมิงถึงเครียดผิดปกติ หล่อนก็รู้สึกเย็นวาบที่ด้านหลัง
"ไม่อยากตาย ทิ้งปืนลง" เสียงเหี้ยมดุดันของใครคนหนึ่งสั่ง ก่อนเจ้าของเสียงจะโผล่มาทั้งตัว ย้ายปลายกระบอกปืนมาจี้ขมับปันนาแทน "ยกมือขึ้น" มันสั่งต่อเมื่อหล่อนทิ้งปืนลงไปเรียบร้อย พลางใช้เท้าเขี่ยปืนไปด้านหลังไกลๆ คงมีพวกมันอีก ไม่ใช่แค่สองคนแน่
จริงอย่างที่ฮ่าวหมิงว่าไว้ไม่มีผิด ถึงจะยูโดสายดำแต่เล่นจิ้มปลายปืนมาที่หัว แข้งขามือไม้ก็สั่นผับๆ จะเอาแรงที่ไหนไปทุ่มใครได้ ไม่ลมจับไปก่อนก็บุญแล้ว
"เอาปืนลง" คราวนี้ คนมาใหม่ตะโกนข้ามไปพูดกับเฉินฮ่าวหมิงโดยเฉพาะ "หรือจะให้กูระเบิดขมองเมียก่อน"
"อย่ามาพูดชุ่ยๆนะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขา" ความโกรธช่วยลดความกลัวลงไปบางส่วน ปันนาหันไปมองเจ้าผู้ร้ายตัวใหม่ด้วยสีหน้าถทึง "นายเอาฉันไปขู่เขาไม่มีประโยชน์หรอก"
"เดี๋ยวก็รู้" เดี๋ยวก็รู้ของมันมาถึงเร็วกว่าที่คิด เฉินฮ่าวหมิงทิ้งปืนลง ลุกขึ้นยืนช้าๆพร้อมกับยกมือขึ้นเหนือศีรษะเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้ทุกกรณี
ปันนาเบิ่งตาโต นึกไม่ถึง ชายหนุ่มจะยอมทิ้งอาวุธเพื่อแลกกับชีวิตของหล่อน หากคนร้ายมีแค่สองคนเท่าที่เห็น หล่อนเชื่อว่าด้วยปืนในมือ เฉินฮ่าวหมิงสามารถเอาตัวรอดเองได้ แต่เขากลับปิดประตูสู้ยอมแพ้เสียเฉยๆ
"โธ่พี่โดม" เหยื่อล่อที่ถูกเฉินฮ่าวหมิงปามีดปักใส่หลังมือพยุงตัวลุกขึ้นช้าๆอย่างทุลักทุเลโดยไม่ลืมหยิบปืนขึ้นมาด้วย ส่วนข้างที่เลือดโชก มันเอาพุงพลุ้ยๆของมันกดห้ามเลือดไว้ชั่วคราว "ปล่อยให้นังนั่นมันยิงยางรถมันเองทำไม รถแพงๆอย่างนี้ เอาไปขายคงได้เป็นล้าน"
"กูจะไปรู้เรอะว่านังหน้าซาลาเปานึ่งนี่มันจะโง่ถึงขนาดยิงยางรถตัวเอง" คนเป็นหัวหน้าตอบ
'พี่โดม เชอะ สาบานได้นะว่าเป็นชื่อที่พ่อแม่แกตั้งมาให้ตั้งแต่เกิด'
หล่อนเหลือบมองรูปร่างหน้าตาของเจ้าหัวหน้าที่บังอาจมาว่าหล่อนโง่อย่างเดียวไม่พอ ยังมาเรียกหล่อนว่าซาลาเปานึ่งอีกต่างหาก หน้าเหลี่ยม กรามหักมุม ตาเขชี้ไปคนละทิศ จมูกงุ้ม ปากกลมหนาเหมือนต้นตระกูลมาจากเงาะซาไก ฟันหน้าแหว่งหายไปอย่างน้อยสามซี่ ผมเผ้ารุงรังส่งกลิ่นคลุ้งเหมือนหนูไปแอบนอนตายอยู่ข้างในหรือไม่ก็ตายเพราะทนกลิ่นบนศีรษะมันไม่ไหว
สงสัยจริงๆ มันไม่เคยปล้นแชมพูสระผมของชาวบ้านมาใช้บ้างหรือไงนะ
"แล้วเอาไงดีพี่ จะลากรถมันไปยังไง"
"ถึงมันไม่ยิงยางแตก กูก็ไม่ลากไปให้เสียเวลาหรอก" เจ้าหัวหน้าชื่อเหมือนดาราดุลูกน้อง
"อ้าว ทำไมล่ะพี่่ ขายทีเดียว พวกเราไม่ต้องทำงานไปอีกนาน"
"ไอ้โง่ แกเบิ่งตาดูหรือเปล่ารถคันนี้เป็นยังไง ขืนหิ้วไป เจอด่านตรวจ มันคงเชื่อหรอกว่าหน้าอย่างมืงกับกูมีปัญญาเป็นเจ้าของรถคันนี้ได้ เดี๋ยวก็ได้ไปแดกข้าวฟรีในคุกอีกรอบ ไม่ต้องทำงานจริงๆ" แล้วมันก็ยืดอกผึ่งผาย พูดต่ออย่างภาคภูมิใจ "คนอย่างกูมีศักดิ์ศรี ไม่ชอบพึ่งใคร กูชอบใช้ความสารถหาเลี้ยงตัวเองโว้ย"
'มันช่างพูดได้หน้าด้านๆ' "เพิ่งออกมาหยกๆ จะหาเรื่องให้กูกลับเข้าไปใหม่ซะแล้ว เดี๋ยวพ่อจับตบกระโหลกเสียนี่" มันทำท่ายกมือยกไม้ประกอบ "ไอ้รถคันนี้ กูมองปร้าดเดียวก็ดูออก มันรุ่นลิตมีดตัด อีฮี้...สั้น" ไอ้หัวเหม็นเดาะภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ
"อะไรพี่ รุ่นฤทธิ์มีดสั้น"
"โง่จริงๆไม่น่าเป็นลูกน้องคนฉลาดๆอย่างกูเลย" สงสัยในโลกนี้ คงมีมันฉลาดอยู่คนเดียว "เขาแปลว่าของที่เขามีคันเดียวในโลกโว้ย ถอดชิ้นส่วนแยกเป็นชิ้นๆขาย เขาก็ยังดูออก"
"อ้อแหมเจ้านายของเคนฉลาดอย่างนี้เสมอ...แล้วตอนนี้จะเอายังไงต่อ" ลูกน้องหัวขี้ทื่อแต่ชื่อโคตะระเท่ถามนาย
"เออก็ชวนกูคุยเกือบลืมไปแล้วว่าเรากำลังอยู่ระหว่างการปล้น" แล้วนายโดมหัวหน้าโจรกระจอกก็เก๊กทำหน้าเหี้ยมดึงแขนปันนากระชากเข้าไปในรถสั่งว่า "เอาของมีค่าในรถออกมาให้หมด ตุกติกตายแน่" แล้วมันก็กระแทกด้ามปืนลงบนสะโพกปันนาเสียงดังป๊าบ
ฮ่าวหมิงกัดกรามแน่น หากไม่ใช่ห่วงปันนา เจ้าโจรกระจอกสองตัวนี้ไม่ครนามือเขาแน่
ปันนากัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ สะโพกหล่อนยังไม่มีชายใดเข้ามากล้ำกลาย ถ้าจะมีก็พี่เตยเพียงคนเดียว เฮอะ นี่ถ้าตัวเธอคนเดียวไอ้หัวเหม็นไม่มีทางได้เอามือสกปรกของมันมาแตะต้องเนื้อตัวเธอแน่
"ไอ้เดชเอารถออกมาได้ ช่วยไอ้เคนมันขนของหน่อย มือมันเจ็บ" สิ้นเสียงตะโกน รถปิ้คอัพคันหนึ่งที่จอดซ่อนไว้หลังต้นไม้ใหญ่ในป่า ก็แล่นเข้ามาจอดใกล้ๆรถของเฉินฮ่าวหมิง เจ้าหนุ่มคนขับที่ดูอาวุโสน้อยสุดพร้อมรอยสักเต็มหัวไหล่สองข้าง โผล่หน้าออกมาจากที่นั่งคนขับก้มลงเก็บปืนของฮ่าวหมิงที่ตัดสินใจฝากผิดคน ก่อนจะมุดหัวเข้าไปหาของในรถ กระโปรงหลังก็ไม่มีเว้น
"โอ้โฮ กระเป๋าใครวะ เงินเป็นหมื่น" มันร้องอุทานอย่างดีใจ "ไอ้ใบเล็กนี่สงสัยจะของนังผู้หญิง แหวะ นั่งรถเสียแพงพกมาแค่ห้าสิบบาท " เสียงมันขากน้ำลายกระจายเป็นฟอง "สงสัยมาหารายได้พิเศษในรถ"
ปันนาโกรธจนลมออกหู ส่วนฮ่าวหมิงทั้งที่ห่วงปันนาใจแทบขาด ยังอดขำไม่ได้
เจ้าหัวหน้าก็ฉลาดเหลือเกิน ไม่ยอมเอาปืนห่างจากหัวปันนาเลยแม้แต่นิ้วเดียว ราวกับรู้ เขารอจังหวะนี้อยู่
ในที่สุดสองคนได้แต่มองเจ้าผู้ร้ายขนของทั้งหมดที่จะเอาไปได้ ยกเว้นมือถือรุ่นสงครามโลกของปันนา เจ้าของไม่รู้ควรจะดีใจหรือเสียหน้าดี
ก่อนไป เจ้าโจรหัวหน้าเหล่ดูเฉินฮ่าวหมิงแล้วก็กระชากปันนาเข้ามาใกล้ๆหากปลายปืนยังจ่อที่ขมับของหล่อน ฮ่าวหมิงจึงไม่กล้าขยับตัวให้มันเกิดความระแวง นิ้วมันอยู่ตรงไกปืนห่างศีรษะปันนาชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด กระดิกนิดเดียว หัวทุยสวยของปันนาระเบิดเป็นจุลแน่
"เสื้อแบรนด์เนม รองเท้าก็อย่างแพง สงสัยจะมีอยู่คู่เดียวในโลก ถอดออกมาให้หมด" มันสั่ง "ช่วยไม่ได้ใส่ของแพง" แถมสมน้ำหน้าให้อีก
เฉินฮ่าวหมิงที่ไม่เคยมีใครสั่งเขาได้ ต้องยอมถอดทั้งเสื้อนอก เสื้อเชิ้ตและรองเท้าออก ยังดีที่มันไม่เอาเสื้อกล้ามตัวในของเขาไปด้วย
"แล้วผู้หญิงล่ะพี่ผมจะเอาไปให้น้องน้อยหน่อยที่บ้านมันใส่" ลูกน้องที่ชื่อเคน จะเอาบ้าง
"ตานี่ทำไมไม่มีคลาสเอาซะเลย เอาไปทำไม๊เสียเวลาเปล่าๆ เสื้อผ้านังซาลาเปานึ่งนี่ ถ้าอยากได้ โน่นซอยละลายทรัพย์สองร้อยบาทซื้อได้เป็นโหล"
ปันนาฉุนกึก รู้สึกเหมือนถูกหักหน้าอย่างแรง ไอ้ปากไม่มีหูรูด ไอ้ตาบอดสี ใครหน้าซาลาเปานึ่ง ใครบอกว่าเสื้อผ้าฉันเป็นเสื้อโหล เสื้อแกสิ ให้ฟรียังไม่มีใครอยากได้
แล้วเจ้าหัวหน้าก็ให้ลูกน้องคนขับรถเดินหอบเสื้อผ้า รองเท้าเฉินฮ่าวหมิงขึ้นรถอย่างองอาจผ่าเผยโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกปันนาแช่งชักหักกระดูกอยู่ มันไม่ลืมพาปันนาไปด้วยแม้ในวินาทีสุดท้าย
แน่นอน จากฝีมือกลิ้งหลบและขว้างมีดของเจ้าหนุ่มหน้าหยกเมื่อกี้ มันรู้ทันทีว่ามันสามคนถึงมีปืนรวมกันก็ใช่ว่าจะได้เปรียบ แต่โชคดีที่เขาอ่านเกมออก
ไอ้หมอนี่ห่วงเมียยิ่งกว่าตัวเอง มันจึงยอมอยู่นิ่ง ไม่ลงมือต่อต้าน
ส่วนเจ้าลูกน้องที่ชื่อเคนลังเลจะตามนายไปดีหรือลอกคราบนังหน้าซาลาเปานึ่งก่อนดี มันหารู้ไม่ว่า กำลังเล่นกับเสือสิงห์ พอปืนที่จ่อหัวปันนาออกไป สองคนก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
ปันนาเป็นคนลงมือคนแรก กระโดดถีบปืนที่ชี้มาทางหล่อนกระดกขึ้นฟ้า เจ้านั่นตกใจเหนี่ยวไกปืนเสียงดังเปรี้ยงๆ ลูกกระสุนเฉียดใบหูฮ่าวหมิงไปจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนวูบผ่านไป
คู่หูเขาช่างไม่ส่งซิกแนลอะไรเลย เกือบไปแล้วไหมล่ะ ถ้ากระโดดหลบไม่ทัน หน้าผากเขาคงเป็นรูโบ๋หมดหล่อแน่
ส่วนปันนาผู้เกือบจะฆาตกรรมคู่ทุกข์คู่ยากโดยไม่รู้ตัว รีบตามซ้ำด้วยลูกเตะสูงตรงก้านคอ เจ้าวายร้ายสลบเหมือดคาที่ ปืนหลุดร่วงลงมา ฮ่าวหมิงรีบคว้าไว้ได้ทันที ก่อนจะตกไปในมือของสาวนักแม่นปืนอย่างปันนา
เจ้าหัวหน้าก็ไวเป็นปรอทสมตำแหน่งผู้นำโจร เห็นลูกน้องเสียท่า ก็รีบให้คนขับเร่งเครื่องงหนีไปทันที
"ยิงรถมันเลย อย่าให้มันหนีไปได้" ปันนาตะโกนบอกฮ่าวหมิง แต่ชายหนุ่มกลับทำเฉย หญิงสาวโกรธ ยื่นมือทำท่าจะแย่งปืนไปจากฮ่าวหมิงจะจัดการเอง เขารีบเอามือไขว้หลังไว้
ปันนาหน้าแดงจัด
"ปล่อยมันไปได้ยังไงไอ้โจรห้าร้อย มันเอากระเป๋าสตางค์ฉันไป เอาปืนมาฟาดก้นฉัน แถมยังมาเรียกฉันเป็นยายซาลาเปานึ่งอีก ฉันไม่ยอม" หล่อนกระฟัดกระเฟียด กระโดดโหยงเหยงเหมือนเด็กโดนขัดใจ ได้แต่มองตามไฟสีแดงท้ายรถที่เลี้ยวฉวัดฉเวียนหายลับไปต่อหน้าต่อตาโดยทำอะไรไม่ได้
"คุณหมอ กระะป๋าคุณมีเงินอยู่ห้าสิบ ของผมสามหมื่น รถก็โดนสาวจีเนียสบางคนยิงจนใช้การไม่ได้" เขาเน้นคำว่าจีเนียสเป็นพิเศษ ก็หล่อนไม่ยอมให้ใครว่าหล่อนโง่นี่ "แถมโดนลอกคราบอีกต่างหาก ผมยังไม่บุ่มบ่ามแก้แค้นมันเลย"
ปันนากระฟัดกระเฟียด เขาจึงปลอบว่า "ใจเย็นๆ ยังไงพวกมันต้องได้รับโทษสาสมกับที่มันบังอาจเรียกคุณหมอปันนาเป็นยายซาลาเปานึ่ง แถมยังตาไม่ถึงเห็นเสื้อราคาเป็นพันของคุณหมอเป็นเสื้อโหลอีก" เขาเน้นคุณหมอชัดถ้อยชัดคำ คำพูดของเขาคงจะดูบริสุทธิ์ใจหากใบหน้าคมจะไม่ประดับด้วยรอยยิ้มแพรวพราวเหมือนกำลังขำอะไรบางอย่าง ทั้งที่เจ้าตัวก็พยายามเก็กหน้าให้ดูมีอารมณ์ร่วมไปด้วยที่สุดแล้ว "รับรองผมจะให้คุณได้แก้แค้นมันเท่าที่คุณต้องการแน่" เขาเน้นเสียงหนักแน่นจริงจัง
"อย่ามาพูดเลย ทีเมื่อกี้ได้โอกาสกลับไม่ตามมันไป" ปันนาไม่ยอมเชื่อ
"มันมีปืนนะ ถ้าเรายิงรถมัน มันไปไม่ได้ มันก็ต้องยิงใส่เรา ใครเสียเปรียบ คิดดู มันมีที่กำบัง แต่เราอยู่ในที่โล่ง ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งโดนลูกหลงแน่ และผมไม่อยากให้เป็นคุณ" ประโยคหลัง น้ำเสียงของชายหนุ่มแสดงความห่วงใยจากใจจริง
ปันนาถอนใจ
"ตอนนี้มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะกลับบ้านยังไง ผมหนาวจะตายอยู่แล้ว" ฮ่าวหมิงเปลี่ยนเรื่องเอามือกอดอกตัวเอง
"อีกกี่โลกว่าจะถึงบ้าน"
"อืม ผมว่าน่าจะสักสามสิบกิโลนะ"
สมองปันนาคำนวณปราดๆ เคยวิ่งออกกำลังกายนับระยะทางบ่อยๆ ให้เร็วที่สุดยังไงก็ไม่ต่ำกว่าสามสี่ชั่วโมง เรียกว่าเช้า ยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลย
"งั้นลองโบกรถขอความช่วยเหลือดู" หล่อนเสนอไอเดีย
"อืม ก็ได้ ถึงจะยากแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย" ฮ่าวหมิงเห