สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นสาธารณะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ปรากฏอยู่ในกระแสข่าวที่สังคมให้ความสนใจอยู่หลายกรณี
1) ปฏิญญาฟินแลนด์
วันที่ 12 มี.ค. 2556 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้อง คดีที่ทักษิณฟ้องร้องนายสนธิ
ลิ้มทองกุล ผม (นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง)นายชัยอนันต์ สมุทวณิช นายปราโมทย์ นาครทรรพ
และคนทำสื่อในเครือผู้จัดการอีกหลายคน กรณีจัดเสวนาเรื่อง
“ปฏิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย”
ถ่ายทอดสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV
ฝ่ายทักษิณได้อ้างต่อศาลว่า ในการเสวนานั้นมีการกล่าวหาว่า
ทักษิณวางแผนยุทธศาสตร์ 5 ขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ
การเป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลและมีผู้นำคนเดียว,
การเปลี่ยนแปลงระบบราชการเป็นแบบซีอีโอ, การแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการ,
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน
และการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ เป็นการหมิ่นประมาท
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องไปก่อนหน้านี้ ต่อมาฝ่ายทักษิณได้ยื่นอุทธรณ์
สุดท้าย ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การเสวนาดังกล่าวไม่ได้มุ่งให้ความ
สำคัญหรือยืนยันว่าข้อตกลงปฏิญญาฟินแลนด์มีจริงหรือไม่ แต่ได้เน้นวิพากษ์
วิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายโจทก์ในฐานะที่มีอำนาจในการ
บริหารประเทศ ถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปจะแสดงความคิดเห็น
โดยสุจริตหรือวิพากษ์วิจารณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะมีผลกระทบต่อ
ประชาชนและประเทศได้ ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท พิพากษายกฟ้อง
ประเด็นที่น่าสนใจในกรณี “ปฏิญญาฟินแลนด์ : ยุทธศาสตร์ครองเมืองของ
ไทยรักไทย” คือ ไม่ได้มีการยืนยันว่าปฏิญญาฟินแลนด์มีจริงหรือไม่
แต่พฤติกรรมการบริหารราชการ การกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทักษิณ ชินวัตร
เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศต่างหากที่เป็นสาระสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
การเป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลและมีผู้นำคนเดียว,
การเปลี่ยนแปลงระบบราชการเป็นแบบซีอีโอ, การแทรกแซงการโยกย้าย
ข้าราชการ, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน
และการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์
ทั้งหมดน่าสงสัยว่าเกิดขึ้นจริงๆ ใช่หรือไม่การวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรม
ในประเด็นต่างๆ ด้วยเจตนาปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ จึงสามารถทำได้
ยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์หรือพฤติการณ์ของผู้บริหารประเทศในขณะนั้นที่เพิ่ม
ความคลางแคลงสงสัย เช่น การประกอบพิธีกรรมทำบุญประเทศ ในวัดพระแก้ว
โดยทักษิณ ชินวัตร สะท้อนเจตนาตีเสมอพระมหากษัตริย์หรือไม่? การใช้อำนาจ
รัฐบาลเปลี่ยน“ข้าราชการ” เป็นเจ้าหน้าที่พนักงานของรัฐ ประกอบกับพฤติกรรมคำพูด
ท่าที การแสดงออกที่มิบังควรหลายกรรมหลายวาระของทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ
นายกรัฐมนตรี ยิ่งสมควรจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์
2) ล็อบบี้ยิสต์ปิดล้อมสถาบันกษัตริย์ไทยโดยส่วนตัว ผมได้ทราบข่าวมาระยะหนึ่งแล้วว่า
มีขบวนการว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ในต่างประเทศ เดินเกม สร้างข่าว สร้าง
กระแส จงใจที่จะโจมตีบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย
ล่าสุด ได้พบข้อเขียนของอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ “ภุมรัตน์
ทักษาดิพงษ์” หัวข้อ “ประชาชนคือป้อมปราการ” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
วันที่ 14 มีนาคม 2556 นำเสนอข้อมูลสำคัญและมุมมองที่น่าสนใจอย่างยิ่งขออนุญาต
คัดมาแสดงไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้“นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลาย
สถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติ เปิดเผย ไม่เกรงกลัว กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่
เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ
โดยเฉพาะในสหรัฐ ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริงแต่เป็นความเท็จ
ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงและ
บริษัทประชาสัมพันธ์ ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ
ต่อปี(ประมาณ 30.3 ล้านบาท) เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลอเมริกัน
เพื่อผลทางการเมืองของตน อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ
เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐทวีความเข้มแข็งมากขึ้น
มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ
ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่งคือ เจ.เค.
แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations)
อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์
และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว อีกคนหนึ่งคือ
เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้
และเป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ
“อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย
ในความเป็นจริง คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย
แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี
ในกลางปี 2556 นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปราย
เชิงวิชาการในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา
(Association of Asian Studies) ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่
การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ
รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่งโดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ
ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผินๆ
แล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน
เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2554 ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นักล็อบบี้อเมริกันได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นจนทำให้สมาชิกสภาหลงเชื่อได้
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยงไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา
จนสภาสูงต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน สะท้อนให้เห็นว่า
นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับนายจ้างอย่างได้ผล
ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิดและต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่
113 ในปัจจุบันไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย
(National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐคิดเป็นเงินไทยกว่า
1,500 ล้านบาท และอีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาทให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์
ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมาโดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิปไตย
แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด
นักล็อบบี้เหล่านี้ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่งหรือหลายชุดและไปเคลื่อนไหวชักจูง
ชี้นำ โน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทกรรมที่ว่า
สถาบันสูงสุดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
สถาบันทำลายสิทธิมนุษยชนอ้างว่าปัญหาของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องการเมือง
แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ
พวกนี้พยายามป้อนข้อมูลให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว”
เพราะถ้าสถาบันไม่สู้
สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่นนอกจากจะยืนข้างฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสถาบัน
และเป็นการส่งสัญญาณไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ
ญี่ปุ่น รวมทั้งจีนที่สนับสนุนสถาบันสูงสุดตลอดมา หากสหรัฐและประเทศเหล่านี้สรุปว่า
ฝ่ายสถาบันแพ้แน่ สหรัฐและประเทศเหล่านี้ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศ
เขาเป็นสำคัญก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะอย่างไรก็ดี ฝ่ายสถาบันส่งสัญญาณมาหลายครั้ง
แล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555
ที่ประชาชนชาวไทยไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดินเพื่อเข้าเฝ้าฯถวายพระพร
สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แต่ปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร
ศาล และรัฐบาล จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ
ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้
รัฐบาลชุดก่อนเคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน
เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอนส์ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา”
และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ปรากฏว่า
ศูนย์เหล่านี้กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด
และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป
ไทยถูกคุกคามด้วยสงครามยุคใหม่ ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น
การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และสถานการณ์ความรุนแรงใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และสงครามไซเบอร์ สงคราม
ทั้งสามนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ในไทย
สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Global Transpark
ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐในภูมิภาคนี้ มีข่าวว่าสหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง
ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุด
มาประจำอยู่ในไทย โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ
เบี้ยเลี้ยงต่างหาก เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action)
ตามนโยบายของสหรัฐอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก
และประสบความสำเร็จในลาตินอเมริกามาแล้ว
อันตรายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเรื่องจริงและหนักหนา
ชาติและสถาบันกำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง
สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง”
ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ
บทความนี้ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐ
เพียงแต่ขอให้เพื่อนอย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น
ปัญหาของประเทศไทยต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก
เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์
ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า สถาบันสูงสุดยังสู้
และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ”
ยังมีต่อ .....
ไทยพีบีเอสตอบโจทย์ใคร? ...... ขอคิดด้วยฅน....เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ... แนวหน้าออนไลน์
ปรากฏอยู่ในกระแสข่าวที่สังคมให้ความสนใจอยู่หลายกรณี
1) ปฏิญญาฟินแลนด์
วันที่ 12 มี.ค. 2556 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้อง คดีที่ทักษิณฟ้องร้องนายสนธิ
ลิ้มทองกุล ผม (นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง)นายชัยอนันต์ สมุทวณิช นายปราโมทย์ นาครทรรพ
และคนทำสื่อในเครือผู้จัดการอีกหลายคน กรณีจัดเสวนาเรื่อง
“ปฏิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย”
ถ่ายทอดสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV
ฝ่ายทักษิณได้อ้างต่อศาลว่า ในการเสวนานั้นมีการกล่าวหาว่า
ทักษิณวางแผนยุทธศาสตร์ 5 ขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ
การเป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลและมีผู้นำคนเดียว,
การเปลี่ยนแปลงระบบราชการเป็นแบบซีอีโอ, การแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการ,
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน
และการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ เป็นการหมิ่นประมาท
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องไปก่อนหน้านี้ ต่อมาฝ่ายทักษิณได้ยื่นอุทธรณ์
สุดท้าย ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การเสวนาดังกล่าวไม่ได้มุ่งให้ความ
สำคัญหรือยืนยันว่าข้อตกลงปฏิญญาฟินแลนด์มีจริงหรือไม่ แต่ได้เน้นวิพากษ์
วิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายโจทก์ในฐานะที่มีอำนาจในการ
บริหารประเทศ ถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปจะแสดงความคิดเห็น
โดยสุจริตหรือวิพากษ์วิจารณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะมีผลกระทบต่อ
ประชาชนและประเทศได้ ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท พิพากษายกฟ้อง
ประเด็นที่น่าสนใจในกรณี “ปฏิญญาฟินแลนด์ : ยุทธศาสตร์ครองเมืองของ
ไทยรักไทย” คือ ไม่ได้มีการยืนยันว่าปฏิญญาฟินแลนด์มีจริงหรือไม่
แต่พฤติกรรมการบริหารราชการ การกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทักษิณ ชินวัตร
เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศต่างหากที่เป็นสาระสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
การเป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลและมีผู้นำคนเดียว,
การเปลี่ยนแปลงระบบราชการเป็นแบบซีอีโอ, การแทรกแซงการโยกย้าย
ข้าราชการ, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน
และการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์
ทั้งหมดน่าสงสัยว่าเกิดขึ้นจริงๆ ใช่หรือไม่การวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรม
ในประเด็นต่างๆ ด้วยเจตนาปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ จึงสามารถทำได้
ยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์หรือพฤติการณ์ของผู้บริหารประเทศในขณะนั้นที่เพิ่ม
ความคลางแคลงสงสัย เช่น การประกอบพิธีกรรมทำบุญประเทศ ในวัดพระแก้ว
โดยทักษิณ ชินวัตร สะท้อนเจตนาตีเสมอพระมหากษัตริย์หรือไม่? การใช้อำนาจ
รัฐบาลเปลี่ยน“ข้าราชการ” เป็นเจ้าหน้าที่พนักงานของรัฐ ประกอบกับพฤติกรรมคำพูด
ท่าที การแสดงออกที่มิบังควรหลายกรรมหลายวาระของทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ
นายกรัฐมนตรี ยิ่งสมควรจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์
2) ล็อบบี้ยิสต์ปิดล้อมสถาบันกษัตริย์ไทยโดยส่วนตัว ผมได้ทราบข่าวมาระยะหนึ่งแล้วว่า
มีขบวนการว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ในต่างประเทศ เดินเกม สร้างข่าว สร้าง
กระแส จงใจที่จะโจมตีบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย
ล่าสุด ได้พบข้อเขียนของอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ “ภุมรัตน์
ทักษาดิพงษ์” หัวข้อ “ประชาชนคือป้อมปราการ” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
วันที่ 14 มีนาคม 2556 นำเสนอข้อมูลสำคัญและมุมมองที่น่าสนใจอย่างยิ่งขออนุญาต
คัดมาแสดงไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้“นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลาย
สถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติ เปิดเผย ไม่เกรงกลัว กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่
เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ
โดยเฉพาะในสหรัฐ ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริงแต่เป็นความเท็จ
ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงและ
บริษัทประชาสัมพันธ์ ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ
ต่อปี(ประมาณ 30.3 ล้านบาท) เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลอเมริกัน
เพื่อผลทางการเมืองของตน อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ
เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐทวีความเข้มแข็งมากขึ้น
มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ
ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่งคือ เจ.เค.
แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations)
อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์
และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว อีกคนหนึ่งคือ
เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้
และเป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ
“อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย
ในความเป็นจริง คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย
แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี
ในกลางปี 2556 นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปราย
เชิงวิชาการในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา
(Association of Asian Studies) ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่
การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ
รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่งโดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ
ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผินๆ
แล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน
เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2554 ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นักล็อบบี้อเมริกันได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นจนทำให้สมาชิกสภาหลงเชื่อได้
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยงไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา
จนสภาสูงต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน สะท้อนให้เห็นว่า
นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับนายจ้างอย่างได้ผล
ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิดและต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่
113 ในปัจจุบันไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย
(National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐคิดเป็นเงินไทยกว่า
1,500 ล้านบาท และอีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาทให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์
ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมาโดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิปไตย
แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด
นักล็อบบี้เหล่านี้ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่งหรือหลายชุดและไปเคลื่อนไหวชักจูง
ชี้นำ โน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทกรรมที่ว่า
สถาบันสูงสุดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
สถาบันทำลายสิทธิมนุษยชนอ้างว่าปัญหาของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องการเมือง
แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ
พวกนี้พยายามป้อนข้อมูลให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว”
เพราะถ้าสถาบันไม่สู้
สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่นนอกจากจะยืนข้างฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสถาบัน
และเป็นการส่งสัญญาณไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ
ญี่ปุ่น รวมทั้งจีนที่สนับสนุนสถาบันสูงสุดตลอดมา หากสหรัฐและประเทศเหล่านี้สรุปว่า
ฝ่ายสถาบันแพ้แน่ สหรัฐและประเทศเหล่านี้ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศ
เขาเป็นสำคัญก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะอย่างไรก็ดี ฝ่ายสถาบันส่งสัญญาณมาหลายครั้ง
แล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555
ที่ประชาชนชาวไทยไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดินเพื่อเข้าเฝ้าฯถวายพระพร
สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แต่ปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร
ศาล และรัฐบาล จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ
ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้
รัฐบาลชุดก่อนเคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน
เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอนส์ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา”
และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ปรากฏว่า
ศูนย์เหล่านี้กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด
และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป
ไทยถูกคุกคามด้วยสงครามยุคใหม่ ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น
การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และสถานการณ์ความรุนแรงใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และสงครามไซเบอร์ สงคราม
ทั้งสามนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ในไทย
สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Global Transpark
ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐในภูมิภาคนี้ มีข่าวว่าสหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง
ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุด
มาประจำอยู่ในไทย โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ
เบี้ยเลี้ยงต่างหาก เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action)
ตามนโยบายของสหรัฐอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก
และประสบความสำเร็จในลาตินอเมริกามาแล้ว
อันตรายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเรื่องจริงและหนักหนา
ชาติและสถาบันกำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง
สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง”
ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ
บทความนี้ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐ
เพียงแต่ขอให้เพื่อนอย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น
ปัญหาของประเทศไทยต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก
เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์
ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า สถาบันสูงสุดยังสู้
และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ”
ยังมีต่อ .....