รีวิวริมทาง@อินเดีย ภาค 5 พาไปปุเลง ๆ ลุยหิมะที่สิกขิมกันค่า ตามมานะ

ภาค 1 พาเที่ยวตลาดโลนาฟลา และ อาหารเพื่อสุขภาพในโรงเรียน

http://ppantip.com/topic/30250030

ภาค 2 พาเที่ยวตลาดกินอาหาร street food ร้านเบเกอรี่ และขนมกรุบกริบของอินเดีย

http://ppantip.com/topic/30252772

ภาค 3 จากอาหารข้างทาง พาไปชิมอาหารในโรงแรม และ ร้านอาหารยอดฮิตในโลนาฟลา

http://ppantip.com/topic/30256578

ภาค 4 มาต่อหารบุฟเฟ่ในโรงแรม, อาหารจีน, ร้านกาแฟเก๋ ๆ และ ร้านอาหารอิตาเลียนสุดหรูในปูเน่

http://ppantip.com/topic/30259728

ภาค 6 เที่ยวต่อที่สิกขิม 1 day trip ขี่แย็คท่ามกลางหิมะที่ทะเลสาป Tsamgo
http://ppantip.com/topic/30280818

หลังจากเรียนจบคอร์สที่โลนาฟล่า เราก็ไปเที่ยวต่อค่ะไปสิกขิม รวมหมด 8 วัน มีเพื่อนสาวบินตามมาเจอกันที่กัลกัตตาไปเที่ยวกันสองคนแบบเอ๋อ ๆ เพราะตัดสินใจว่าจะไปสิกขิมตอนก่อนบินไปมุมไบไม่กี่วัน แล้วก็อยากจะรีบจองตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อย ก็เลยจองแต่ตั๋วเครื่องบินในประเทศ และ ตั๋วกลับเมืองไทยเอาไว้ พร้อมกับวางแผนคร่าว ๆ แค่ว่าเราจะอยู่กังต๊อกเที่ยวลุยหิมะซักสี่วัน ไปต่อดาร์จีลิงอีกซัก 3 วันโดยประมาณ หลังจากนั้นต่างคนต่างก็ไม่มีโอกาสได้ทำอะไรกับทริปนี้อีกเลย เพราะเราต้องเรียนและอินเตอร์เน็ตที่โรงเรียนมีใช้แบบจำกัด ส่วนเพื่อนก็งานยุ่งมาก ก็เลยเที่ยวกันแบบเอ๋อ ๆ ไม่ได้จองอะไรล่วงหน้าไปทั้งสิ้นแต่ก็สนุกค่ะ

จากมุมไบ เราจองตั๋วเครื่องบินในประเทศ สายการบิน jetair ไปกัลกัตตา และ จากกัลกัตตา ไปสนามบินแบกโดกรา จากสนามบิน ก็นั่งรถต่อไปท่ารถ และ จากท่ารถ นั่งรถต่อไปกังต๊อก เมืองหลวงของสิกขิม ส่วนเพื่อนเราก็นั่ง jetair จากกรุงเทพฯ มากัลกัตตา มาเจอกันที่กัลกัตตาแล้วไปต่อที่แบกโดกรา

จากสนามบินมุมไบ ซึ่งทำเรางงมาก เพราะเราจำได้ว่าตอนที่เราบินจากกรุงเทพฯมา สนามบินดูเก่ามาก ขนาดสายพานกระเป๋ายังติด ๆ ดับ ๆ อยู่ตั้งสี่ห้ารอบตอนที่รอรับกระเป๋า แต่พอบินในประเทศ ทำไมมันดูหรูหราเป็นน้อง ๆ สุวรรณภูมิเลยทีเดียว สนามบินดูใหม่ ทันสมัย ร้านอาหารมากมาย และ ห้องน้ำสะอาด ได้เข้างวงช้างด้วย



แต่พอมาถึงกัลกัตตา ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ห้องน้ำก็เรียกได้ว่าสกปรกเลยทีเดียว และ ยังมีแบบยอง ๆ นั่งอยู่เลย หลังจากนี้เราก็ไม่เจองวงช้างอีกเลยจนถึงสุวรรณภูมิ ต้องขึ้นรถ และ ปีนขึ้นลงเครื่องบินตลอด



จากกัลกัตตาไปถึงแบกโดกรา เราออกจากมุมไบประมาณ 6.30 น. มีอาหารเช้าบนเครื่องเป็นออมเลท และ ผลไม้ อร่อยเลยค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา และหารู้ไม่ว่ากว่าเราจะได้กินอีกทีก็คือฟ้ามืดแล้ว

ถึงแบกโดกรา 11.30 น. เรียกแท๊กซี่จากสนามบินไปท่ารถ ถามคนขายตั๋วแท๊กซี่ว่าไปกังต๊อกไปยังไง เค้าถามว่าเอาแบบประหยัดหรือแบบแพง เราบอกว่าเอาแบบประหยัด เค้าเลยแนะนำให้นั่งแท๊กซี่ไปท่ารถแล้วค่อยหารถไปกังต๊อกอีกที แท๊กซี่ที่สนามบินแป็นแบบ prepaid จ่ายเงินแล้วเอาตั๋วไปให้คนขับ เราก็เข้าใจว่าแท๊กซี่จะจอดรอที่หน้าสนามบิน ปรากฎว่าเราต้องเดินลากกระเป๋าไปเป็นระยะทางไกลพอสมควร แดดเปรี้ยงมาก และ นี่คือแท๊กซี่ของเค้าค่ะ ^^"



ปูผ้าขนหนูไว้อย่างดี



จากสนามบินเค้าก็ไปส่งเราลงตรงท่ารถสิริกุริ ซึ่งลุงแท๊กซี่พาขับเลยท่ารถไปสองร้อยเมตรได้ ดีที่เรามองเห็นก่อนว่าทางที่ผ่านมามีท่ารถ เลยพากันลากกระเป๋าเดินย้อนกลับไป ตรงท่ารถวุ่นวายพอประมาณ มีน้ำขาย ซึ่งทุกอย่างเกาะเต็มไปด้วยฝุ่น เราซื้อตั๋วรถคนละ 200 รูปี แล้วก็นั่งรอจนกว่าคนจะเต็มรถถึงออก



นั่งรออยู่ในรถ เพราะข้างนอกไม่มีที่นั่ง แถมแดดร้อนเปรี้ยง ก็เลยยอมนั่งอบในรถ แล้วก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ด้วยความเพลีย เพราะออกจากโรงเรียนตอนตีสองครึ่ง แล้วยังไม่ได้นอนเลย พลันสายตาไปเห็นเจ้าสิ่งนี้ มีประแจ (เค้าเรียกประแจใช่ไหม) แขวนอยู่ที่ประตูรถ ราวกับว่ามันพร้อมจะต้องนำออกมาใช้งานทุกเมื่อ เราเริ่มหวั่นไหวในใจว่าเค้าจะเอามาแขวนไว้ทำไมนะ



12.30 น. ล้อหมุน เม่าออกรถ รถเค้ามีทั้งหมด 3 ตอน สัมภาระอยู่หลังคารถ เพราะฉะนั้น ถ้าใครจะเดินทางด้วยวิธีนี้ ควรใช้กระเป๋าเดินทางแบบที่เช็ดล้างทำความสะอาดได้ง่าย เพราะฝุ่นจะเกาะหนามากค่ะ ด้านหน้าเรากับเพื่อนนั่งเบียดกับคนขับ ด้านหลังมีครอบครัวอินเดียสามคนและเด็กชาย 1 เด็กทารก 1 หลังสุดเป็นคนอินเดีย 2 และ หนุ่มญี่ปุ่น 1 ซึ่งเราขอเรียกว่าน้องแบ๊ว เพราะน้องหน้าตาบ้องแบ๊วน่ารักตามมาตรฐานญี่ปุ่นเลย

รถเราขับไปเรื่อย ๆ คนขับรถเก่งมาก เหมือนว่าเค้ารู้จักหินทุกก้อน หลุมทุกหลุม เพราะขับเลี่ยงย้ายไปมาแต่ไม่กระชาก ถนนแคบ ๆ ก็สวนกันได้ บางทีล้อรถก็อยู่ห่างหน้าผาแค่นิดเดียว แต่คนขับก็ขับไปอย่างมั่นใจ ส่วนเราหลับ ๆ ตื่น ๆ แต่ฝุ่นเต็มหน้า เพื่อนบอกว่าหาข้อมูลมาว่าจากสิริกุริไปกังต๊อกใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เราก็ประมาณกันว่าน่าจะถึงซัก 5 โมงเย็น เวลากำลังดี หาข้าวกินแล้วก็หาโรงแรมและทัวร์ได้ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเราไปเห็นประแจอาถรรพ์อันนั้นเข้าซะแล้ว แล้วมันก็ได้ใช้ หลายหนซะด้วย

ตอนแรกขับไปได้ซักพัก คนขับจอดตรงนี้ เราก็เข้าใจว่าสงสัยเค้าหิวข้าวจะซื้อหมี่ผัด แต่เปล่าค่ะ เค้าขึ้นรถมาพร้อมอะไหล่รถยนต์ 1 กล่อง ซึ่งเราไม่รุ้ว่าคืออะไร



ขับ ๆ ไปซักพักก็จอดอีก เอาประแจอาถรรพ์นั้นไปไข ๆ อะไรที่ล้อรถ แล้วก็ขึ้นมาขับต่อ เราก็เออ ไม่มีอะไร ๆ เดี๋ยวก็ถึง ซักพัก จอดอีกแร้วว ร้องไห้
คราวนี้ถอดล้อออกมาเลยค่า แล้วที่เห็นดำ ๆ วางอยู่บนล้อนั่นคือผ้าเบรคใช่ม๊ายย ทีนี้รู้แล้วว่าซื้ออะไหล่อะไรมา ฮือๆๆ

คนขับงมกับล้อรถตัวเองอยุ่ซักพัก แล้วก็ขอหยิบยืมอุปกรณ์จากรถที่ขับผ่านไปมา จนซักพักก็มีเพื่อนมาช่วย



เพื่อนก็เป็นคนขับรถอีกคันนึง ที่จอดรถตัวเองแล้วลงมาช่วย โดยมีสายตาของผู้โดยสารมองอยู่ห่าง ๆ อย่าง ห่วง ๆ



ซ่อมกันอยู่เป็นนานสองนาน เราก็กินฝุ่นเข้าไปจนจะอิ่มอยู่แล้ว สุดท้ายซ่อมได้ด้วยค่ะ ไม่น่าเชื่อ แล้วรถก็ปุเลง ๆ ต่อไป แล้วมันก็จอดอิ๊กกก อมยิ้ม24  คราวนี้จอดกินข้าวเลยค่ะ กินหน้าตาเฉยไม่บอกอะไรกันเลยซักคำ ผู้โดยสารก็นั่งรอไปค่ะ ตอนนั้นก็ห้าโมงเข้าไปแล้ว เรากับเพื่อนก็กังวลมาก เพราะกลัวว่าไปถึงแล้วจะมืด แล้วจะอันตรายสำหรับผู้หญิง กะว่าจะขอโบกรถไปกันเองอยู่แล้ว เพราะคนขับรถเข้าไปในร้านนานมาก แต่ซักพักเค้าก็ออกมา และ เราก็ได้เดินทางต่อ



เราเข้าเขตกังต๊อกน่าจะเกินหกโมงเย็นแล้ว นักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติต้องเขียนคำร้องและยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่เป็นรูปถ่าย และ ซีรอกหน้าพาสปอร์ตกับวีซ่า เพราะฉะนั้น ถ้าใครจะไปสิกขิม ควรเตรียมเอกสารเหล่านี้ไว้ให้พร้อมเลยค่ะ ซีรอกหน้าพาสปอร์ตและวีซ่าให้อยู่ในหน้าเดียวกันเอาไว้หลาย ๆ ชุดเพราะต้องใช้เวลานอนโรงแรมด้วย แล้วก็รูปถ่ายเอาไปเป็นโหลไปเลยค่ะ เนื่องจากสิกขิมถึงจะอยู่ภายใต้การปกครองของอินเดียแต่ก็เป็นรัฐที่ปกครองตนเอง และ เข้มงวดสำหรับนักท่องเที่ยวประมาณนึง ไม่ว่าจะไปที่ไหนต้องขออนุญาต

ทำเรื่องขอเข้าเมืองเสร็จ ก็นั่งรถกันต่อ จนค่ำทุ่มนึงได้ รถก็จอด ณ ที่มืดมากแห่งหนึ่ง เรากับเพื่อนก็มองหน้ากันงง ๆ ว่านี่คือถึงแล้วหรือว่ายังไง ทำไมมันดูเปลี่ยวร้าง แล้วก็มีผู้ชายมายืนตรงหน้าต่างรถ พูดอะไรที่เราฟังไม่รู้เรื่อง เราก็ส่ายหน้าอย่างเดียว ไม่ ไม๊ อย่ามายุ่งกะชั้น ชั้นมีรถนั่งแล้ว ซักพักผู้ชายกลุ่มนั้นก็ไปยืนจับกลุ่มซุบซิบกันแบบแปลก ๆ เราก็เลยหันหน้าไปหาน้องแบ๊ว เห็นน้องแบ๊วก็กำลังคุยอยู่เช่นกัน เลยเปิดไฟฉายที่โทรศัพท์ถามน้องแบ๊วว่านี่มันถึงรึยัง เค้าบอกว่าถึงแล้ว กำลังต่อราคารถแท๊กซี่เข้าไปที่ถนนธิเบต เพื่อนเราพอได้บินว่าถนนธิเบต ก็เลยบอกว่าไปด้วย ๆ แชร์ค่ารถกันเพราะจะพักตรงนั้น เราก็เลยแชร์รถไปกับน้องแบ๊วในราคารวม 150 รูปี

ไปถึงแล้วเราพักที่โรงเรม Potala ส่วนน้องแบ๊วพอถึงโรงแรมก็รีบวิ่งลงจากรถ ราวกับกลัวว่าป้า ๆ จะจับไปปล้ำ ก็เลยไม่รู้ว่าเค้าพักที่ไหน เพราะกะว่าจะหาคนแชร์ทัวร์ด้วยซักหน่อย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่