.
เรื่องของ ความว่าง นี้เป็นเรื่องตัวแท้ตัว
จริงของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้ตรัส
กับธัมมทินอุบาสกถึงเรื่องนี้ ด้วยมีหัวข้อเป็น
ใจความสำคัญ ๆ ว่า เย เต สุตตันตา มีคำแสดง
เนื้อความจำกัดต่อไปว่า ตถาคตภาสิตา - อัน
เป็นคำที่ตถาคต กล่าวแล้ว คัมภีรา คัมภีรตถา
- ลึกซึ้ง คัมภีรภาพ มีเนื้อความอันลึกซื้ง
โลกุตตรา - อยู่เหนือโลก สุญญตปฏิสังยุต
ตา - ประกอบเฉพาะแล้วด้วย สุญญตา คือ ความ
ว่าง คือ เต กาเลน กาลัง อุปสัมปัชช วิหริสสาม -
เราจักเข้าถึงธรรมนั้นตลอดกาล โดยกาล
แล้วเป็นอยู่ นี้หมายความว่า ธรรมที่แท้จริง ซึ่ง
กล่าวถึงความว่างนั้นแหล่ะ ทุกคนจะต้องเข้าถึง
ให้ได้ตลอดกาล โดยกาล
ว่าโดยกาลก็คือ กาลอันสมควรแก่เวลา
ตลอดกาล ก็คือ กาลเวลาที่เราจะสามารถอยู่ใน
ความว่างได้มากเท่าไร แต่ข้อที่สำคัญที่สุดนั้น
คือคำว่า ตถาคตภาสิตา ซึ่งแปลว่าเป็นคำที่ ตถา
คตกล่าว ไม่ใช่เรื่องที่พระสาวกชั้นหลัง ๆ กล่าว
ข้อนี้จึงทราบว่า พระธรรมในพระพุทธศาสนานั้น
มีอยู่ ๒ ประเภทด้วยกัน ประเภทหนึ่งเป็นพระ
พุทธภาษิตแท้ คือ พระพุทธองค์ได้ตรัสด้วยพระ
องค์เอง เป็นของจริง ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นเป็น
คำที่สาวกในชั้นหลังกล่าว
ทั้งสองอย่างนี้ต่างกันตรงที่ว่า คำที่พระ
พุทธองค์ตรัสเองนั้น เนื่องเฉพาะด้วยสุญญตา
คือว่า ทรงแสดงถึงเรื่องความว่างโดยตรงเท่านั้น
เอง จึงได้มีความลึกซึ้ง มีอรรถลึกซึ้ง และอยู่
เหนือโลก ส่วนคนในชั้นหลัง ( ไม่ทราบจำนวน )
ไม่กล่าวเรื่องนี้ ไปกล่าวประดิดประดอยให้เป็น
ความไพเราะ ถูกใจผู้ฟัง ประจบผู้ฟัง ชักชวนทำ
อย่างนั้น ชักชวนทำอย่างนี้ แสดงให้เห็นความ
สวยสดงดงาม ให้วุ่นวายไปหมด ไม่ชักชวนใน
เรื่องของสุญญตา คือความว่างเลย จงคิดดู
เถิดว่า มันจะต่าง กันอย่างไร...
( จาก หนังสือ ไม่วุ่น จะ ว่าง )
( ของท่าน พระพุทธทาส ภิกขุ )
The Matrix Really . Pt 5 . เรื่องนี้เป็นตัวแท้ตัวจริง คือ ธรรมที่แท้จริง
เรื่องของ ความว่าง นี้เป็นเรื่องตัวแท้ตัว
จริงของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้ตรัส
กับธัมมทินอุบาสกถึงเรื่องนี้ ด้วยมีหัวข้อเป็น
ใจความสำคัญ ๆ ว่า เย เต สุตตันตา มีคำแสดง
เนื้อความจำกัดต่อไปว่า ตถาคตภาสิตา - อัน
เป็นคำที่ตถาคต กล่าวแล้ว คัมภีรา คัมภีรตถา
- ลึกซึ้ง คัมภีรภาพ มีเนื้อความอันลึกซื้ง
โลกุตตรา - อยู่เหนือโลก สุญญตปฏิสังยุต
ตา - ประกอบเฉพาะแล้วด้วย สุญญตา คือ ความ
ว่าง คือ เต กาเลน กาลัง อุปสัมปัชช วิหริสสาม -
เราจักเข้าถึงธรรมนั้นตลอดกาล โดยกาล
แล้วเป็นอยู่ นี้หมายความว่า ธรรมที่แท้จริง ซึ่ง
กล่าวถึงความว่างนั้นแหล่ะ ทุกคนจะต้องเข้าถึง
ให้ได้ตลอดกาล โดยกาล
ว่าโดยกาลก็คือ กาลอันสมควรแก่เวลา
ตลอดกาล ก็คือ กาลเวลาที่เราจะสามารถอยู่ใน
ความว่างได้มากเท่าไร แต่ข้อที่สำคัญที่สุดนั้น
คือคำว่า ตถาคตภาสิตา ซึ่งแปลว่าเป็นคำที่ ตถา
คตกล่าว ไม่ใช่เรื่องที่พระสาวกชั้นหลัง ๆ กล่าว
ข้อนี้จึงทราบว่า พระธรรมในพระพุทธศาสนานั้น
มีอยู่ ๒ ประเภทด้วยกัน ประเภทหนึ่งเป็นพระ
พุทธภาษิตแท้ คือ พระพุทธองค์ได้ตรัสด้วยพระ
องค์เอง เป็นของจริง ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นเป็น
คำที่สาวกในชั้นหลังกล่าว
ทั้งสองอย่างนี้ต่างกันตรงที่ว่า คำที่พระ
พุทธองค์ตรัสเองนั้น เนื่องเฉพาะด้วยสุญญตา
คือว่า ทรงแสดงถึงเรื่องความว่างโดยตรงเท่านั้น
เอง จึงได้มีความลึกซึ้ง มีอรรถลึกซึ้ง และอยู่
เหนือโลก ส่วนคนในชั้นหลัง ( ไม่ทราบจำนวน )
ไม่กล่าวเรื่องนี้ ไปกล่าวประดิดประดอยให้เป็น
ความไพเราะ ถูกใจผู้ฟัง ประจบผู้ฟัง ชักชวนทำ
อย่างนั้น ชักชวนทำอย่างนี้ แสดงให้เห็นความ
สวยสดงดงาม ให้วุ่นวายไปหมด ไม่ชักชวนใน
เรื่องของสุญญตา คือความว่างเลย จงคิดดู
เถิดว่า มันจะต่าง กันอย่างไร...
( จาก หนังสือ ไม่วุ่น จะ ว่าง )
( ของท่าน พระพุทธทาส ภิกขุ )