พิพากษาประหารชีวิต “ธนู หินแก้ว” จ้างฆ่า “เจริญ วัดอักษร” แกนนำต้านนายทุนสร้างโรงไฟฟ้า-รุกที่ดินสาธารณะ ส่วน ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ น้องชาย และอดีตกำนัน ต.บ่อนอก บิดา จำเลยร่วม ศาลยกฟ้องเหตุพยานหลักฐานยังขาดน้ำหนัก แต่ให้ขังกำนันเจือไว้ระหว่างอุทธรณ์
วันนี้ (30 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ด.2945/2547 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายเสน่ห์ เหล็กล้วน อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง, นายประจวบ หินแก้ว อายุ 43 ปี อาชีพรับจ้าง, นายธนู หินแก้ว อายุ 46 ปี อาชีพทนายความ, นายมาโนช หินแก้ว อายุ 42 ปี สมาชิกสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายเจือ หินแก้ว อายุ 71 ปี อดีตกำนัน ต.บ่อนอก เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันจ้างวานใช้ให้ฆ่า นายเจริญ วัดอักษร แกนนำกลุ่มรักษ์บ่อนอก โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพ.ร.บ.อาวุธปืน
คดีนี้ นายประจวบ และนายเสน่ห์ จำเลยที่ 1 และ2 ได้เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า ระหว่างต้นปี 2547 ถึงวันที่ 21 มิ.ย.2547 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยที่ 3, 4, 5 จำเลยได้บังอาจร่วมกันใช้ จ้าง วานให้จำเลยที่ 1,2 ฆ่า นายเจริญ วัดอักษร อายุ 37 ปี ประธานกลุ่มรักษ์ถิ่นบ่อนอก ที่ต่อต้านโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของ บริษัท กัลฟ์ อิเล็คทรอนิค ขณะลงจากรถทัวร์สายกรุงเทพ-บางสะพาน หมายเลขข้างรถ 66-1443 หลังกลับจากเดินทางไปให้ปากคำกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องของการบุกรุกที่ดินสาธารณะคลองชายธงในเขต อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจำเลยที่ 1, 2 ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.ยิงนายเจริญรวม 9 นัด เป็นเหตุให้ นายเจริญ ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่บริเวณสี่แยกบ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ แล้วพากันหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวจำเลยไว้ได้ จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1, 2 เป็นคนร้ายฆ่านายเจริญหรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีประจักษ์พยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานไปดื่มเบียร์ที่ศาลาพักผู้โดยสาร พยานรู้จักกับจำเลยที่ 1 มาก่อน เห็นจำเลยที่ 1 ขี่รถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายมานั่งพักในศาลาเดียวกันห่าง 1 เมตร โดยมีแสงสว่างจากหลอดไฟบนถนนและแสงไฟจากร้านค้าจนทำให้จดจำใบหน้าได้ชัดเจน จนเวลา 21.00 น .ก็มีรถปรับอากาศจากกรุงเทพมาจอดส่งผู้สาร มีคนลงจากรถเดินลงไปทางวัดบ่อนอก แล้วได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3-4 นัด ชายที่ถูกยิงยกมือไหว้ขอชีวิต คนร้ายยังยิงซ้ำอีก 6 นัด พวกพยานวิ่งไปดูพบว่าคนที่ถูกยิงคือนายเจริญ พยานจึงไปให้การต่อตำรวจ และชี้รูปคนร้ายคือจำเลยในห้องพิจารณา
เห็นว่าหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำปลอกกระสุนขนาด 9 มม.และ.38 รวม 9 ปลอก ขวดเบียร์ ก้นบุหรี่ การสอบสวนทราบว่ามีประจักษ์พยานโจทก์เห็นเหตุการณ์ ก็พบว่า ลายนิ้วมือพยานอยู่ที่ขวดเบียร์แสดงว่าพยานอยู่ในที่เกิดเหตุจริง และมีแสงไฟฟ้าให้เห็นใบหน้าได้ชัดเจน พยานเบิกความมีหลักฐานสนับสนุนเชื่อมโยงน่าเชื่อถือ และพยานได้ชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยยิงผู้ตาย จำเลยยังเคยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและพาไปยึดอาวุธปืนของกลาง ก่อนนำไปพิสูจน์ก็พบว่าหัวกระสุน ปลอกกระสุนมาจากปืนที่ยึดได้ พฤติการณ์จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และ 2 มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ 1 และ 2 เสียชีวิตระหว่างการพิจารณาคดี โทษอาญาจึงเป็นอันระงับไปตาม ป.วิ อาญามาตรา 39 (1)
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้จ้างวานจำเลยที่ 1 และ 2 ฆ่าผู้ตายหรือไม่ โจทก์มีพยานเบิกความว่า ผู้ตายเป็นแกนนำอนุรักษ์ถิ่นบ่อนอก ต่อต้านการสร้างโรงานไฟฟ้าหินกรูดบ่อนอก และการบุกรุกที่ดินสาธารณะคลองชายธง เมื่อสอบสวนขยายผลทราบว่าจำเลยที่ 1 และ 2 เป็นคนยิง แล้วจับกุมตัวได้ ก็ให้การว่าจำเลยที่ 3 เข้าประชุมวางแผนแล้วจัดหาอาวุธปืนมาให้ เมื่อพนักงานสอบสวนนำตัวจำเลยที่ 1และ 2 ไปชี้ที่เกิดเหตุ ประกอบกับพยานเบิกความว่าสาเหตุการฆ่าก็เพราะผู้ตายเป็นแกนนำเคลื่อนไหวต่อต้านโรงไฟฟ้า และคัดค้าการบุกรุกที่ดินสาธารณะคลองชายธง โดยมีจำเลยที่ 5 ได้รับผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยอื่นๆ จำเลยที่ 1 และ 2 ก็ให้การว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้ไปยิงผู้ตาย เห็นว่าแม้พนักงานสอบสวนเป็นพยานบอกเล่า ซัดทอดจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่เมื่อฟังประกอบกับพยานอื่น และมีการสอบสวนต่อหน้าพนักงานสอบสวนหลายคนก็ไม่ปรากฏว่ามีการขู่เข็ญบังคับจำเลยเพื่อให้การ โดยจำเลยมีทนายความร่วมฟังการสอบสวนมาตลอด เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ให้การด้วยความสมัครใจ หากบันทึกคำให้การไม่เป็นความจริง ก็อาจขอถอนคำให้การได้ตลอดขั้นตอนการสอบสวน และคำซัดทอดของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ใช้ซัดทอดให้ตัวเองพ้นผิด
จำเลยที่ 1, 2 และ 3 มีความใกล้ชิดอยู่พักร่วมกันก่อนเกิดเหตุ และมีเหตุจูงใจในการฆ่าผู้ตายคือต้องการฆ่าผู้คัดค้านการได้รัผลประโยชน์ แม้จำเลยที่ 1 และ 2 ได้เสียชีวิตระหว่างการพิจารณาก็ไม่ได้ทำให้คำให้การมีน้ำหนักลดน้อยลงไป ที่จำเลยที่ 3 อ้างถิ่นที่อยู่ขณะเกิดเหตุ เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆปราศจากน้ำหนัก ศาลจึงรับฟังพยานหลักฐานฟังว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 เมื่อผู้กระทำได้ลงมือจริง จึงต้องรับโทษในผลแห่งการกระทำเสมือนผู้ลงมือ
ส่วนจำเลยที่ 4 แม้โจทก์จะมีบันทึกการโทรศัพท์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ก็ตาม แต่พยานหลักฐานก็ไม่มีความชัดเจนว่าพูดกันเรื่องอะไร จึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมใช้จ้างวานฆ่าผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 5 พยานโจทก์ยังฟังไม่ได้เป็นเจ้าของอาวุธปืน แต่ปืนที่ใช้ยิงผู้ตาย อาวุธปืนดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของภรรยา จำเลยที่3 และจำเลยที่ 1ไม่เคยให้การพาดพิงจำเลยที่ 5 แต่อย่างใด ขณะที่จำเลยที่ 2 แม้เคยให้การถึงจำเลยที่ 5 แต่ก็กลับคำให้การกลับไปมาจนน่าสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 5
พิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามฟ้องให้ลงโทษประหารชีวิต และริบอาวุธปืนของกลาง ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 และ 5 แต่ให้ขังเฉพาะจำเลยที่ 5 ไว้ระหว่างอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ไม่มีกลุ่มคนเสื้อเขียวอนุรักษ์บ่อนอก เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด แตกต่างกับทุกครั้งที่มาการพิจารณาคดีจะมีคนมาฟังไม่น้อยกว่า 200 คน เนื่องจากคาดการณ์ว่าศาลจะพิพากษายกฟ้องจำเลย
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153247
อืมจำเลย 1-2 ตายในคุกแล้ว จำเลยที่ 3 โดนโทษประหาร 4-5 หลุด อืม ก็ยังดี
ประหาร “ธนู หินแก้ว” จ้างฆ่า “เจริญ วัดอักษร” ยกฟ้อง 2 ตัวการ
วันนี้ (30 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ด.2945/2547 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายเสน่ห์ เหล็กล้วน อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง, นายประจวบ หินแก้ว อายุ 43 ปี อาชีพรับจ้าง, นายธนู หินแก้ว อายุ 46 ปี อาชีพทนายความ, นายมาโนช หินแก้ว อายุ 42 ปี สมาชิกสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายเจือ หินแก้ว อายุ 71 ปี อดีตกำนัน ต.บ่อนอก เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันจ้างวานใช้ให้ฆ่า นายเจริญ วัดอักษร แกนนำกลุ่มรักษ์บ่อนอก โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพ.ร.บ.อาวุธปืน
คดีนี้ นายประจวบ และนายเสน่ห์ จำเลยที่ 1 และ2 ได้เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า ระหว่างต้นปี 2547 ถึงวันที่ 21 มิ.ย.2547 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยที่ 3, 4, 5 จำเลยได้บังอาจร่วมกันใช้ จ้าง วานให้จำเลยที่ 1,2 ฆ่า นายเจริญ วัดอักษร อายุ 37 ปี ประธานกลุ่มรักษ์ถิ่นบ่อนอก ที่ต่อต้านโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของ บริษัท กัลฟ์ อิเล็คทรอนิค ขณะลงจากรถทัวร์สายกรุงเทพ-บางสะพาน หมายเลขข้างรถ 66-1443 หลังกลับจากเดินทางไปให้ปากคำกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องของการบุกรุกที่ดินสาธารณะคลองชายธงในเขต อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจำเลยที่ 1, 2 ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.ยิงนายเจริญรวม 9 นัด เป็นเหตุให้ นายเจริญ ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่บริเวณสี่แยกบ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ แล้วพากันหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวจำเลยไว้ได้ จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1, 2 เป็นคนร้ายฆ่านายเจริญหรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีประจักษ์พยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานไปดื่มเบียร์ที่ศาลาพักผู้โดยสาร พยานรู้จักกับจำเลยที่ 1 มาก่อน เห็นจำเลยที่ 1 ขี่รถจักรยานยนต์พาจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายมานั่งพักในศาลาเดียวกันห่าง 1 เมตร โดยมีแสงสว่างจากหลอดไฟบนถนนและแสงไฟจากร้านค้าจนทำให้จดจำใบหน้าได้ชัดเจน จนเวลา 21.00 น .ก็มีรถปรับอากาศจากกรุงเทพมาจอดส่งผู้สาร มีคนลงจากรถเดินลงไปทางวัดบ่อนอก แล้วได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3-4 นัด ชายที่ถูกยิงยกมือไหว้ขอชีวิต คนร้ายยังยิงซ้ำอีก 6 นัด พวกพยานวิ่งไปดูพบว่าคนที่ถูกยิงคือนายเจริญ พยานจึงไปให้การต่อตำรวจ และชี้รูปคนร้ายคือจำเลยในห้องพิจารณา
เห็นว่าหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำปลอกกระสุนขนาด 9 มม.และ.38 รวม 9 ปลอก ขวดเบียร์ ก้นบุหรี่ การสอบสวนทราบว่ามีประจักษ์พยานโจทก์เห็นเหตุการณ์ ก็พบว่า ลายนิ้วมือพยานอยู่ที่ขวดเบียร์แสดงว่าพยานอยู่ในที่เกิดเหตุจริง และมีแสงไฟฟ้าให้เห็นใบหน้าได้ชัดเจน พยานเบิกความมีหลักฐานสนับสนุนเชื่อมโยงน่าเชื่อถือ และพยานได้ชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยยิงผู้ตาย จำเลยยังเคยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและพาไปยึดอาวุธปืนของกลาง ก่อนนำไปพิสูจน์ก็พบว่าหัวกระสุน ปลอกกระสุนมาจากปืนที่ยึดได้ พฤติการณ์จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และ 2 มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ 1 และ 2 เสียชีวิตระหว่างการพิจารณาคดี โทษอาญาจึงเป็นอันระงับไปตาม ป.วิ อาญามาตรา 39 (1)
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้จ้างวานจำเลยที่ 1 และ 2 ฆ่าผู้ตายหรือไม่ โจทก์มีพยานเบิกความว่า ผู้ตายเป็นแกนนำอนุรักษ์ถิ่นบ่อนอก ต่อต้านการสร้างโรงานไฟฟ้าหินกรูดบ่อนอก และการบุกรุกที่ดินสาธารณะคลองชายธง เมื่อสอบสวนขยายผลทราบว่าจำเลยที่ 1 และ 2 เป็นคนยิง แล้วจับกุมตัวได้ ก็ให้การว่าจำเลยที่ 3 เข้าประชุมวางแผนแล้วจัดหาอาวุธปืนมาให้ เมื่อพนักงานสอบสวนนำตัวจำเลยที่ 1และ 2 ไปชี้ที่เกิดเหตุ ประกอบกับพยานเบิกความว่าสาเหตุการฆ่าก็เพราะผู้ตายเป็นแกนนำเคลื่อนไหวต่อต้านโรงไฟฟ้า และคัดค้าการบุกรุกที่ดินสาธารณะคลองชายธง โดยมีจำเลยที่ 5 ได้รับผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยอื่นๆ จำเลยที่ 1 และ 2 ก็ให้การว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้ไปยิงผู้ตาย เห็นว่าแม้พนักงานสอบสวนเป็นพยานบอกเล่า ซัดทอดจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่เมื่อฟังประกอบกับพยานอื่น และมีการสอบสวนต่อหน้าพนักงานสอบสวนหลายคนก็ไม่ปรากฏว่ามีการขู่เข็ญบังคับจำเลยเพื่อให้การ โดยจำเลยมีทนายความร่วมฟังการสอบสวนมาตลอด เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ให้การด้วยความสมัครใจ หากบันทึกคำให้การไม่เป็นความจริง ก็อาจขอถอนคำให้การได้ตลอดขั้นตอนการสอบสวน และคำซัดทอดของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ใช้ซัดทอดให้ตัวเองพ้นผิด
จำเลยที่ 1, 2 และ 3 มีความใกล้ชิดอยู่พักร่วมกันก่อนเกิดเหตุ และมีเหตุจูงใจในการฆ่าผู้ตายคือต้องการฆ่าผู้คัดค้านการได้รัผลประโยชน์ แม้จำเลยที่ 1 และ 2 ได้เสียชีวิตระหว่างการพิจารณาก็ไม่ได้ทำให้คำให้การมีน้ำหนักลดน้อยลงไป ที่จำเลยที่ 3 อ้างถิ่นที่อยู่ขณะเกิดเหตุ เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆปราศจากน้ำหนัก ศาลจึงรับฟังพยานหลักฐานฟังว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 เมื่อผู้กระทำได้ลงมือจริง จึงต้องรับโทษในผลแห่งการกระทำเสมือนผู้ลงมือ
ส่วนจำเลยที่ 4 แม้โจทก์จะมีบันทึกการโทรศัพท์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ก็ตาม แต่พยานหลักฐานก็ไม่มีความชัดเจนว่าพูดกันเรื่องอะไร จึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมใช้จ้างวานฆ่าผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 5 พยานโจทก์ยังฟังไม่ได้เป็นเจ้าของอาวุธปืน แต่ปืนที่ใช้ยิงผู้ตาย อาวุธปืนดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของภรรยา จำเลยที่3 และจำเลยที่ 1ไม่เคยให้การพาดพิงจำเลยที่ 5 แต่อย่างใด ขณะที่จำเลยที่ 2 แม้เคยให้การถึงจำเลยที่ 5 แต่ก็กลับคำให้การกลับไปมาจนน่าสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 5
พิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามฟ้องให้ลงโทษประหารชีวิต และริบอาวุธปืนของกลาง ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 และ 5 แต่ให้ขังเฉพาะจำเลยที่ 5 ไว้ระหว่างอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ไม่มีกลุ่มคนเสื้อเขียวอนุรักษ์บ่อนอก เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด แตกต่างกับทุกครั้งที่มาการพิจารณาคดีจะมีคนมาฟังไม่น้อยกว่า 200 คน เนื่องจากคาดการณ์ว่าศาลจะพิพากษายกฟ้องจำเลย
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153247
อืมจำเลย 1-2 ตายในคุกแล้ว จำเลยที่ 3 โดนโทษประหาร 4-5 หลุด อืม ก็ยังดี